ตอนนี้ผมมีเพจแล้วนะครับ ไปติดตามกันได้ครับ
https://www.facebook.com/Mr.CoffeeKDramaReview
รีวิวซีรีส์
เรื่องที่ 151 The Glory มี 8+8 EP ละประมาณ 50 นาที / Netflix
ในช่วงที่ผ่านมา ซีรีส์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่โด่งดังที่สุด แต่ด้วยการเข้าฉายแบบพิสดาร มารอบละ 8 ตอน ทำให้ตอนจบ 8 ตอนแรก คนดูต้องนั่งรอนอนรอ 8 ตอนหลังอย่างใจจดใจจ่อ และในที่สุด 8 ตอนหลังก็มาสักที
The Glory เป็นเรื่องราวแนวแก้แค้น ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวที่เป็นที่นิยมมากของเกาหลี ด้วยการเขียนบทจากนักเขียนชื่อดัง คิม อึน-ซุก ผู้เขียนเรื่องดังอย่าง Secret Garden, The Heirs, Descendants of the Sun, Guardian: The Lonely and Great God, Mr. Sunshine, The King: Eternal Monarch และ The Glory แค่ดูรายชื่อเรื่องที่เขียนก็รับประกันฝีมือได้
อีกทั้งยังได้ ซองเฮเคียว นักแสดงหญิงระดับท็อปของวงการ มารับบทเป็น มุนดงอึน ผู้ถูกการบูลลี่และทำร้ายในวัยเด็ก เก็บความแค้นไว้และกลับมาแก้แค้นคนที่ทำกับเธอไว้ด้วยแผนการอันแยบยล
สิ่งที่ทำให้ The Glory โด่งดังเห็นจะเป็นเรื่องของการบูลลี่ ที่น่าจะเป็นปัญหาระดับชาติของเกาหลี ดังจะเห็นได้จากการแบนนักแสดงที่เคยมีพฤติกรรมบูลลี่และแกล้งเพื่อนในวัยเด็ก โดนกันไปหลายรายมาก แต่เรื่องนี้นั้นตีแผ่ความรุนแรงในระดับที่รุนแรงมากๆ หลายคนถึงกับถามกันว่ามันเป็นจริงหรือ และที่น่าเศร้ากว่านั้น ครูและเด็กๆหลายคนออกมาเปิดเผยว่า เรื่องจริงแรงยิ่งกว่าในซีรีส์ก็มี เรื่องนี้จึงเหมือนการสร้างความตระหนักรู้ให้กับสังคมเกาหลีว่า ปัญหาบูลลี่มันใหญ่กว่าแค่เรื่องเด็กๆทะเลาะกัน
ช่วงแรกๆของเรื่องนี้ มันหดหู่ รุนแรง กดดันเป็นอย่างมาก มุนดงอึนในวัยเด็ก ที่แสดงโดย จองจีซู ที่เราอาจจะคุ้นหน้าเธอจาก Parasite นั้น แสดงได้หนักหนา กดดัน และน่าสงสารมาก แต่ MVP ของเรื่องนี้นั้นมาจากนางร้ายหลักที่ในวัยเด็กนำแสดงโดย ชินเยอึน ที่ปกติเธอเป็นนางเอก ในเรื่องนี้มารับบท พัคยอนจิน บอกเลยว่าดูน้องเขาเล่นประจำ เล่นเป็นนางเอกทั้งแสนดี ทั้งแนวเท่ แต่พอมาเป็นนางร้าย สีหน้าและแววตาเธอน่ากลัวมาก!!! (ส่วนตัวผมว่าน่ากลัวกว่าอิมจียอนที่เป็นพัคยอนจินตอนโตเสียอีก) เธอน่ากลัวจนหลายคนอยากในเธอหันไปเล่นบทร้ายเลยด้วยซ้ำ
