ชลัน
บทที่ 5 แผนการ
ชยุตนั่งมองกรอบรูปน้องสาวทางกฎหมาย แต่เป็นคนพิเศษทางใจ เหยียดยิ้มให้กับรูปของเธอ เด็กขี้เอาแต่ใจอย่างนาราภัทรน่ะเหรอจะชนะคนอย่างเขาได้ แม้จะยอมรับในฝีมือการบริหารงานของหญิงสาวอยู่บ้างก็ตาม ทว่าก็ยังด้อยกว่าเขานัก ด้อยกว่าเศรษฐการกรุ๊ป ชยุตนึกอย่างถือดี
ในเร็ว ๆ นี้จะมีการประกวดทำโฆษณาเครื่องสำอางแบรนด์ดัง ซึ่งแน่นอนว่าเศรษฐการกรุ๊ปต้องเข้าร่วมด้วย สำคัญคือต้องได้โฆษณาชิ้นนี้มาครอง เพราะค่าตอบแทนที่มากมายมหาศาลนั้น ชายหนุ่มจึงแอบกลัวคู่แข่งอย่างนาราสุ ส่วนบริษัทอื่น ๆ เทียบรัศมีไม่ได้ ที่เจ้าตัวระแวงเพราะ ตั้งแต่มีนาราสุเป็นคู่แข่ง ลูกค้าของเศรษฐการกรุ๊ปหายไปหลายเจ้าพอสมควร รายได้ที่เคยรับก็หายไปด้วย
รองประธานเศรษฐการกรุ๊ปยิ้มอย่างมีเลศนัย สายตามองไปยังรูปของน้องสาว ที่มีใบหน้าคล้ายคุณหญิงพรพิมลผู้เป็นมารดามากกว่าสุทิน อะไรมันจะโชคเข้าข้างขนาดนั้น เมื่อน้องสาวของเพื่อนฝึกงานอยู่ในนั้น ชายหนุ่มมองเห็นแสงสว่างที่จะนำพาเขาไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จและชัยชนะในการแข่งขันทำโฆษณา
"ยุต" เสียงเรียกทำลายฝันกลางวันของชยุตไปชั่วพริบตา เขาคว่ำกรอบรูปนาราภัทรลงอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ว่าเสียงนั้นคือใคร
"ครับคุณพ่อ" ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเมื่อผู้มีพระคุณเดินเข้ามา "มีอะไรหรือเปล่าครับ ให้เลขาโทรตามผมไปพบก็ได้ ไม่เห็นคุณพ่อต้องเข้ามาพบผมเองเลย"
"ไม่มีอะไรหรอก พ่อแค่จะมาคุยเรื่องการแข่งทำโฆษณาน่ะ แกรู้แล้วใช่มั้ยว่านาราสุก็เข้าร่วม" สุทินกล่าว ลูกบุญธรรมพยักหน้า "ดี! แกทำยังไงก็ได้ให้ได้โฆษณาชิ้นนี้มา ห้ามแพ้นาราสุเด็ดขาด และเจ้าอื่นด้วยเข้าใจมั้ย ถ้าแกทำได้พ่อมีรางวัลให้"
"ครับคุณพ่อ" ชยุตรับคำสั่ง
สุทินปรายตามองกรอบรูปบนโต๊ะทำงานของบุตรบุญธรรมที่คว่ำหน้าเอาไว้ เพียงเพราะไม่อยากให้เขาเห็น ชายสูงวัยรู้ว่าคนในกรอบรูปนั้นเป็นใคร เขาจะไม่มีวันให้มันเกิดขึ้นแน่ สุทินไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นในใจของชยุตมานานเท่าไหร่ ที่ผ่านมาตนแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมาโดยตลอด เพราะชยุตเองก็ไม่ได้แสดงออกมา แต่เขารู้!
