เอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงของ ตร. ที่ขอหมายจับ อุปกิต ระบุศาลยกเลิกหมายจับเพราะ ‘ผู้ใหญ่น่าจะตำหนิ’
https://thematter.co/brief/เอกสารชี้แจงข้อเท็จจริ/198865
จากกรณีที่หมายจับถูกเปลี่ยนเป็นหมายเรียกของ
อุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา ล่าสุด
วศินี พิบูประภาพ นักข่าวจากสำนักข่าว Today ได้เปิดเผยเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงของนายตำรวจที่เข้าขอหมายจับ โดยมีเอกสารทั้งหมด 7 หน้า แบ่งเป็น 27 ข้อ
ในเอกสารดังกล่าวลงชื่อ มานะพงษ์ วงศ์วิวัฒน์ สารวัตรสืบสวน สน. พญาไท โดยจุดที่สำคัญอยู่ตั้งแต่ข้อ (9) The MATTER สรุปประเด็นสำคัญในเอกสารดังกล่าว ดังนี้
1. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม
ทุน มิน หลัด ชาวเมียนมาร์ในความผิดเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด และจากการสอบปากคำผู้ต้องหาพบว่า
อุปกิต มีความเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าว
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2565 ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ
อุปกิต ในความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินและยาเสพติด หมายจับศาลอาญาที่ จ.554/ 2565
2. แต่ในวันเดียวกัน (3 ตุลาคม 2565) พ.ต.ท.
มานะพงษ์ ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ศาลให้นำหมายจับฉบับจริง และเอกสารที่เกี่ยวข้องไปพบรองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญา
3. ระหว่างที่ พ.ต.ท.
มานะพงษ์ กำลังเดินทางไปที่ศาล ได้มีโทรศัพท์จากอดีตผู้บังคับบัญชาถามว่า เหตุใดจึงไปขอหมายจับ
อุปกิต ซึ่งทาง พ.ต.ท.
มานะพงษ์ ชี้แจงว่า ตนเชื่อว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอจึงขอออกหมายจับ
4. พ.ต.ท.
มานะพงษ์ พร้อมผู้บังคับบัญชา 2 คน ได้เข้าไปในห้องประชุมของอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญา และพบว่าในห้องมีอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญา, รองอธิบดี ผู้พิพากษา ศาลอาญา (ที่เรียกเขาไปพบ), และเลขาธิการ ศาลอาญานั่งอยู่ในห้อง
ขณะที่เข้าไปห้องประชุม รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญา ที่เรียกเขาไปพบกำลังคุยโทรศัพท์กับนายตำรวจระดับสูงคนหนึ่ง เพื่อสอบถามว่าทำไม พ.ต.ท.
มานะพงษ์ ถึงขอออกหมายจับ ส.ว. และได้ยื่นโทรศัพท์ให้ พ.ต.ท.
มานะพงษ์ คุยกับนายตำรวจคนดังกล่าว ซึ่งเขายืนยันว่าที่ขอออกหมายจับเพราะเชื่อว่า มีหลักฐานเพียงพอ
5. รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญาหาว่า พ.ต.ท.
มานะพงษ์ พยายามล้มอำนาจนิติบัญญัติในประเทศ และตั้งคำถามต่อว่า เหตุใดเขาจึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่ง พ.ต.ท.
มานะพงษ์ ก็ได้ชี้แจงว่าตัวเขามีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้อยู่แล้ว ซึ่งเมื่อทางศาลได้ตรวจสอบก็พบว่าเป็นเรื่องจริง
รองอธิบดีผู้พิพากษา ศาลอาญายังกล่าวต่อว่า พ.ต.ท.
มานะพงษ์ เป็นตำรวจไม่มีวินัย ไม่แต่งเครื่องแบบ ไว้ผมยาว (รองทรงสูง) ซึ่งทาง พ.ต.ท.