การแคสติ้งนักแสดงของเรื่องนี้เป็นหนึ่งในจุดเด่นมากๆครับ เลือกนักแสดงในวัยเด็กกับตอนโตมาได้ใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง ทำให้การส่งต่อคาแรกเตอร์นั้นทำได้สมบูรณ์มากๆ และทำให้เรื่องราวดูน่าเชื่อถือเมื่อย้อนเวลากลับไปเล่าเรื่องในวัยเด็กได้ทุกครั้ง
เมื่อเรื่องราวเดินทางมาถึงช่วงโตขึ้น มันแสดงให้เห็นถึงระดับความแค้นของนางเอกที่ใช้แทบทุกวินาทีเพื่อไปสู่แผนการแก้แค้นอันยิ่งใหญ่ของเธอ ความทุ่มเท การลงทุน เรื่องของหมากล้อมก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งหนึ่งที่เธอลงทุนทำเพื่อให้ไปถึงแผนการนั้น
หลายคนดูแล้วก็คงไม่ค่อยเข้าใจว่านางเอกทำไม่ไม่หาวิธีที่มันแก้แค้นได้เร็วกว่าที่เป็นอยู่ แต่นางเอกก็เล่าเสมอว่าเธอต้องการให้พัคยอนจินไม่เหลือใครเลยรอบข้างเหมือนที่เธอเคยเป็น เรื่องราวการแก้แค้นครั้งนี้มันก็เลยดูซับซ้อนเกินไปบ้าง
สิ่งที่พอจะเป็นจุดด้อยของเรื่องนี้ที่เห็นบ้าง คือการที่เมื่อเข้าสู่เรื่องราวในช่วง 8 EP หลัง มันดูค่อนข้างเป็นไปตามที่นางเอกวางแผนไว้แทบทั้งหมด ปกติแล้วซีรีส์แนวแก้แค้นนี้ มันจะต้องมีได้เปรียบ เสียเปรียบ แก้ทางกันไปมาเป็นปกติ เรื่องนี้มันเลยดูอาจจะง่ายเกินไปหน่อย จริงๆระดับความซับซ้อนนั้นสูงมาก มันเกินจริงไปบ้างแต่ก็ดูสนุกมากอยู่ดี
ถึงจุดนี้หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่พูดถึงพระเอก ที่แสดงโดย อีโดฮยอน บ้าง จริงๆเป็นบทพระเอกที่ไม่เด่นมากครับ แต่ความทุ่มเทในการสนับสนุนนางเอกนั้นต้องให้เต็ม 100 จะมีความรู้สึกว่าแคสติ้งมันแปลกนิดหน่อยในตอนที่ให้นางเอกเรียกพระเอกว่ารุ่นพี่ ในขณะที่อีโดฮยอนนั้นอายุยังแค่ 27 ปีเท่านั้น การแสดงนั้นดีหมด แต่ในมุมมองของผม มองว่าก็น่าจะใช้พระเอกที่รุ่นใหญ่กว่านี้สักหน่อยดีกว่าไหม
ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นๆนั้นแสดงได้ดีทุกคนครับ ทำให้ซีรีส์ออกมาสมบูรณ์แบบมากทีเดียว ยังไม่นับความกล้าของนักแสดงหญิงหลายๆคนในหลายๆฉาก ที่ไม่น่าจะฉายทางทีวีปกติได้แน่ คำเตือนอย่างหนึ่งที่ต้องเตือนกันไว้สำหรับ Netflix original series ก็คือส่วนใหญ่ไม่เหมาะสำหรับเด็กนะครับ ดูคำเตือนที่มุมขวาบนของจอภาพก่อนเริ่มเรื่องด้วยครับ
โดยสรุปคือเป็นซีรีส์ที่หนัก แต่ดูสนุกและเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง เอาเป็นว่าใครชอบแนวแก้แค้น นี้คือ 1 เรื่องที่พลาดไม่ได้เลยล่ะครับ แนะนำครับ
[CR] [Mr. Coffee รีวิว] The Glory ความแค้นแบบนี้ วางแผนเป็นสิบๆปีก็ไม่สายเกินไป