"คุณพ่อจ้องผมมีอะไรหรือเปล่าครับ" ชายหนุ่มหยั่งเชิง เพราะรู้สึกว่าพ่อบุญธรรมมองเขาอย่างพิจารณาเหลือเกิน
"พ่อว่าปีนี้แกก็อายุเยอะแล้วนะ เมื่อไหร่แกจะมีครอบครัวสักที" สุทินว่า "ถึงแกจะเป็นลูกบุญธรรมของพ่อ ไม่ใช่สายเลือดโดยตรงของพ่อ แต่พ่อเลี้ยงแกมาพ่อก็รักของพ่อ คิดว่าแกเป็นลูกชายในสายเลือดคนหนึ่ง" สุทินเงียบ เหมือนรอให้คนฟังได้คิดตามสิ่งที่เขาพูด "พ่อยากมีหลานสืบนามสกุลน่ะ แกมีครอบครัวพ่อก็จะแบ่งธุรกิจที่พ่อมีให้ แกไม่ต้องกังวล"
"ครับคุณพ่อ แต่ผม..." ชยุตกลืนน้ำลายฝืดคอ เขาไม่เคยรักใคร เขาไม่เคยมีคนในใจนอกจากนาราภัทร
"แกมีคนในใจหรือยัง"
"มอง ๆ อยู่ครับ" เขาตอบ สุทินสังเกตว่าชายหนุ่มหลบสายตาของตน
"ก็ดี! มั่นใจแล้วก็พามาแนะนำกับพ่อหน่อยนะ พ่ออยากมีหลานอุ้มเร็ว ๆ น่ะ แก่แล้ว จะรอน้องสาวแกรายนั้นก็ไม่รู้เมื่อไหร่ หัวดื้อ รั้น พ่อขี้เกลียดพูด ดีหน่อยที่พ่อมีแกคอยช่วย" ชายสูงวัยพูดด้วยรอยยิ้ม ทว่าเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยนัยยะมากมาย และเขาก็รู้ว่าคนฉลาดอย่างชยุตจะเข้าใจ "พ่อคิดว่าแกยังไม่มีคนในใจซะอีก พ่อกะว่าจะแนะนำลูกสาวคุณอภิสิทธิ์ให้ ทั้งสวย ทั้งเก่ง งานบ้านงานเรือนก็เก่ง สำคัญโสด พ่อกะว่าจะขอมาเป็นลูกสะใภ้เสียหน่อย ถ้าแกมีคนของแกแล้วพ่อก็ไม่บังคับ อย่าลืมพามาแนะนำล่ะ" จากนั้นสุทินก็ตบไหล่ลูกชายเบา ๆ แล้วเดินจากไป
ชยุตถอนหายใจ ทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้และหยิบกรอบรูปตั้งไว้เหมือนเดิม จะบอกคนเป็นพ่ออย่างไรว่าเขารักนาราภัทร เมื่อก่อนเขารักสุทินเยี่ยงพ่อบังเกิดเกล้า แต่พอนาราภัทรย่างเข้าสู่วัยสาว ร่างกายเปล่งปลั่ง ทั้งส่วนเว้าส่วนโค้งเปิดเผยอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหน้าตาที่สวยกว่าผู้หญิงทั่วไปหลายคน ก็ทำให้เขามองสุทินเปลี่ยนไปเป็นพ่อของคนรัก แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกได้ เรื่องนี้ทำให้ชยุตเจ็บปวดที่สุดเช่นกัน
สุทินรับเขามาเป็นบุตรบุญธรรมเพราะพ่อแท้ ๆ ของเขาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง แต่สาเหตุที่แท้จริงนั้น เพราะสุทินรู้สึกผิดกับตัวเขาต่างหาก หลายปีก่อนสุทินเป็นพวกไบค์เกอร์ อยู่ในชมรมบิ๊กไบค์ รักการขับมอเตอร์ไซค์เป็นชีวิตจิตใจ หนึ่งในสมาชิกกลุ่มนั้นก็มีพ่อแม่ของชยุตอยู่ด้วย ที่สำคัญพ่อของชายหนุ่มเป็นหัวหน้าชมรม
พวกเขาชอบขับมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ไปเที่ยวกันตามสถานที่ต่าง ๆ ออกต่างจังหวัดบ้าง ขึ้นเหนือล่องใต้ พวกเขาก็จะขับบิ๊กไบค์ไปกันเป็นกลุ่ม มีครั้งหนึ่งพวกเขารวมตัวกันขับมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวที่ภาคเหนือ สุทินก็ร่วมก๊วนไปด้วย พอถึงจังหวัดน่านฝนเกิดทำท่าจะตกขึ้นมา ทำให้ก๊วนต้องหาที่หลบฝนเป็นศาลาริมทางหรือไม่ก็เปิดโรงแรมนอน แต่สุทินไม่เอาด้วยเห็นว่าใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ใครจะพักก็พัก เขาขอไม่พักและจะมุ่งหน้าไปก่อน