มานะพงษ์ ก็ชี้แจงว่า ตัวเขาเป็นพนักงานสืบสวนจึงต้องทำแบบนี้
6. รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญากล่าวหาว่า พ.ต.ท.
มานะพงษ์ ใช้ดุลยพินิจโดยไม่ชอบ เพราะได้มีการออกหมายจับ ส.ว. ซึ่งไม่มีพฤติการณ์หลบหนี
ทาง พ.ต.ท.
มานะพงษ์ จึงได้ชี้แจงกลับไปว่า คดีดังกล่าวมีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต 5 กรรม นอกจากนี้ หากผู้ดำรงตำแหน่ง ส.ว. กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด จะต้องได้รับอัตราโทษหนักกว่าบุคคลทั่วไป จึงขอออกหมายจับ
7. ต่อมาได้มีผู้พิพากษาเวรเข้ามาในห้อง รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญาได้ถามผู้พิพากษาเวรว่า ทำไมถึงออกหมายจับ
อุปกิต ผู้พิพากษาเวรชี้แจงว่าที่อนุมัติเพราะพิจารณาแล้วว่าหลักฐานเพียงพอ รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญาจึงถามผู้พิพากษาเวรว่า ทราบหรือไม่ว่าการออกหมายจับบุคคลสำคัญ ต้องปรึกษาผู้บริหารศาลเสียก่อน
8. รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญาได้สั่งการให้ พ.ต.ท.
มานะพงษ์ และผู้ใต้บังคับบัญชาออกจากห้องประชุม และใช้เวลาคุยกันราว 10 นาทีก่อนเรียก พ.ต.ท.
มานะพงษ์ กลับเข้าไป ภายในห้องอธิบดี ผู้พิพากาษาศาลอาญาได้ถามเขาว่า ถ้าจะถอนหมายจับ เขามีความเห็นอย่างไร ซึ่งเขาก็ได้ตอบกลับไปว่า ถ้าถอนหมายจับครั้งนี้ เชื่อว่าจะไม่มีการดำเนินคดีกับ
อุปกิต อีกครั้งในอนาคต
สุดท้าย อธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญาตัดสินใจให้มีการถอนหมายจับ
9. อธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญาได้บอกกับ พ.ต.ท.
มานะพงษ์ว่า ตัวเขาเพิ่งมารับตำแหน่งวันแรก และถ้าไม่มีการถอนหมายจับ “
ผู้ใหญ่” น่าจะตำหนิอย่างแน่นอน
จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการออกหมายเรียก
อุปกิต มารับทราบข้อกล่าวหาแต่อย่างใด
10. 10 กุมภาพันธ์ 2566 พ.ต.ท.
มานะพงษ์ และผู้ใต้บังคับบัญชาถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งที่อื่น โดยไม่มีความสมัครใจและไม่มีความผิด ซึ่งเขาเชื่อได้ว่าเป็นการย้ายเพื่อไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับคดีอีก
11. พ.ต.ท.
มานะพงษ์ ทิ้งท้ายว่า การประวิงเวลาในการดำเนินคดีกับ อุปกิต ของ สตช. ก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อศรัทธาของประชาชน และการเพิกถอนหมายจับด้วยเหตุผลว่าเป็น “
บุคคลสำคัญ” ทำลายหลักการว่า “
บุคคลย่อมเสมอภาคภายใต้กฎหมาย”
เมื่อวาน (11 มี.ค. 2566)
รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้ออกมาทวงถามความคืบหน้าในคดีนี้ หลังจากยื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.
ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
อ้างอิงจาก
https://twitter.com/WPabuprapap/status/1634264201429663744
https://prachatai.com/journal/2022/10/100952
https://www.voicetv.co.th/read/8gXsFTlAP
‘อิ๊ง’ ควง ‘เศรษฐา’ ไหว้พระพิจิตร เอาฤกษ์เอาชัยเสร็จ เชือดกลับ ‘ส.ว.วันชัย’ ทันที
https://www.matichon.co.th/politics/news_3867951
‘อิ๊ง’ ควง ‘เศรษฐา’ ไหว้พระพิจิตร เอาฤกษ์ก่อนขึ้นปราศรัยใหญ่ สวนกลับ ‘ส.ว.วัยชัย’ พ่อ-อาทำดีถึงทุกวันนี้
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 11 มีนาคม ที่วัดท่าหลวง อ.เมือง จ.พิจิตร นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมด้วย น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นาย
เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นาย
ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย น.ส.
สุณีย์ เหลืองวิจิตร อดีตส.ส.พิจิตร พรรค พท. พร้อมด้วย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ทั้ง นาย
ภูดิท อินสุวรรณ์ นาย
ปุณยวัจน์ เหลืองวิจิตร และ นาย
วิชัย ด่านรุ่งโรจน์ เข้าสักการะหลวงพ่อเพชรเอาฤกษ์เอาชัย
ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ จ.พิจิตร ที่เวทีปราศรัยวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร โดยมีประชาชนจำนวนหนึ่งสวมเสื้อแดงรอมอบดอกไม้ให้กำลังใจ โดยน.ส.
แพทองธาร ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้จะแนะนำนาย
เศรษฐาให้ประชาชนได้เห็น เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้มาปราศรัยร่วมกันกับทีมพรรค พท. โดยวันนี้นาย
เศรษฐามาในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และอยู่ในทีมเศรษฐกิจด้วย
เมื่อถามว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพื้นที่จ.พิจิตร เป็นของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ทั้ง 3 เขต เราจะทำให้แลนด์สไลด์ได้หรือไม่ น.ส.
แพทองธาร กล่าวว่า เรามั่นใจอย่างมากด้วยนโยบายของเรา และว่าที่ผู้สมัครส.ส.ที่ทำงานกันอย่างหนัก ฉะนั้น เรามั่นใจและต้องได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนด้วย ขอทั้ง 3 เขตเลย
เมื่อถามถึงกรณี นาย
วันชัย สอนศิริ ส.ว. ออกมากล่าวเตือนนายเศรษฐา ระวังจะเป็นเหมือนอดีตนายกรัฐมรตรีพรรค พท. น.ส.
แพทองธาร กล่าวว่า
“สิ่งที่อิ๊งเห็นคือคุณพ่อ (นายทักษิณ ชินวัตร) คุณอา (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองมากมาย การที่เราขึ้นเวทีและพูดถึงนโยบายเมื่อ 20 ปีที่แล้วยังใช้ได้อยู่ เพียงแต่เพิ่มเรื่องเทคโนโลยีเข้ามา นั่นคือบทพิสูจน์ว่าประชาชนได้รับประโยชน์อะไรบ้างจาก คุณพ่อ คุณอา ที่เป็นนักธุรกิจมาก่อน เป็นมุมมองของคนก็ต้องรับฟัง”
ก้าวไกล เปิดนโยบายสุขภาพก้าวหน้า ชู‘2 เพิ่ม-2 ลด’ แก้บุคลากรแพทย์ทำงานหนัก
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7553751
พิธา เปิดนโยบายสุขภาพไทยก้าวหน้า ชูนโยบายก้าวไกล ‘2 เพิ่ม – 2 ลด’ แก้ปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ทำงานหนัก-คนไข้ล้นโรงพยาบาล ดูแลสุขภาพจิตครบวงจร
เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2566 ที่โรงพยาบาลเขาพนม อ.เขาพนม จ.กระบี่ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และน.ส.
ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค เปิดตัวชุดนโยบายสุขภาพไทยก้าวหน้า และร่วมพูดคุยกับบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และผู้เข้าใช้บริการโรงพยาบาลเขาพนม เพื่อสอบถามถึงสภาพการทำงาน และการให้บริการของโรงพยาบาล
นาย
พิธา กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของระบบสาธารณสุขไทยในปัจจุบัน คือ บุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานหนัก และมีเวลาพักผ่อนน้อย สาเหตุสำคัญเพราะจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นจนล้นโรงพยาบาล หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ระบบสาธารณสุขจะพังทลาย ทั้งผู้ป่วยและผู้มีหน้าที่รักษาพยาบาล จะเกิดวิกฤตสุขภาพด้วยกันทุกฝ่าย
การออกแบบนโยบายสาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดจึงสำคัญมาก เพราะต่อให้เรามีนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ดีเลิศแค่ไหน แต่ประเทศไทยที่เข้มแข็งและพร้อมเผชิญความท้าทายใหม่ๆ ไม่สามารถสร้างได้ หากคนไทยมีสุขภาพอ่อนแอ
ดังนั้น ทางออกของเรื่องนี้ จำเป็นต้องใช้หลักการ 2 ลด 2 เพิ่ม ประกอบด้วย
ลดที่ 1 คือลดความเหลื่อมล้ำ เพราะปัจจุบันแพทย์ส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วยสัดส่วนแพทย์ต่อคนไข้ 1:600 คน ขณะที่แพทย์ในจังหวัดอื่นๆ เช่น จ.บึงกาฬ มีสัดส่วนแพทย์ต่อคนไข้ถึง 1:5,000 คน หรือ จ.กระบี่ มีสัดส่วนแพทย์ต่อคนไข้ 1:3,000 คน สะท้อนความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรทรัพยากรอย่างชัดเจน ประชาชนแต่ละพื้นที่ไม่สามารถเข้าถึงคุณภาพการให้บริการที่ใกล้เคียงกัน
ลดที่ 2 คือ ลดชั่วโมงการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ส่วนการแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มคนเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ลดชั่วโมงทำงาน จะทำให้บุคลากรไหลออกจากระบบอยู่ดี
ส่วน 2 เพิ่ม คือการทำให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีตั้งแต่ต้น และเพิ่มช่องทางอื่นๆ ในการรักษา ประกอบด้วย
เพิ่มที่ 1 เพิ่มความครอบคลุมในการรักษา ไม่ใช่เพียงการรักษาสุขภาพทางกายเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงสุขภาพทางใจ
และเพิ่มที่ 2 เพิ่มแนวทางป้องกัน-รักษา-ประคับประคอง เช่น การคัดกรองมะเร็งให้ครอบคลุมและทำได้ทันที จากปัจจุบันการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง 6 ชนิด ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ก่อน ทำให้ใช้เวลายาวนานกว่าจะพบโรคและรับการรักษา รวมถึงเพิ่มวิธีการรักษาที่หลากหลายสำหรับโรคบางชนิด เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มแนวทางการประคับประคองดูแลผู้ป่วยติดเตียง
ด้าน น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวว่า ในอนาคตเห็นว่า อสม. ไม่ควรเป็นเพียงอาสาสมัคร แต่สามารถทำเป็นอาชีพได้ โดยเพิ่มเติมการอบรมความรู้ และเพิ่มค่าตอบแทนให้เหมาะสมตามชิ้นงาน นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลยังพร้อมผลักดันให้ทุก รพ.สต. มีหมอประจำ หรืออย่างน้อยต้องมีบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เพื่อเพิ่มทางเลือกของประชาชนในการเข้าถึงแพทย์ และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปโรงพยาบาล รวมถึงมีนโยบายสร้างแรงจูงใจให้คนดูแลสุขภาพ ผ่านการให้รางวัลแก่คนสุขภาพดี
