คุณอายไม่อยากให้ใครเห็นเวลาร้องไห้ไหมคะ


คุณอายไม่อยากให้ใครเห็นเวลาร้องไห้ไหมคะ?

         คุณอายไหมคะ จอยเป็นค่ะ อายมากกก เป็นความรู้สึกที่ต้องพยายามสะกดกลั้นอย่างรุนแรง เมื่อความรู้สึกนั้นกำลังจะพลุ่งขึ้นมา ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว เสียงที่พูดเริ่มเครือลงจนไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอหอย แล้วใบหน้าก็เริ่มจะบิดเบี้ยว ปากเม้มสนิทแน่นอย่างพยายามสะกดกลั้น เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ  ถ้าทำได้ตอนนั้นก็อยากจะวิ่งหนีไปแอบที่ไหนสักแห่ง (ซึ่งปกติแล้วจอยจะวิ่งเข้าไปแอบในห้องน้ำ เพราะมีทิชชูด้วย)

       ที่จริง หากคนเราจะร้องไห้เพราะเหตุผลอันควรที่ต้องโศกเศร้าเพราะสูญเสียคนที่รัก หรือสิ่งที่รักไปก็ไม่มีใครว่า จอยก็รู้ แต่วินาทีนั้นมันอายจริงๆ นะ ทำอะไรไม่ถูก

       เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งนานมากแล้วที่แก๊งค์ Fantastic 4 ของเรามีอันต้องขาดหายไป 1 คน เพราะได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ เราสามสาวพากันไปส่งหนึ่งหนุ่มที่แม้จะเป็นเพื่อนซี้กันมาเพียง 2 ปี แต่รสนิยมที่ต้องตรงกันอย่างยิ่งทำให้เราสนิทสนมกันแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกันมาแต่เล็กซะอีก

       ที่สนามบิน  ได้เวลาที่ผู้โดยสารจะต้องเข้าไปข้างในแล้ว เราสี่คนร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้าย สองสาวเริ่มหูตาแดงๆ 

       ส่วนจอยน่ะหรือ พอเห็นเพื่อนเริ่มจะออกอาการโศก ก็ชักจะเป็นไปกับเขาด้วย  ไม่ได้ ไม่ได้ จะร้องไห้ออกมากลางสนามบินแบบนี้ไม่ได้

      “เฮ้ย พวกแกเนี่ย ต้อมเขาไปแค่ปีเดียว เดี๋ยวก็กลับมา ไม่ต้องร้องไห้หรอก” จอยทำเสียงดุ ทำหน้าเคร่งใส่แบบพวกเธอนี่ไร้สาระ ที่จอยต้องพยายามทำแบบนี้ก็เพื่อข่มตัวเอง เพราะสองสาวเริ่มจะมีสะอื้น จอยเองก็เริ่มขอบตาร้อนๆ ไม่กล้ามองหน้าต้อม กลัวเขาจะใจเสียด้วยล่ะ

      แล้วงานนี้จอยก็กลั้นน้ำตาได้สำเร็จ รู้สึกดีที่ไม่ต้องขายหน้า สามารถเอาชนะตัวเองได้

      แม้เวลาช่วงนั้นผ่านไปแล้วจอยมานึกได้ทีหลังนั้นเป็นความรู้สึกดีๆ แต่ตอนนั้นน่ะซิ วินาทีที่กำลังจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ จอยไม่รู้สึกดีกับมันเลย ไม่เอา ไม่ร้อง ต้องไม่ร้อง จอยจะอายมาก ไม่รู้จะหันหน้าหนีไปทางไหน เพราะบางเรื่อง บางคนที่เขาไม่ซาบซึ้งกับอะไร เขาเข้มแข็งกว่าจอยมาก เขาจะต้องหัวเราะเยาะจอยแน่ๆ เลย 

      คุณเข้าใจจอยใช่ไหมคะ

     จอยว่าอาการนี้ไม่มีทางหายแน่นอน ไม่ว่าจอยจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น หรือมีวุฒิภาวะมากขึ้นก็ตาม
 

     คืนนี้จอยมางานสังสรรค์ได้เจอเพื่อนรักเพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่เด็ก เราคุยกันได้พักใหญ่เพื่อนคนนี้ก็เริ่มหันเหเรื่องราวมายังปมที่อยู่ในใจของจอย ความที่สนิทกันมากและจอยเป็นคนถนอมน้ำใจเพื่อนในขณะที่เพื่อนไม่เคยถนอมน้ำใจจอยเลย จอยนั่งเงียบให้เพื่อนทับถมบอกว่าจอยแย่อย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ จะต้องปรับปรุงตัวใหม่ ไปจนถึงเรื่องหนุ่มที่จอยชอบ เพื่อนก็ไม่สนับสนุน ยิ่งจอยไม่ต่อล้อต่อเถียงเพื่อนก็สารพัดจะหาเรื่องมาตำหนิติเตียนเขา  

     หลังจากงานเลี้ยงสังสรรค์ (ที่จอยไม่สนุกเลย)ได้จบลง จอยอาสาขับรถไปส่งเพื่อนบางคนที่ไม่มีรถ

      เป็นเวลาดึกทีเดียว กว่าจอยจะตระเวนส่งทุกคนครบ

      คำพูดของเพื่อนสนิทตามมารบกวนจิตใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจสารพัด ประดังกันเข้ามาจนจอยกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เวลานี้ไม่มีใครที่จอยต้องอายแล้ว จึงปล่อยให้น้ำตาพร่างพรู ได้แต่ถามตัวเองว่า

      ทำไมนะ ทำไม เพื่อนที่จอยรักที่สุด เขาถึงพูดกับจอยแบบนี้ นับวันเขาเริ่มจะไม่รักษาน้ำใจจอยมากขึ้นทุกที ยิ่งสนิทมากยิ่งไม่เกรงใจ หากจอยทำอะไรที่เขาไม่เห็นด้วยเขาก็จะว่า ว่า  ว่า ทั้งๆ ที่เราก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว น่าจะเคารพสิทธิความคิดเห็นส่วนตัวและให้เกียรติกันบ้าง

      ไม่เพียงแค่น้ำตาไหล จอยเริ่มสะอึกสะอื้น ทางข้างหน้าพร่าพรายไปหมด รีบหยิบทิชชูมาเช็ดน้ำตา รถเริ่มเซๆ ไปบ้างเพราะมองไม่เห็นทาง แต่ดึกแล้วรถน้อย 

      อาการร้องไห้เริ่มหยุดไม่ได้ น้อยใจนัก ฮือ ฮือ ร้องไปขับรถไปสะอึกสะอื้นจนเหนื่อย แสบตาไปหมด น้ำตาไหลเป็นสาย เอ้า ร้องไห้เข้าไป ไม่มีใครเห็น ไม่ต้องอายใคร ร้องให้หายอัดอั้น

      มีแสงไฟแว่บๆ อยู่ข้างหน้า จอยพยายามเพ่งมองผ่านม่านน้ำตาว่ามันคืออะไร ตาก็แสบ จมูกก็หายใจไม่ออก แบบนี้ยิ่งอยากจะรีบกลับให้ถึงบ้านเร็วๆ

       พอรถเคลื่อนเข้าไปใกล้ๆ จอยจึงรู้ว่าคือด่านตำรวจตรวจแอลกอฮอล์ 

      จอยถูกเรียกให้จอด อะไรกันนี่ ฉันกำลังร้องไห้ ฉันอายไม่อยากให้ใครเห็น จะมาเรียกให้หยุดทำไม

      นายตำรวจเข้ามายืนข้างๆ กระจกรถ ปกติแล้วคนขับจะต้องลดกระจกลงเพื่อเจรจา แต่นี่จอยนั่งร้องไห้เฉย ไม่อยากจะพูดกับใคร

      ตำรวจรายนั้นแตะมือที่กระบังหมวกพร้อมกับบอกว่า “ช่วยลดกระจกหน่อยครับ”

      จอยกดปุ่มลดกระจดลงแค่ครึ่ง อาการร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างชนิดที่หยุดไม่ได้นั้นทำให้จอยแหวออกไปว่า

       “มันอะไรกันคะคุณตำรวจ  ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังร้องไห้  ฮือ ฮือ และฉันก็อายมากไม่อยากให้ใครเห็น  ฉันอุตส่าห์นั่งร้องไห้มาคนเดียวในรถ คุณยังมาเรียกจอดอีก ฮือ ฮือ จะเอายังไง เรียกทำไม ฉันร้องไห้แบบนี้ยิ่งจะหยุดร้องไม่ได้ แล้วคุณจะยังมาหาเรื่องกับฉันอีก จะไม่ให้ฉันหยุดร้องไห้หรือยังไง ฉันอยากกลับบ้านเต็มทนแล้ว เหนื่อยก็เหนื่อย เพื่อนยังมาพูดไม่ดีกับฉัน ฮือ ฮือ ฉันเสียใจมากรู้ไหม ยังไม่พออีกหรือ คุณตำรวจยังจะมาจับฉันอีก ข้อหาอะไร ขับรถร้องไห้งั้นเหรอ ฮือ ฮือ” จอยใส่ไม่ยั้ง ไม่รู้พูดออกไปได้อย่างไร

       นายตำรวจคนนั้น มีอาการตกตะลึง หน้าซีดแล้วเริ่มอึกอัก ทำอะไรไม่ถูก

      “เอ่อ เอ่อ ใจเย็นๆ นะครับ ผมไม่ได้จะจับหรือว่าอะไรคุณ”

       “ก็ฉันอาย ไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น แล้วคุณยังมาเรียกให้หยุด ทีนี้คุณก็เห็นแล้วล่ะซิว่าฉันร้องไห้ คุณจะหัวเราะเยาะฉันใช่ไหมนี่”

       “ไม่ครับ ไม่หัวเราะ ไม่แน่นอนครับ ถ้างั้นผมไม่มีอะไรจะตรวจแล้ว เชิญคุณผ่านไปได้” นายตำรวจคนนั้นละล่ำละลักอย่างรู้สึกผิดเต็มที่

       จอยขับรถออกมา น้ำตาหยุดไหลไปเอง แล้วเริ่มได้สติว่าเมื่อกี้เล่นงานตำรวจไปชุดใหญ่ อาการเศร้าโศกน้อยใจเพื่อนหายไปราวปลิดทิ้ง 
บอกตัวเองว่า ร้องไห้นี่ก็ได้ประโยชน์เหมือนกันแฮะ

        ขับรถมาถึงบ้าน คิดทบทวนถึงเรื่องราวที่เพิ่งผ่านมา นึกถึงนายตำรวจหน้าซีดจ๋อยคนนั้น ท่าทางเบื้อใบ้คล้ายจะทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะนั้น ทำให้จอยเกือบจะหัวเราะออกมาเล็กๆ  

        ทีนี้จอยรู้แล้วว่า น้ำตาผู้หญิงมีอิทธิพลต่อผู้ชาย (บางคน) ขนาดไหน 

        แต่กระนั้น จอยก็ยังอายที่จะร้องไห้ออกมาให้ใครเห็นอยู่ดี และคงทำไม่ได้ที่จะบีบน้ำตาอ้อนผู้ชายคนไหนทั้งนั้น

จบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่