พ่อของชยุตที่เป็นหัวหน้าชมรมขอตามไปด้วย เพราะตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม จะปล่อยให้สมาชิกเดินทางตามลำพังได้ยังไง แต่ว่าก็ไม่บังคับสมาชิกที่เหลือ ใครจะตามไปหรือไม่ตามไปก็ได้ เนื่องจากเห็นว่าใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้วนั่นล่ะ จึงตามใจสุทินและออกติดตามไปด้วย
บิ๊กไบค์สองคันกับสามคนออกเดินทางต่อท่ามกลางลมฝนและท้องฟ้าสีดำทมึน ช่วงอยู่บนเนินเขาฝนก็ได้เทลงมาอย่างหนักหน่วง ทั้งสองคันต้องขับมอเตอร์ไซค์ด้วยความระมัดระวังที่สุด แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อรถมอเตอร์ไซค์คันของสุทินเสียหลักล้ม ทำให้คันที่ตามมาคือคันของพ่อแม่ชยุตเบรกไม่ทัน ชนรถของสุทินเข้าอย่างจังทำให้เสียหลักไปด้วยกัน รถสองคันล้มคว่ำและถลาชนราวกั้นตกเหวข้างทาง ถึงไม่ชันมากแต่ด้วยความเร็วของรถที่วิ่งก็ทำให้ทั้งสามบาดเจ็บหนัก
สุทินหมดสติ แม่ของชยุตบาดเจ็บหนักแต่ว่ายังมีสติอยู่ ส่วนคนเป็นพ่อของชยุตก็บาดเจ็บทว่ายังสามารถประคองตัวลุกช่วยเหลือทั้งสองคนได้ แม่ของชยุตที่ยังมีสติอยู่ บอกให้สามีพาสุทินขึ้นไปขอความช่วยเหลือก่อน เพราะเขาหมดสติอาจเสียชีวิตได้ ถึงแม้คนเป็นสามีไม่อยากทำ แต่เมื่อภรรยาคาดคั้นให้ทำ เขาก็จำใจแบกร่างของสุทินขึ้นมาบนถนนเพื่อขอความช่วยเหลือ จากนั้นเขาก็ลงไปช่วยภรรยา แต่... เมื่อกลับมาก็พบว่าภรรยานอนแน่นิ่งและเสียชีวิตไปแล้ว เพราะเสียเลือดมากนั่นเอง
เรื่องนี้ทำให้สุทินรู้สึกผิดและเสียใจมากกับการกระทำของตน ปฏิญาณว่าจะเลิกขับบิ๊กไบค์ตลอดชีวิต มอเตอร์ไซค์ทุกคันที่เขามีก็นำไปขายต่อหมด ถ้าวันนั้นไม่ดื้อฟังคำเตือนของเพื่อน ๆ พี่ ๆ เด็กชายตัวน้อย ๆ ที่กำลังน่ารักคงไม่กำพร้าแม่ วันเวลาผ่านไปสองปี พ่อของชยุตก็ล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็ง เขาทราบข่าวจึงไปเยี่ยม และให้คำมั่นสัญญาว่าหากรุ่นพี่เป็นอะไรไป เขาจะดูแลเด็กชายชยุตราวกับเป็นลูกในสายเลือดคนหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นสามเดือนต่อมาพ่อของชยุตก็เสียชีวิต สุทินขอชยุตมาเป็นลูกบุญธรรมจากย่าของเขา
หลังจากนั้นเด็กชาย ชยุต ปิ่นเงิน ก็กลายเป็น เด็กชาย ชยุต ตั้งเศรษฐการ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ชายหนุ่มไม่เคยโกรธเลยที่พ่อบุญธรรมเป็นต้นเหตุให้เขาต้องกำพร้าแม่ เพราะมีวันนี้ได้ก็มาจากการสนับสนุนของสุทินทั้งนั้น แม้จะแลกมากับความเกลียดชังของนาราภัทรก็ตาม ชายหนุ่มจำแววตาที่หญิงสาวมองตนในวันที่เข้ามาอยู่ในบ้านวันแรกได้ ว่ามันมีแต่ความหยามเหยียดและเกลียดชังมากมายในดวงตาคู่นั้น ส่วนเขามีแต่ความรู้สึกดีที่ได้มีน้องสาวน่ารัก