อย่างไรก็ตาม เราตระหนักดีว่าการดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจของประชาชน คนร่ำรวยอาจมีเวลาและทรัพยากร เพื่อใช้ดูแลสุขภาพของตัวเองได้มากกว่าคนยากจน ดังนั้น ขอยืนยันว่าหากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เราจะขับเคลื่อนนโยบายสาธารณสุขไปพร้อมกับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ต้นตอ ทั้งในเชิงการเมืองและเชิงเศรษฐกิจ ตามที่เราเคยประกาศว่า กาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต
JJNY : 5in1 เอกสารของตร.│‘อิ๊ง’ควง‘เศรษฐา’ไหว้พระพิจิตร│ก้าวไกลชู‘2เพิ่ม-2ลด’│คนไทยซื้อสินค้าแพง│ป.ป.ช.ชี้มูลสุขุมพันธุ์
https://thematter.co/brief/เอกสารชี้แจงข้อเท็จจริ/198865
จากกรณีที่หมายจับถูกเปลี่ยนเป็นหมายเรียกของ อุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา ล่าสุด วศินี พิบูประภาพ นักข่าวจากสำนักข่าว Today ได้เปิดเผยเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงของนายตำรวจที่เข้าขอหมายจับ โดยมีเอกสารทั้งหมด 7 หน้า แบ่งเป็น 27 ข้อ
ในเอกสารดังกล่าวลงชื่อ มานะพงษ์ วงศ์วิวัฒน์ สารวัตรสืบสวน สน. พญาไท โดยจุดที่สำคัญอยู่ตั้งแต่ข้อ (9) The MATTER สรุปประเด็นสำคัญในเอกสารดังกล่าว ดังนี้
1. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม ทุน มิน หลัด ชาวเมียนมาร์ในความผิดเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด และจากการสอบปากคำผู้ต้องหาพบว่า อุปกิต มีความเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าว
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2565 ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ อุปกิต ในความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินและยาเสพติด หมายจับศาลอาญาที่ จ.554/ 2565
2. แต่ในวันเดียวกัน (3 ตุลาคม 2565) พ.ต.ท.มานะพงษ์ ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ศาลให้นำหมายจับฉบับจริง และเอกสารที่เกี่ยวข้องไปพบรองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญา
3. ระหว่างที่ พ.ต.ท.มานะพงษ์ กำลังเดินทางไปที่ศาล ได้มีโทรศัพท์จากอดีตผู้บังคับบัญชาถามว่า เหตุใดจึงไปขอหมายจับ อุปกิต ซึ่งทาง พ.ต.ท.มานะพงษ์ ชี้แจงว่า ตนเชื่อว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอจึงขอออกหมายจับ
4. พ.ต.ท.มานะพงษ์ พร้อมผู้บังคับบัญชา 2 คน ได้เข้าไปในห้องประชุมของอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญา และพบว่าในห้องมีอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญา, รองอธิบดี ผู้พิพากษา ศาลอาญา (ที่เรียกเขาไปพบ), และเลขาธิการ ศาลอาญานั่งอยู่ในห้อง
ขณะที่เข้าไปห้องประชุม รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญา ที่เรียกเขาไปพบกำลังคุยโทรศัพท์กับนายตำรวจระดับสูงคนหนึ่ง เพื่อสอบถามว่าทำไม พ.ต.ท.มานะพงษ์ ถึงขอออกหมายจับ ส.ว. และได้ยื่นโทรศัพท์ให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ คุยกับนายตำรวจคนดังกล่าว ซึ่งเขายืนยันว่าที่ขอออกหมายจับเพราะเชื่อว่า มีหลักฐานเพียงพอ
5. รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญาหาว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ พยายามล้มอำนาจนิติบัญญัติในประเทศ และตั้งคำถามต่อว่า เหตุใดเขาจึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่ง พ.ต.ท.มานะพงษ์ ก็ได้ชี้แจงว่าตัวเขามีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้อยู่แล้ว ซึ่งเมื่อทางศาลได้ตรวจสอบก็พบว่าเป็นเรื่องจริง
รองอธิบดีผู้พิพากษา ศาลอาญายังกล่าวต่อว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ เป็นตำรวจไม่มีวินัย ไม่แต่งเครื่องแบบ ไว้ผมยาว (รองทรงสูง) ซึ่งทาง พ.ต.ท.มานะพงษ์ ก็ชี้แจงว่า ตัวเขาเป็นพนักงานสืบสวนจึงต้องทำแบบนี้
6. รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญากล่าวหาว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ ใช้ดุลยพินิจโดยไม่ชอบ เพราะได้มีการออกหมายจับ ส.ว. ซึ่งไม่มีพฤติการณ์หลบหนี
ทาง พ.ต.ท.มานะพงษ์ จึงได้ชี้แจงกลับไปว่า คดีดังกล่าวมีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต 5 กรรม นอกจากนี้ หากผู้ดำรงตำแหน่ง ส.ว. กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด จะต้องได้รับอัตราโทษหนักกว่าบุคคลทั่วไป จึงขอออกหมายจับ
7. ต่อมาได้มีผู้พิพากษาเวรเข้ามาในห้อง รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญาได้ถามผู้พิพากษาเวรว่า ทำไมถึงออกหมายจับ อุปกิต ผู้พิพากษาเวรชี้แจงว่าที่อนุมัติเพราะพิจารณาแล้วว่าหลักฐานเพียงพอ รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญาจึงถามผู้พิพากษาเวรว่า ทราบหรือไม่ว่าการออกหมายจับบุคคลสำคัญ ต้องปรึกษาผู้บริหารศาลเสียก่อน
8. รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญาได้สั่งการให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ และผู้ใต้บังคับบัญชาออกจากห้องประชุม และใช้เวลาคุยกันราว 10 นาทีก่อนเรียก พ.ต.ท.มานะพงษ์ กลับเข้าไป ภายในห้องอธิบดี ผู้พิพากาษาศาลอาญาได้ถามเขาว่า ถ้าจะถอนหมายจับ เขามีความเห็นอย่างไร ซึ่งเขาก็ได้ตอบกลับไปว่า ถ้าถอนหมายจับครั้งนี้ เชื่อว่าจะไม่มีการดำเนินคดีกับ อุปกิต อีกครั้งในอนาคต
สุดท้าย อธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญาตัดสินใจให้มีการถอนหมายจับ
9. อธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญาได้บอกกับ พ.ต.ท.มานะพงษ์ว่า ตัวเขาเพิ่งมารับตำแหน่งวันแรก และถ้าไม่มีการถอนหมายจับ “ผู้ใหญ่” น่าจะตำหนิอย่างแน่นอน
จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการออกหมายเรียก อุปกิต มารับทราบข้อกล่าวหาแต่อย่างใด
10. 10 กุมภาพันธ์ 2566 พ.ต.ท.มานะพงษ์ และผู้ใต้บังคับบัญชาถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งที่อื่น โดยไม่มีความสมัครใจและไม่มีความผิด ซึ่งเขาเชื่อได้ว่าเป็นการย้ายเพื่อไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับคดีอีก
11. พ.ต.ท.มานะพงษ์ ทิ้งท้ายว่า การประวิงเวลาในการดำเนินคดีกับ อุปกิต ของ สตช. ก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อศรัทธาของประชาชน และการเพิกถอนหมายจับด้วยเหตุผลว่าเป็น “บุคคลสำคัญ” ทำลายหลักการว่า “บุคคลย่อมเสมอภาคภายใต้กฎหมาย”
เมื่อวาน (11 มี.ค. 2566) รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้ออกมาทวงถามความคืบหน้าในคดีนี้ หลังจากยื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
อ้างอิงจาก
https://twitter.com/WPabuprapap/status/1634264201429663744
https://prachatai.com/journal/2022/10/100952
https://www.voicetv.co.th/read/8gXsFTlAP