https://www.facebook.com/Mr.CoffeeKDramaReview
รีวิวซีรีส์
เรื่องที่ 151 The Glory มี 8+8 EP ละประมาณ 50 นาที / Netflix
ในช่วงที่ผ่านมา ซีรีส์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่โด่งดังที่สุด แต่ด้วยการเข้าฉายแบบพิสดาร มารอบละ 8 ตอน ทำให้ตอนจบ 8 ตอนแรก คนดูต้องนั่งรอนอนรอ 8 ตอนหลังอย่างใจจดใจจ่อ และในที่สุด 8 ตอนหลังก็มาสักที
The Glory เป็นเรื่องราวแนวแก้แค้น ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวที่เป็นที่นิยมมากของเกาหลี ด้วยการเขียนบทจากนักเขียนชื่อดัง คิม อึน-ซุก ผู้เขียนเรื่องดังอย่าง Secret Garden, The Heirs, Descendants of the Sun, Guardian: The Lonely and Great God, Mr. Sunshine, The King: Eternal Monarch และ The Glory แค่ดูรายชื่อเรื่องที่เขียนก็รับประกันฝีมือได้
อีกทั้งยังได้ ซองเฮเคียว นักแสดงหญิงระดับท็อปของวงการ มารับบทเป็น มุนดงอึน ผู้ถูกการบูลลี่และทำร้ายในวัยเด็ก เก็บความแค้นไว้และกลับมาแก้แค้นคนที่ทำกับเธอไว้ด้วยแผนการอันแยบยล
สิ่งที่ทำให้ The Glory โด่งดังเห็นจะเป็นเรื่องของการบูลลี่ ที่น่าจะเป็นปัญหาระดับชาติของเกาหลี ดังจะเห็นได้จากการแบนนักแสดงที่เคยมีพฤติกรรมบูลลี่และแกล้งเพื่อนในวัยเด็ก โดนกันไปหลายรายมาก แต่เรื่องนี้นั้นตีแผ่ความรุนแรงในระดับที่รุนแรงมากๆ หลายคนถึงกับถามกันว่ามันเป็นจริงหรือ และที่น่าเศร้ากว่านั้น ครูและเด็กๆหลายคนออกมาเปิดเผยว่า เรื่องจริงแรงยิ่งกว่าในซีรีส์ก็มี เรื่องนี้จึงเหมือนการสร้างความตระหนักรู้ให้กับสังคมเกาหลีว่า ปัญหาบูลลี่มันใหญ่กว่าแค่เรื่องเด็กๆทะเลาะกัน
ช่วงแรกๆของเรื่องนี้ มันหดหู่ รุนแรง กดดันเป็นอย่างมาก มุนดงอึนในวัยเด็ก ที่แสดงโดย จองจีซู ที่เราอาจจะคุ้นหน้าเธอจาก Parasite นั้น แสดงได้หนักหนา กดดัน และน่าสงสารมาก แต่ MVP ของเรื่องนี้นั้นมาจากนางร้ายหลักที่ในวัยเด็กนำแสดงโดย ชินเยอึน ที่ปกติเธอเป็นนางเอก ในเรื่องนี้มารับบท พัคยอนจิน บอกเลยว่าดูน้องเขาเล่นประจำ เล่นเป็นนางเอกทั้งแสนดี ทั้งแนวเท่ แต่พอมาเป็นนางร้าย สีหน้าและแววตาเธอน่ากลัวมาก!!! (ส่วนตัวผมว่าน่ากลัวกว่าอิมจียอนที่เป็นพัคยอนจินตอนโตเสียอีก) เธอน่ากลัวจนหลายคนอยากในเธอหันไปเล่นบทร้ายเลยด้วยซ้ำ