ชยุตมาอยู่ในบ้านตั้งเศรษฐการฐานะลูกชายของสุทินได้เพียงสองเดือน พ่อบุญธรรมก็หย่ากับภรรยา นาราภัทรตามไปอยู่กับผู้เป็นมารดาด้วย แม้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเขาที่เข้ามาอยู่ในบ้าน แต่นาราภัทรก็มองเขาเป็นตัวปัญหาไปเสียแล้ว
เขารักนาราภัทร เขาอยากแต่งงานกับนาราภัทรเท่านั้น
พอนึกถึงคำพูดของพ่อบุญธรรม ชายหนุ่มแค่นเสียงหัวเราะออกมา "บางส่วนอย่างนั้นหรือ! ทั้งหมดของเศรษฐการกรุ๊ปต่างหาก ทั้งหมดรวมทั้งลูกสาวของสุทินด้วย" ชยุตพึมพำ แม้จะรักและเคารพสุทินเพียงใด รักนาราภัทรแค่ไหน ทว่าทุกอย่างที่อยู่ตรงนี้จะต้องเป็นของเขา เขาคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจและสมองเพื่อเศรษฐการกรุ๊ป ไม่ใช่นาราภัทรที่เอาแต่อวดดีกับพ่อไปวัน ๆ พอนึกได้อย่างนั้นชายหนุ่มก็ทักไปหากานณดาทันที
ชยุต : 'น้องกานต์คะ วันเสาร์ไปเจอกันที่นี่นะคะ' ชายหนุ่มพิมพ์ข้อความไปหาเด็กสาว ไม่ได้หลอกใช้ เขาแค่ขอยืมมือเท่านั้นแหละ
กานต์ : 'พี่ยุตคะ ไม่แน่ใจว่ากานต์จะไปตามนัดได้มั้ย เพราะพี่กันต์ยังไม่กลับไร่ปลายตะวันเลยค่ะ เป็นวันอื่นได้มั้ยคะ' สาวเจ้าตอบกลับมา
ชยุตนึกนั่นสิ! เขาลืมว่าเพื่อนสนิทมากรุงเทพฯ ยังไม่ทันกลับ รายนั้นยิ่งหวงน้องสาวยิ่งกว่างูจงอางหวงไข่อยู่ด้วย ถ้าจะเลื่อนนัดก็ใกล้จะถึงวันส่งผลงานแล้ว ไม่น่าจะทัน หรือจะให้กันตภณรู้แผนการนี้ด้วย ไม่ได้! เพื่อนซี้เป็นตำรวจ ต้องมองออกถึงแผนการของเขาแน่ ชยุตใช้ความคิด แต่เหมือนสวรรค์มาโปรดกานณดาพิมพ์กลับมาอีก ว่ากันตภณมีงานด่วน พี่ชายจะบินกลับวันพรุ่งนี้ซึ่งสโรชากลับไปด้วย เหลือเพียงหลานชายที่ยังอยู่กับผู้เป็นยาย ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงดัง 'มันต้องอย่างนี้ซี'
ชยุต : 'ให้พี่ไปรับที่บ้านมั้ยคะ' เขาถาม
กานต์ : 'ไม่ค่ะ เดี๋ยวกานต์ไปเอง'
ชยุต : 'งั้นก็ได้ค่ะ แล้วเจอกันนะ'
.....
"อะไรนะคะพี่ยุต พี่ยุตจะให้กานต์เป็นนักสืบเหรอ นี่ล้อเล่นใช่มั้ยคะเนี่ย พูดไป" สาวน้อยในชุดเดรสลายตารางสีชมพูพูดปนหัวเราะ สายตามองไปยังผู้ชายหน้าตาคมคายอย่างตลก อยู่ ๆ เพื่อนพี่ชายจะให้ตนเป็นนักสืบ คนอย่างตนเองหรือจะทำได้ แค่คิดก็ขำจะแย่แล้ว ทว่าคนตรงหน้ากลับพยักหน้าให้ แววตาฉายแววจริงจังออกมา บอกว่าเขาไม่ได้พูดเล่น กานณดากลืนน้ำลายดังเอือก กับคำตอบนั้น
"พี่ยุตไม่ได้ล้อเล่นนะคะน้องกานต์ พี่ยุตจริงจังค่ะ" เขายืนยันเป็นคำพูดอีกครั้ง มองน้องสาวเพื่อนด้วยความชื่นชม ในความสวยน่ารักของเด็กสาวที่เกิดจากธรรมชาติล้วน ๆ ไม่ใช่เสริมเติมแต่งเช่นผู้หญิงหลายคนที่ชายหนุ่มเคยพบเจอ
ผ่านมาไม่กี่ปี เด็กน้อยขี้มูกโป่งคนนี้โตเป็นสาวสะพรั่งเสียแล้ว กันตภณคงหวงเป็นบ้า ชยุตบอกกับตัวเองว่าเขาไม่ได้หลอกใช้ แค่ยืมมือเฉย ๆ ใครบอกให้เรื่องมันบังเอิญเกิดขึ้น ที่กานณดามาฝึกงานกับนาราสุ แล้วเขาก็บังเอิญรู้จักกับสาวเจ้า เรื่องนี้จะให้กันตภณรู้ไม่ได้เด็ดขาด