‘อิ๊ง’ ควง ‘เศรษฐา’ ไหว้พระพิจิตร เอาฤกษ์เอาชัยเสร็จ เชือดกลับ ‘ส.ว.วันชัย’ ทันที
https://www.matichon.co.th/politics/news_3867951
‘อิ๊ง’ ควง ‘เศรษฐา’ ไหว้พระพิจิตร เอาฤกษ์ก่อนขึ้นปราศรัยใหญ่ สวนกลับ ‘ส.ว.วัยชัย’ พ่อ-อาทำดีถึงทุกวันนี้
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 11 มีนาคม ที่วัดท่าหลวง อ.เมือง จ.พิจิตร นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร อดีตส.ส.พิจิตร พรรค พท. พร้อมด้วย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ทั้ง นายภูดิท อินสุวรรณ์ นายปุณยวัจน์ เหลืองวิจิตร และ นายวิชัย ด่านรุ่งโรจน์ เข้าสักการะหลวงพ่อเพชรเอาฤกษ์เอาชัย
ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ จ.พิจิตร ที่เวทีปราศรัยวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร โดยมีประชาชนจำนวนหนึ่งสวมเสื้อแดงรอมอบดอกไม้ให้กำลังใจ โดยน.ส.แพทองธาร ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้จะแนะนำนายเศรษฐาให้ประชาชนได้เห็น เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้มาปราศรัยร่วมกันกับทีมพรรค พท. โดยวันนี้นายเศรษฐามาในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และอยู่ในทีมเศรษฐกิจด้วย
เมื่อถามว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพื้นที่จ.พิจิตร เป็นของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ทั้ง 3 เขต เราจะทำให้แลนด์สไลด์ได้หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เรามั่นใจอย่างมากด้วยนโยบายของเรา และว่าที่ผู้สมัครส.ส.ที่ทำงานกันอย่างหนัก ฉะนั้น เรามั่นใจและต้องได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนด้วย ขอทั้ง 3 เขตเลย
เมื่อถามถึงกรณี นายวันชัย สอนศิริ ส.ว. ออกมากล่าวเตือนนายเศรษฐา ระวังจะเป็นเหมือนอดีตนายกรัฐมรตรีพรรค พท. น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “สิ่งที่อิ๊งเห็นคือคุณพ่อ (นายทักษิณ ชินวัตร) คุณอา (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองมากมาย การที่เราขึ้นเวทีและพูดถึงนโยบายเมื่อ 20 ปีที่แล้วยังใช้ได้อยู่ เพียงแต่เพิ่มเรื่องเทคโนโลยีเข้ามา นั่นคือบทพิสูจน์ว่าประชาชนได้รับประโยชน์อะไรบ้างจาก คุณพ่อ คุณอา ที่เป็นนักธุรกิจมาก่อน เป็นมุมมองของคนก็ต้องรับฟัง”
ก้าวไกล เปิดนโยบายสุขภาพก้าวหน้า ชู‘2 เพิ่ม-2 ลด’ แก้บุคลากรแพทย์ทำงานหนัก
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7553751
พิธา เปิดนโยบายสุขภาพไทยก้าวหน้า ชูนโยบายก้าวไกล ‘2 เพิ่ม – 2 ลด’ แก้ปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ทำงานหนัก-คนไข้ล้นโรงพยาบาล ดูแลสุขภาพจิตครบวงจร
เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2566 ที่โรงพยาบาลเขาพนม อ.เขาพนม จ.กระบี่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค เปิดตัวชุดนโยบายสุขภาพไทยก้าวหน้า และร่วมพูดคุยกับบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และผู้เข้าใช้บริการโรงพยาบาลเขาพนม เพื่อสอบถามถึงสภาพการทำงาน และการให้บริการของโรงพยาบาล
นายพิธา กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของระบบสาธารณสุขไทยในปัจจุบัน คือ บุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานหนัก และมีเวลาพักผ่อนน้อย สาเหตุสำคัญเพราะจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นจนล้นโรงพยาบาล หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ระบบสาธารณสุขจะพังทลาย ทั้งผู้ป่วยและผู้มีหน้าที่รักษาพยาบาล จะเกิดวิกฤตสุขภาพด้วยกันทุกฝ่าย
การออกแบบนโยบายสาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดจึงสำคัญมาก เพราะต่อให้เรามีนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ดีเลิศแค่ไหน แต่ประเทศไทยที่เข้มแข็งและพร้อมเผชิญความท้าทายใหม่ๆ ไม่สามารถสร้างได้ หากคนไทยมีสุขภาพอ่อนแอ
ดังนั้น ทางออกของเรื่องนี้ จำเป็นต้องใช้หลักการ 2 ลด 2 เพิ่ม ประกอบด้วย
ลดที่ 1 คือลดความเหลื่อมล้ำ เพราะปัจจุบันแพทย์ส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วยสัดส่วนแพทย์ต่อคนไข้ 1:600 คน ขณะที่แพทย์ในจังหวัดอื่นๆ เช่น จ.บึงกาฬ มีสัดส่วนแพทย์ต่อคนไข้ถึง 1:5,000 คน หรือ จ.กระบี่ มีสัดส่วนแพทย์ต่อคนไข้ 1:3,000 คน สะท้อนความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรทรัพยากรอย่างชัดเจน ประชาชนแต่ละพื้นที่ไม่สามารถเข้าถึงคุณภาพการให้บริการที่ใกล้เคียงกัน
ลดที่ 2 คือ ลดชั่วโมงการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ส่วนการแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มคนเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ลดชั่วโมงทำงาน จะทำให้บุคลากรไหลออกจากระบบอยู่ดี
ส่วน 2 เพิ่ม คือการทำให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีตั้งแต่ต้น และเพิ่มช่องทางอื่นๆ ในการรักษา ประกอบด้วย
เพิ่มที่ 1 เพิ่มความครอบคลุมในการรักษา ไม่ใช่เพียงการรักษาสุขภาพทางกายเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงสุขภาพทางใจ
และเพิ่มที่ 2 เพิ่มแนวทางป้องกัน-รักษา-ประคับประคอง เช่น การคัดกรองมะเร็งให้ครอบคลุมและทำได้ทันที จากปัจจุบันการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง 6 ชนิด ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ก่อน ทำให้ใช้เวลายาวนานกว่าจะพบโรคและรับการรักษา รวมถึงเพิ่มวิธีการรักษาที่หลากหลายสำหรับโรคบางชนิด เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มแนวทางการประคับประคองดูแลผู้ป่วยติดเตียง
ด้าน น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ในอนาคตเห็นว่า อสม. ไม่ควรเป็นเพียงอาสาสมัคร แต่สามารถทำเป็นอาชีพได้ โดยเพิ่มเติมการอบรมความรู้ และเพิ่มค่าตอบแทนให้เหมาะสมตามชิ้นงาน นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลยังพร้อมผลักดันให้ทุก รพ.สต. มีหมอประจำ หรืออย่างน้อยต้องมีบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เพื่อเพิ่มทางเลือกของประชาชนในการเข้าถึงแพทย์ และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปโรงพยาบาล รวมถึงมีนโยบายสร้างแรงจูงใจให้คนดูแลสุขภาพ ผ่านการให้รางวัลแก่คนสุขภาพดี
อย่างไรก็ตาม เราตระหนักดีว่าการดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจของประชาชน คนร่ำรวยอาจมีเวลาและทรัพยากร เพื่อใช้ดูแลสุขภาพของตัวเองได้มากกว่าคนยากจน ดังนั้น ขอยืนยันว่าหากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เราจะขับเคลื่อนนโยบายสาธารณสุขไปพร้อมกับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ต้นตอ ทั้งในเชิงการเมืองและเชิงเศรษฐกิจ ตามที่เราเคยประกาศว่า กาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต