
เมื่อคนแปลกหน้า 12 คน ตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน ไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร รู้แค่ว่าภาพตรงหน้าคือสนามหญ้าโล่ง ๆ ที่อยู่กลางป่า แล้วพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเลยว่าพวกเขาได้ถูกเลือกมาเป็นส่วนหนึ่งของเกมส์โดยกลุ่มคนชนชั้นสูงที่ได้นัดรวมกันที่คฤหาสน์ลึกลับหลังใหญ่ เพื่อล่ามนุษย์เป็นกิจกรรมกีฬายามว่างรวมถึงเป็นเรื่องของธุรกิจที่โยงไปกับผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังครั้งนี้ด้วย แต่แผนการของคนกลุ่มนี้ต้องสะดุดลง เพราะ คริสตัล 1 ในผู้ถูกล่าจากเกมส์นี้รอดชีวิตมาได้อย่างวืดวิด เธอจึงเริ่มแผนปฏิบัติการแก้แค้นกลับด้วยการไล่ล่าพวกกลุ่มนักล่าทีละคนรวมถึงที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดด้วย

ในภาพรวม คือ สนุก โหด เดือด มันส์ สาใจแก่แม่ชม้อยทั้งหลายนักไปตลอด 1 ชั่วโมง 30 นาที แถมดูง่าย ว่องไว เน้นเสิร์ฟความบันเทิงแก่คนที่ชอบเสพความรุนแรงเป็นอย่างมาก หนังได้เปรียบตรงที่มีวัตถุดิบดี มีจุดขายที่ดีนำไปต่อยอดกับหนังประเภทนี้ที่ขายความสยองออกไปในทิศทางใหม่ ๆ ได้อย่างสวยงามดี แถม Details อะไรหลายอย่างดูจะได้รับ Inspiration มาจากหนังจำพวกต่อสู้เอาชีวิตรอด อาทิเช่น Battle Royals , The purge , The hunger games ผสมกันอยุ่ค่อนข้างมากแต่ในสเกลที่เล็กกว่าตามสไตล์ค่าย Blumhouse ที่ทุนต่ำแต่เน้นไอเดีย ซึ่งเวลาที่ดูไปเราจึงรู้สึกทันทีว่าแต่ละ Scene ที่ปรากฎแต่ละ Shot ทำให้นึกถึงหนังที่กล่าวตัวอย่างไปจริง ๆ ยอมรับว่าบทเล่นประเด็นความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนดีได้เห็นภาพชัดดีอยู่ แต่ไม่ค่อยอินในตระกะการกระทำตัวละครในแง่มุมอื่นเท่าไหร่ ทำให้เรามองเห็นแค่ว่าคนจนคือคนดีส่วนคนรวยคือคนร้ายเท่านั้น ไม่ได้ให้น้ำหนักในส่วนของ Details ในเหตุผลของคนรวยคนจนให้มีมิติมากกว่าการตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกและสถานะเพียงอย่างเดียว มันเลยดูออกง่ายว่าใครเป็นใคร ใครเป็นคนแบบไหนได้ชัดเจน

การดำเนินเรื่องทำได้น่าติดตามไปตั้งแต่ต้นจนจบจนแทบไม่ค่อยมีช่วงน่าเบื่อสักเท่าไหร่ แต่ฉากที่ผมประทับใจที่สุดือฉากเปิดตัวเป็น Scene ที่น่าจดจำที่สุด คือ เปิดมาแบบงง ๆ เจอคนแต่ละคนทำหน้ามึน ๆ ยืนงงในดงสนาม ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นเราจะเห็นฉากการต่อสู้ยิงกระสุนรัว ๆ กระหน่ำไม่มีหยุดทำให้แสดงถึงโหดร้ายของมนุษย์และสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของแต่ละคนที่ไม่รู้ใครเป็นใครออกมาได้อย่างน่ากลัวทีเดียว เมื่อได้สติจึงหยิบอาวุธต่อสู้กับพวกที่เล่นงานพวกเขาอยู่ ซึ่งตรงช่วง Part แรกประมาณ 30 นาทีจะใช้เทคนิคการถ่ายภาพแบบ Long Take ทำให้คนดูอย่างเราเหมือนในสนามรบขณะนั้นไปด้วย มีฉาก Surprise ให้ลุ้นตกใจเป็นระยะ ก่อนช่วงกลางเรื่องจะดร๊อปลงไปเล็กน้อยเพื่อแวะข้างทางไปกับการเจอตัวละครสมทบประปรายที่ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ ก่อนจะปรับจูนเข้าสู่โหมด Action เดินทางตามล่าศัตรูในแต่ละด่านกันอีกครั้งไปจนจบ