"งานที่พี่ยุตให้น้องกานต์ช่วย ก็แค่หาข้อมูลแล้วมารายงานให้พี่ยุตทราบแค่นั้นเอง ไม่ได้ต้องไปสืบหาอะไรที่มันลึกลับซับซ้อนมากมายหรอก" ชยุตพูดในท่าทีสบาย น้ำเสียงนุ่มนวลและน่าฟัง ไม่บังคับหรืออ้อนวอนเกินเหตุจนดูผิดปกติ
"กานต์ก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ยุตจะให้ทำอยู่ดี" หญิงสาวพูดด้วยความไม่เข้าใจ ดวงตากลมโตจ้องมองและเต็มไปด้วยความสงสัย จริง ๆ ต้องเรียกว่าแปลกใจมากกว่าที่ชยุตโทรมาหา จากที่ไม่เคยติดต่อกันเลย หลังจากวันที่ลงรูปในเฟซบุ๊กแล้วติดแฮ็ชแท็กพี่ชาย ชยุตก็ขอเพิ่มเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กของตน
รักภักดิ์ดี (5)
ชลัน
บทที่ 5 แผนการ
ชยุตนั่งมองกรอบรูปน้องสาวทางกฎหมาย แต่เป็นคนพิเศษทางใจ เหยียดยิ้มให้กับรูปของเธอ เด็กขี้เอาแต่ใจอย่างนาราภัทรน่ะเหรอจะชนะคนอย่างเขาได้ แม้จะยอมรับในฝีมือการบริหารงานของหญิงสาวอยู่บ้างก็ตาม ทว่าก็ยังด้อยกว่าเขานัก ด้อยกว่าเศรษฐการกรุ๊ป ชยุตนึกอย่างถือดี
ในเร็ว ๆ นี้จะมีการประกวดทำโฆษณาเครื่องสำอางแบรนด์ดัง ซึ่งแน่นอนว่าเศรษฐการกรุ๊ปต้องเข้าร่วมด้วย สำคัญคือต้องได้โฆษณาชิ้นนี้มาครอง เพราะค่าตอบแทนที่มากมายมหาศาลนั้น ชายหนุ่มจึงแอบกลัวคู่แข่งอย่างนาราสุ ส่วนบริษัทอื่น ๆ เทียบรัศมีไม่ได้ ที่เจ้าตัวระแวงเพราะ ตั้งแต่มีนาราสุเป็นคู่แข่ง ลูกค้าของเศรษฐการกรุ๊ปหายไปหลายเจ้าพอสมควร รายได้ที่เคยรับก็หายไปด้วย
รองประธานเศรษฐการกรุ๊ปยิ้มอย่างมีเลศนัย สายตามองไปยังรูปของน้องสาว ที่มีใบหน้าคล้ายคุณหญิงพรพิมลผู้เป็นมารดามากกว่าสุทิน อะไรมันจะโชคเข้าข้างขนาดนั้น เมื่อน้องสาวของเพื่อนฝึกงานอยู่ในนั้น ชายหนุ่มมองเห็นแสงสว่างที่จะนำพาเขาไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จและชัยชนะในการแข่งขันทำโฆษณา
"ยุต" เสียงเรียกทำลายฝันกลางวันของชยุตไปชั่วพริบตา เขาคว่ำกรอบรูปนาราภัทรลงอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ว่าเสียงนั้นคือใคร
"ครับคุณพ่อ" ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเมื่อผู้มีพระคุณเดินเข้ามา "มีอะไรหรือเปล่าครับ ให้เลขาโทรตามผมไปพบก็ได้ ไม่เห็นคุณพ่อต้องเข้ามาพบผมเองเลย"
"ไม่มีอะไรหรอก พ่อแค่จะมาคุยเรื่องการแข่งทำโฆษณาน่ะ แกรู้แล้วใช่มั้ยว่านาราสุก็เข้าร่วม" สุทินกล่าว ลูกบุญธรรมพยักหน้า "ดี! แกทำยังไงก็ได้ให้ได้โฆษณาชิ้นนี้มา ห้ามแพ้นาราสุเด็ดขาด และเจ้าอื่นด้วยเข้าใจมั้ย ถ้าแกทำได้พ่อมีรางวัลให้"
"ครับคุณพ่อ" ชยุตรับคำสั่ง
สุทินปรายตามองกรอบรูปบนโต๊ะทำงานของบุตรบุญธรรมที่คว่ำหน้าเอาไว้ เพียงเพราะไม่อยากให้เขาเห็น ชายสูงวัยรู้ว่าคนในกรอบรูปนั้นเป็นใคร เขาจะไม่มีวันให้มันเกิดขึ้นแน่ สุทินไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นในใจของชยุตมานานเท่าไหร่ ที่ผ่านมาตนแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมาโดยตลอด เพราะชยุตเองก็ไม่ได้แสดงออกมา แต่เขารู้!