การแคสติ้งนักแสดงของเรื่องนี้เป็นหนึ่งในจุดเด่นมากๆครับ เลือกนักแสดงในวัยเด็กกับตอนโตมาได้ใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง ทำให้การส่งต่อคาแรกเตอร์นั้นทำได้สมบูรณ์มากๆ และทำให้เรื่องราวดูน่าเชื่อถือเมื่อย้อนเวลากลับไปเล่าเรื่องในวัยเด็กได้ทุกครั้ง
เมื่อเรื่องราวเดินทางมาถึงช่วงโตขึ้น มันแสดงให้เห็นถึงระดับความแค้นของนางเอกที่ใช้แทบทุกวินาทีเพื่อไปสู่แผนการแก้แค้นอันยิ่งใหญ่ของเธอ ความทุ่มเท การลงทุน เรื่องของหมากล้อมก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งหนึ่งที่เธอลงทุนทำเพื่อให้ไปถึงแผนการนั้น
หลายคนดูแล้วก็คงไม่ค่อยเข้าใจว่านางเอกทำไม่ไม่หาวิธีที่มันแก้แค้นได้เร็วกว่าที่เป็นอยู่ แต่นางเอกก็เล่าเสมอว่าเธอต้องการให้พัคยอนจินไม่เหลือใครเลยรอบข้างเหมือนที่เธอเคยเป็น เรื่องราวการแก้แค้นครั้งนี้มันก็เลยดูซับซ้อนเกินไปบ้าง
สิ่งที่พอจะเป็นจุดด้อยของเรื่องนี้ที่เห็นบ้าง คือการที่เมื่อเข้าสู่เรื่องราวในช่วง 8 EP หลัง มันดูค่อนข้างเป็นไปตามที่นางเอกวางแผนไว้แทบทั้งหมด ปกติแล้วซีรีส์แนวแก้แค้นนี้ มันจะต้องมีได้เปรียบ เสียเปรียบ แก้ทางกันไปมาเป็นปกติ เรื่องนี้มันเลยดูอาจจะง่ายเกินไปหน่อย จริงๆระดับความซับซ้อนนั้นสูงมาก มันเกินจริงไปบ้างแต่ก็ดูสนุกมากอยู่ดี
ถึงจุดนี้หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่พูดถึงพระเอก ที่แสดงโดย อีโดฮยอน บ้าง จริงๆเป็นบทพระเอกที่ไม่เด่นมากครับ แต่ความทุ่มเทในการสนับสนุนนางเอกนั้นต้องให้เต็ม 100 จะมีความรู้สึกว่าแคสติ้งมันแปลกนิดหน่อยในตอนที่ให้นางเอกเรียกพระเอกว่ารุ่นพี่ ในขณะที่อีโดฮยอนนั้นอายุยังแค่ 27 ปีเท่านั้น การแสดงนั้นดีหมด แต่ในมุมมองของผม มองว่าก็น่าจะใช้พระเอกที่รุ่นใหญ่กว่านี้สักหน่อยดีกว่าไหม
ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นๆนั้นแสดงได้ดีทุกคนครับ ทำให้ซีรีส์ออกมาสมบูรณ์แบบมากทีเดียว ยังไม่นับความกล้าของนักแสดงหญิงหลายๆคนในหลายๆฉาก ที่ไม่น่าจะฉายทางทีวีปกติได้แน่ คำเตือนอย่างหนึ่งที่ต้องเตือนกันไว้สำหรับ Netflix original series ก็คือส่วนใหญ่ไม่เหมาะสำหรับเด็กนะครับ ดูคำเตือนที่มุมขวาบนของจอภาพก่อนเริ่มเรื่องด้วยครับ
โดยสรุปคือเป็นซีรีส์ที่หนัก แต่ดูสนุกและเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง เอาเป็นว่าใครชอบแนวแก้แค้น นี้คือ 1 เรื่องที่พลาดไม่ได้เลยล่ะครับ แนะนำครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้