ที่ชอบอีกอย่างคือฉากต่อสู้ทำได้เดือดรุนแรง และ จังหวะดี บาง Scene แอบสะดุ้งกับจังหวะ Jump Scared ไม่ทันตั้งตัวได้บ้าง แต่ภาพรวมก็รู้สึกเฉย ๆ ไม่ว้าวเท่าไหร่ ดูแล้วลืม ๆ กันไป Production ก็คล้ายกับเรื่องอื่นที่ผ่านมาตามสไตล์ค่ายนี้ เน้นขายไอเดีย ขาย Concept ทุนต่ำไว้ก่อนที่เหลือค่อยว่ากัน บางช่วงเล่นมุกตลกพร่ำเพรื่อ ดูจงใจประดิษฐ์ทั้งคำพูดเชย ๆ กับการกระทำที่ไร้สาระของตัวละครบางคนที่ขัดใจตลอดเวลา ผมโอเคกับการจิกกัดเสียดสีสังคมดูเข้าท่ากว่ามุกคาเฟ่พวกนั้นเยอะ ตัวละครนำอย่างสาว Betty Gilpin จาก Stuber (2019) ยอมรับว่าสวย ดุ โหดตามสไตล์นางแบบแต่ชั่วโมงบินยังน้อยไปหน่อย เสน่ห์ยังไม่มากพอที่จะแบกหนังทั้งเรื่องได้ ต้องให้เจ๊ใหญ่ช่วยกระคองอย่าง Hilary Swank ดาราออสการ์จาก Boys don’t cry (1999) ที่มีประสบการณ์โชกโชนมากกว่า แม้ไม่ใช่ตัวหลักแต่ทุก Scene ที่ปรากฎฉายแสงบารมีมากกว่านางเอกอีก มีดาราสมทบมาสร้างสีสันหรือหารายได้เสริมกันแน่ ไม่ว่าจะเป็น Emma Roberts จาก Nerve (2016) หรือ Ike Barinholtz จาก Neighbors 1-2 (2014-2016) โดยเฉพาะสาว Emma คือมาแบบเหนือเมฆที่สุด 55 รวมถึงไม่นับตัวละครที่ตายเปล่า ๆ คนอื่นก็ผ่านแล้วผ่านเลย ที่ขโมย Scene ที่สุด คือ น้องหมู แสดงได้น่ารัก น่าเอ็นดูน้อนมาก เป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องดูอ่อนโยนลงไปได้ไม่น้อย

ยังดีหน่อยที่ผู้กำกับ Craig Zobel จาก Z for Zachariah (2015) สามารถเฉลยปมปัญหาของ Story ให้เข้าใจง่าย ไม่เวิ้นเว้อ แต่ค่อนข้างเสียจังหวะไปหน่อยในช่วงท้ายที่ดันมาเปลี่ยน Way เป็น Thriller ล้างแค้นเกรด B ซะงั้น ผลที่เห็นจึงลงเอยได้ตามสูตรสำเร็จของหนังเกรด B ธรรมดา ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เสียดาย Concept กับ ไอเดียที่วางไว้ก่อนหน้านี้ดีอยู่แล้วดันมาเสียตอนท้ายเฉย ปมบางอย่างก็ยังเคลียร์ไม่หมดหรืออาจจะปูไปสู่ภาคต่อก็เป็นได้ทั้งตัวปมของนางเอกหรือฝั่งตัวร้ายก็ปูบทแบนราบไร้มิติใด ๆ แค่ให้รู้ว่ามีตัวตนอยู่บนจอแค่นั้น สรุปคือเน้นความบันเทิง ไม่เน้นสาระแต่แอบแฝงประเด็นการวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมหรือชนชั้นให้เก็บไปคิดตามได้อยู่ไม่น้อย
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านรับชมแล้ว สามารถกด Like กด Share ได้ที่เพจ True id Intrend ของผมชื่อ EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.11 The Hunt : คนจนปล้นคนรวยเรียกว่าโจร คนรวยล่าคนจนเรียกว่าธุรกิจ