"คุณพ่อจ้องผมมีอะไรหรือเปล่าครับ" ชายหนุ่มหยั่งเชิง เพราะรู้สึกว่าพ่อบุญธรรมมองเขาอย่างพิจารณาเหลือเกิน
"พ่อว่าปีนี้แกก็อายุเยอะแล้วนะ เมื่อไหร่แกจะมีครอบครัวสักที" สุทินว่า "ถึงแกจะเป็นลูกบุญธรรมของพ่อ ไม่ใช่สายเลือดโดยตรงของพ่อ แต่พ่อเลี้ยงแกมาพ่อก็รักของพ่อ คิดว่าแกเป็นลูกชายในสายเลือดคนหนึ่ง" สุทินเงียบ เหมือนรอให้คนฟังได้คิดตามสิ่งที่เขาพูด "พ่อยากมีหลานสืบนามสกุลน่ะ แกมีครอบครัวพ่อก็จะแบ่งธุรกิจที่พ่อมีให้ แกไม่ต้องกังวล"
"ครับคุณพ่อ แต่ผม..." ชยุตกลืนน้ำลายฝืดคอ เขาไม่เคยรักใคร เขาไม่เคยมีคนในใจนอกจากนาราภัทร
"แกมีคนในใจหรือยัง"
"มอง ๆ อยู่ครับ" เขาตอบ สุทินสังเกตว่าชายหนุ่มหลบสายตาของตน
"ก็ดี! มั่นใจแล้วก็พามาแนะนำกับพ่อหน่อยนะ พ่ออยากมีหลานอุ้มเร็ว ๆ น่ะ แก่แล้ว จะรอน้องสาวแกรายนั้นก็ไม่รู้เมื่อไหร่ หัวดื้อ รั้น พ่อขี้เกลียดพูด ดีหน่อยที่พ่อมีแกคอยช่วย" ชายสูงวัยพูดด้วยรอยยิ้ม ทว่าเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยนัยยะมากมาย และเขาก็รู้ว่าคนฉลาดอย่างชยุตจะเข้าใจ "พ่อคิดว่าแกยังไม่มีคนในใจซะอีก พ่อกะว่าจะแนะนำลูกสาวคุณอภิสิทธิ์ให้ ทั้งสวย ทั้งเก่ง งานบ้านงานเรือนก็เก่ง สำคัญโสด พ่อกะว่าจะขอมาเป็นลูกสะใภ้เสียหน่อย ถ้าแกมีคนของแกแล้วพ่อก็ไม่บังคับ อย่าลืมพามาแนะนำล่ะ" จากนั้นสุทินก็ตบไหล่ลูกชายเบา ๆ แล้วเดินจากไป
ชยุตถอนหายใจ ทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้และหยิบกรอบรูปตั้งไว้เหมือนเดิม จะบอกคนเป็นพ่ออย่างไรว่าเขารักนาราภัทร เมื่อก่อนเขารักสุทินเยี่ยงพ่อบังเกิดเกล้า แต่พอนาราภัทรย่างเข้าสู่วัยสาว ร่างกายเปล่งปลั่ง ทั้งส่วนเว้าส่วนโค้งเปิดเผยอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหน้าตาที่สวยกว่าผู้หญิงทั่วไปหลายคน ก็ทำให้เขามองสุทินเปลี่ยนไปเป็นพ่อของคนรัก แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกได้ เรื่องนี้ทำให้ชยุตเจ็บปวดที่สุดเช่นกัน
สุทินรับเขามาเป็นบุตรบุญธรรมเพราะพ่อแท้ ๆ ของเขาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง แต่สาเหตุที่แท้จริงนั้น เพราะสุทินรู้สึกผิดกับตัวเขาต่างหาก หลายปีก่อนสุทินเป็นพวกไบค์เกอร์ อยู่ในชมรมบิ๊กไบค์ รักการขับมอเตอร์ไซค์เป็นชีวิตจิตใจ หนึ่งในสมาชิกกลุ่มนั้นก็มีพ่อแม่ของชยุตอยู่ด้วย ที่สำคัญพ่อของชายหนุ่มเป็นหัวหน้าชมรม
พวกเขาชอบขับมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ไปเที่ยวกันตามสถานที่ต่าง ๆ ออกต่างจังหวัดบ้าง ขึ้นเหนือล่องใต้ พวกเขาก็จะขับบิ๊กไบค์ไปกันเป็นกลุ่ม มีครั้งหนึ่งพวกเขารวมตัวกันขับมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวที่ภาคเหนือ สุทินก็ร่วมก๊วนไปด้วย พอถึงจังหวัดน่านฝนเกิดทำท่าจะตกขึ้นมา ทำให้ก๊วนต้องหาที่หลบฝนเป็นศาลาริมทางหรือไม่ก็เปิดโรงแรมนอน แต่สุทินไม่เอาด้วยเห็นว่าใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ใครจะพักก็พัก เขาขอไม่พักและจะมุ่งหน้าไปก่อน
พ่อของชยุตที่เป็นหัวหน้าชมรมขอตามไปด้วย เพราะตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม จะปล่อยให้สมาชิกเดินทางตามลำพังได้ยังไง แต่ว่าก็ไม่บังคับสมาชิกที่เหลือ ใครจะตามไปหรือไม่ตามไปก็ได้ เนื่องจากเห็นว่าใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้วนั่นล่ะ จึงตามใจสุทินและออกติดตามไปด้วย
บิ๊กไบค์สองคันกับสามคนออกเดินทางต่อท่ามกลางลมฝนและท้องฟ้าสีดำทมึน ช่วงอยู่บนเนินเขาฝนก็ได้เทลงมาอย่างหนักหน่วง ทั้งสองคันต้องขับมอเตอร์ไซค์ด้วยความระมัดระวังที่สุด แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อรถมอเตอร์ไซค์คันของสุทินเสียหลักล้ม ทำให้คันที่ตามมาคือคันของพ่อแม่ชยุตเบรกไม่ทัน ชนรถของสุทินเข้าอย่างจังทำให้เสียหลักไปด้วยกัน รถสองคันล้มคว่ำและถลาชนราวกั้นตกเหวข้างทาง ถึงไม่ชันมากแต่ด้วยความเร็วของรถที่วิ่งก็ทำให้ทั้งสามบาดเจ็บหนัก
สุทินหมดสติ แม่ของชยุตบาดเจ็บหนักแต่ว่ายังมีสติอยู่ ส่วนคนเป็นพ่อของชยุตก็บาดเจ็บทว่ายังสามารถประคองตัวลุกช่วยเหลือทั้งสองคนได้ แม่ของชยุตที่ยังมีสติอยู่ บอกให้สามีพาสุทินขึ้นไปขอความช่วยเหลือก่อน เพราะเขาหมดสติอาจเสียชีวิตได้ ถึงแม้คนเป็นสามีไม่อยากทำ แต่เมื่อภรรยาคาดคั้นให้ทำ เขาก็จำใจแบกร่างของสุทินขึ้นมาบนถนนเพื่อขอความช่วยเหลือ จากนั้นเขาก็ลงไปช่วยภรรยา แต่... เมื่อกลับมาก็พบว่าภรรยานอนแน่นิ่งและเสียชีวิตไปแล้ว เพราะเสียเลือดมากนั่นเอง
เรื่องนี้ทำให้สุทินรู้สึกผิดและเสียใจมากกับการกระทำของตน ปฏิญาณว่าจะเลิกขับบิ๊กไบค์ตลอดชีวิต มอเตอร์ไซค์ทุกคันที่เขามีก็นำไปขายต่อหมด ถ้าวันนั้นไม่ดื้อฟังคำเตือนของเพื่อน ๆ พี่ ๆ เด็กชายตัวน้อย ๆ ที่กำลังน่ารักคงไม่กำพร้าแม่ วันเวลาผ่านไปสองปี พ่อของชยุตก็ล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็ง เขาทราบข่าวจึงไปเยี่ยม และให้คำมั่นสัญญาว่าหากรุ่นพี่เป็นอะไรไป เขาจะดูแลเด็กชายชยุตราวกับเป็นลูกในสายเลือดคนหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นสามเดือนต่อมาพ่อของชยุตก็เสียชีวิต สุทินขอชยุตมาเป็นลูกบุญธรรมจากย่าของเขา
หลังจากนั้นเด็กชาย ชยุต ปิ่นเงิน ก็กลายเป็น เด็กชาย ชยุต ตั้งเศรษฐการ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ชายหนุ่มไม่เคยโกรธเลยที่พ่อบุญธรรมเป็นต้นเหตุให้เขาต้องกำพร้าแม่ เพราะมีวันนี้ได้ก็มาจากการสนับสนุนของสุทินทั้งนั้น แม้จะแลกมากับความเกลียดชังของนาราภัทรก็ตาม ชายหนุ่มจำแววตาที่หญิงสาวมองตนในวันที่เข้ามาอยู่ในบ้านวันแรกได้ ว่ามันมีแต่ความหยามเหยียดและเกลียดชังมากมายในดวงตาคู่นั้น ส่วนเขามีแต่ความรู้สึกดีที่ได้มีน้องสาวน่ารัก
ชยุตมาอยู่ในบ้านตั้งเศรษฐการฐานะลูกชายของสุทินได้เพียงสองเดือน พ่อบุญธรรมก็หย่ากับภรรยา นาราภัทรตามไปอยู่กับผู้เป็นมารดาด้วย แม้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเขาที่เข้ามาอยู่ในบ้าน แต่นาราภัทรก็มองเขาเป็นตัวปัญหาไปเสียแล้ว
เขารักนาราภัทร เขาอยากแต่งงานกับนาราภัทรเท่านั้น