เมื่อคนแปลกหน้า 12 คน ตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน ไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร รู้แค่ว่าภาพตรงหน้าคือสนามหญ้าโล่ง ๆ ที่อยู่กลางป่า แล้วพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเลยว่าพวกเขาได้ถูกเลือกมาเป็นส่วนหนึ่งของเกมส์โดยกลุ่มคนชนชั้นสูงที่ได้นัดรวมกันที่คฤหาสน์ลึกลับหลังใหญ่ เพื่อล่ามนุษย์เป็นกิจกรรมกีฬายามว่างรวมถึงเป็นเรื่องของธุรกิจที่โยงไปกับผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังครั้งนี้ด้วย แต่แผนการของคนกลุ่มนี้ต้องสะดุดลง เพราะ คริสตัล 1 ในผู้ถูกล่าจากเกมส์นี้รอดชีวิตมาได้อย่างวืดวิด เธอจึงเริ่มแผนปฏิบัติการแก้แค้นกลับด้วยการไล่ล่าพวกกลุ่มนักล่าทีละคนรวมถึงที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดด้วย
ในภาพรวม คือ สนุก โหด เดือด มันส์ สาใจแก่แม่ชม้อยทั้งหลายนักไปตลอด 1 ชั่วโมง 30 นาที แถมดูง่าย ว่องไว เน้นเสิร์ฟความบันเทิงแก่คนที่ชอบเสพความรุนแรงเป็นอย่างมาก หนังได้เปรียบตรงที่มีวัตถุดิบดี มีจุดขายที่ดีนำไปต่อยอดกับหนังประเภทนี้ที่ขายความสยองออกไปในทิศทางใหม่ ๆ ได้อย่างสวยงามดี แถม Details อะไรหลายอย่างดูจะได้รับ Inspiration มาจากหนังจำพวกต่อสู้เอาชีวิตรอด อาทิเช่น Battle Royals , The purge , The hunger games ผสมกันอยุ่ค่อนข้างมากแต่ในสเกลที่เล็กกว่าตามสไตล์ค่าย Blumhouse ที่ทุนต่ำแต่เน้นไอเดีย ซึ่งเวลาที่ดูไปเราจึงรู้สึกทันทีว่าแต่ละ Scene ที่ปรากฎแต่ละ Shot ทำให้นึกถึงหนังที่กล่าวตัวอย่างไปจริง ๆ ยอมรับว่าบทเล่นประเด็นความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนดีได้เห็นภาพชัดดีอยู่ แต่ไม่ค่อยอินในตระกะการกระทำตัวละครในแง่มุมอื่นเท่าไหร่ ทำให้เรามองเห็นแค่ว่าคนจนคือคนดีส่วนคนรวยคือคนร้ายเท่านั้น ไม่ได้ให้น้ำหนักในส่วนของ Details ในเหตุผลของคนรวยคนจนให้มีมิติมากกว่าการตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกและสถานะเพียงอย่างเดียว มันเลยดูออกง่ายว่าใครเป็นใคร ใครเป็นคนแบบไหนได้ชัดเจน
การดำเนินเรื่องทำได้น่าติดตามไปตั้งแต่ต้นจนจบจนแทบไม่ค่อยมีช่วงน่าเบื่อสักเท่าไหร่ แต่ฉากที่ผมประทับใจที่สุดือฉากเปิดตัวเป็น Scene ที่น่าจดจำที่สุด คือ เปิดมาแบบงง ๆ เจอคนแต่ละคนทำหน้ามึน ๆ ยืนงงในดงสนาม ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นเราจะเห็นฉากการต่อสู้ยิงกระสุนรัว ๆ กระหน่ำไม่มีหยุดทำให้แสดงถึงโหดร้ายของมนุษย์และสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของแต่ละคนที่ไม่รู้ใครเป็นใครออกมาได้อย่างน่ากลัวทีเดียว เมื่อได้สติจึงหยิบอาวุธต่อสู้กับพวกที่เล่นงานพวกเขาอยู่ ซึ่งตรงช่วง Part แรกประมาณ 30 นาทีจะใช้เทคนิคการถ่ายภาพแบบ Long Take ทำให้คนดูอย่างเราเหมือนในสนามรบขณะนั้นไปด้วย มีฉาก Surprise ให้ลุ้นตกใจเป็นระยะ ก่อนช่วงกลางเรื่องจะดร๊อปลงไปเล็กน้อยเพื่อแวะข้างทางไปกับการเจอตัวละครสมทบประปรายที่ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ ก่อนจะปรับจูนเข้าสู่โหมด Action เดินทางตามล่าศัตรูในแต่ละด่านกันอีกครั้งไปจนจบ
ที่ชอบอีกอย่างคือฉากต่อสู้ทำได้เดือดรุนแรง และ จังหวะดี บาง Scene แอบสะดุ้งกับจังหวะ Jump Scared ไม่ทันตั้งตัวได้บ้าง แต่ภาพรวมก็รู้สึกเฉย ๆ ไม่ว้าวเท่าไหร่ ดูแล้วลืม ๆ กันไป Production ก็คล้ายกับเรื่องอื่นที่ผ่านมาตามสไตล์ค่ายนี้ เน้นขายไอเดีย ขาย Concept ทุนต่ำไว้ก่อนที่เหลือค่อยว่ากัน บางช่วงเล่นมุกตลกพร่ำเพรื่อ ดูจงใจประดิษฐ์ทั้งคำพูดเชย ๆ กับการกระทำที่ไร้สาระของตัวละครบางคนที่ขัดใจตลอดเวลา ผมโอเคกับการจิกกัดเสียดสีสังคมดูเข้าท่ากว่ามุกคาเฟ่พวกนั้นเยอะ ตัวละครนำอย่างสาว Betty Gilpin จาก Stuber (2019) ยอมรับว่าสวย ดุ โหดตามสไตล์นางแบบแต่ชั่วโมงบินยังน้อยไปหน่อย เสน่ห์ยังไม่มากพอที่จะแบกหนังทั้งเรื่องได้ ต้องให้เจ๊ใหญ่ช่วยกระคองอย่าง Hilary Swank ดาราออสการ์จาก Boys don’t cry (1999) ที่มีประสบการณ์โชกโชนมากกว่า แม้ไม่ใช่ตัวหลักแต่ทุก Scene ที่ปรากฎฉายแสงบารมีมากกว่านางเอกอีก มีดาราสมทบมาสร้างสีสันหรือหารายได้เสริมกันแน่ ไม่ว่าจะเป็น Emma Roberts จาก Nerve (2016) หรือ Ike Barinholtz จาก Neighbors 1-2 (2014-2016) โดยเฉพาะสาว Emma คือมาแบบเหนือเมฆที่สุด 55 รวมถึงไม่นับตัวละครที่ตายเปล่า ๆ คนอื่นก็ผ่านแล้วผ่านเลย ที่ขโมย Scene ที่สุด คือ น้องหมู แสดงได้น่ารัก น่าเอ็นดูน้อนมาก เป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องดูอ่อนโยนลงไปได้ไม่น้อย
ยังดีหน่อยที่ผู้กำกับ Craig Zobel จาก Z for Zachariah (2015) สามารถเฉลยปมปัญหาของ Story ให้เข้าใจง่าย ไม่เวิ้นเว้อ แต่ค่อนข้างเสียจังหวะไปหน่อยในช่วงท้ายที่ดันมาเปลี่ยน Way เป็น Thriller ล้างแค้นเกรด B ซะงั้น ผลที่เห็นจึงลงเอยได้ตามสูตรสำเร็จของหนังเกรด B ธรรมดา ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เสียดาย Concept กับ ไอเดียที่วางไว้ก่อนหน้านี้ดีอยู่แล้วดันมาเสียตอนท้ายเฉย ปมบางอย่างก็ยังเคลียร์ไม่หมดหรืออาจจะปูไปสู่ภาคต่อก็เป็นได้ทั้งตัวปมของนางเอกหรือฝั่งตัวร้ายก็ปูบทแบนราบไร้มิติใด ๆ แค่ให้รู้ว่ามีตัวตนอยู่บนจอแค่นั้น สรุปคือเน้นความบันเทิง ไม่เน้นสาระแต่แอบแฝงประเด็นการวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมหรือชนชั้นให้เก็บไปคิดตามได้อยู่ไม่น้อย
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านรับชมแล้ว สามารถกด Like กด Share ได้ที่เพจ True id Intrend ของผมชื่อ EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้