พอนึกถึงคำพูดของพ่อบุญธรรม ชายหนุ่มแค่นเสียงหัวเราะออกมา "บางส่วนอย่างนั้นหรือ! ทั้งหมดของเศรษฐการกรุ๊ปต่างหาก ทั้งหมดรวมทั้งลูกสาวของสุทินด้วย" ชยุตพึมพำ แม้จะรักและเคารพสุทินเพียงใด รักนาราภัทรแค่ไหน ทว่าทุกอย่างที่อยู่ตรงนี้จะต้องเป็นของเขา เขาคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจและสมองเพื่อเศรษฐการกรุ๊ป ไม่ใช่นาราภัทรที่เอาแต่อวดดีกับพ่อไปวัน ๆ พอนึกได้อย่างนั้นชายหนุ่มก็ทักไปหากานณดาทันที
ชยุต : 'น้องกานต์คะ วันเสาร์ไปเจอกันที่นี่นะคะ' ชายหนุ่มพิมพ์ข้อความไปหาเด็กสาว ไม่ได้หลอกใช้ เขาแค่ขอยืมมือเท่านั้นแหละ
กานต์ : 'พี่ยุตคะ ไม่แน่ใจว่ากานต์จะไปตามนัดได้มั้ย เพราะพี่กันต์ยังไม่กลับไร่ปลายตะวันเลยค่ะ เป็นวันอื่นได้มั้ยคะ' สาวเจ้าตอบกลับมา
ชยุตนึกนั่นสิ! เขาลืมว่าเพื่อนสนิทมากรุงเทพฯ ยังไม่ทันกลับ รายนั้นยิ่งหวงน้องสาวยิ่งกว่างูจงอางหวงไข่อยู่ด้วย ถ้าจะเลื่อนนัดก็ใกล้จะถึงวันส่งผลงานแล้ว ไม่น่าจะทัน หรือจะให้กันตภณรู้แผนการนี้ด้วย ไม่ได้! เพื่อนซี้เป็นตำรวจ ต้องมองออกถึงแผนการของเขาแน่ ชยุตใช้ความคิด แต่เหมือนสวรรค์มาโปรดกานณดาพิมพ์กลับมาอีก ว่ากันตภณมีงานด่วน พี่ชายจะบินกลับวันพรุ่งนี้ซึ่งสโรชากลับไปด้วย เหลือเพียงหลานชายที่ยังอยู่กับผู้เป็นยาย ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงดัง 'มันต้องอย่างนี้ซี'
ชยุต : 'ให้พี่ไปรับที่บ้านมั้ยคะ' เขาถาม
กานต์ : 'ไม่ค่ะ เดี๋ยวกานต์ไปเอง'
ชยุต : 'งั้นก็ได้ค่ะ แล้วเจอกันนะ'
.....
"อะไรนะคะพี่ยุต พี่ยุตจะให้กานต์เป็นนักสืบเหรอ นี่ล้อเล่นใช่มั้ยคะเนี่ย พูดไป" สาวน้อยในชุดเดรสลายตารางสีชมพูพูดปนหัวเราะ สายตามองไปยังผู้ชายหน้าตาคมคายอย่างตลก อยู่ ๆ เพื่อนพี่ชายจะให้ตนเป็นนักสืบ คนอย่างตนเองหรือจะทำได้ แค่คิดก็ขำจะแย่แล้ว ทว่าคนตรงหน้ากลับพยักหน้าให้ แววตาฉายแววจริงจังออกมา บอกว่าเขาไม่ได้พูดเล่น กานณดากลืนน้ำลายดังเอือก กับคำตอบนั้น
"พี่ยุตไม่ได้ล้อเล่นนะคะน้องกานต์ พี่ยุตจริงจังค่ะ" เขายืนยันเป็นคำพูดอีกครั้ง มองน้องสาวเพื่อนด้วยความชื่นชม ในความสวยน่ารักของเด็กสาวที่เกิดจากธรรมชาติล้วน ๆ ไม่ใช่เสริมเติมแต่งเช่นผู้หญิงหลายคนที่ชายหนุ่มเคยพบเจอ
ผ่านมาไม่กี่ปี เด็กน้อยขี้มูกโป่งคนนี้โตเป็นสาวสะพรั่งเสียแล้ว กันตภณคงหวงเป็นบ้า ชยุตบอกกับตัวเองว่าเขาไม่ได้หลอกใช้ แค่ยืมมือเฉย ๆ ใครบอกให้เรื่องมันบังเอิญเกิดขึ้น ที่กานณดามาฝึกงานกับนาราสุ แล้วเขาก็บังเอิญรู้จักกับสาวเจ้า เรื่องนี้จะให้กันตภณรู้ไม่ได้เด็ดขาด
"งานที่พี่ยุตให้น้องกานต์ช่วย ก็แค่หาข้อมูลแล้วมารายงานให้พี่ยุตทราบแค่นั้นเอง ไม่ได้ต้องไปสืบหาอะไรที่มันลึกลับซับซ้อนมากมายหรอก" ชยุตพูดในท่าทีสบาย น้ำเสียงนุ่มนวลและน่าฟัง ไม่บังคับหรืออ้อนวอนเกินเหตุจนดูผิดปกติ
"กานต์ก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ยุตจะให้ทำอยู่ดี" หญิงสาวพูดด้วยความไม่เข้าใจ ดวงตากลมโตจ้องมองและเต็มไปด้วยความสงสัย จริง ๆ ต้องเรียกว่าแปลกใจมากกว่าที่ชยุตโทรมาหา จากที่ไม่เคยติดต่อกันเลย หลังจากวันที่ลงรูปในเฟซบุ๊กแล้วติดแฮ็ชแท็กพี่ชาย ชยุตก็ขอเพิ่มเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กของตน