อยากจะมาเล่าประสบการณ์ของเองให้ฟังว่า......
อย่างแรกเลยต้องขอเกริ่นก่อนว่า เราเป็นคนอีสานคนหนึ่ง เกิดที่ต่างจังหวัด ฐานะปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้ขัดสน พื้นฐานครอบครัวเป็นชาวนากับข้าราชการตามสภาพความสามารถในการผลิตของแต่ละภูมิภาค(สภาพแวดล้อม อากาศ ผืนดินทำมาหากิน ถิ่นกำเนิด) พูดตรงๆว่าบ้านเกิดอยู่ที่บ้านนอก(ชนบท) แต่มีโอกาส แอคทีฟ ตัวเองได้เรียนโรงเรียนในเมืองที่คาดว่าน่าจะเป็นอันดับ 1 ของจังหวัด ซึ่งสังคมก็จะต่างกันออกไปจากโรงเรียนที่อยู่บ้านเกิด(ชนบท) อย่างชัดเจนมาก อย่างเช่น เรื่องของความคิด ความรู้(การศึกษา) การมองหรือวิเคราะห์ภาพรวม การหาโอกาสในการสร้างอาชีพหรือการพัฒนาตัวเองที่ต่างจากคนอื่น(คิดนอกกรอบ ในแบบของตัวเอง) ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่าเราพัฒนาและเดินหน้าออกมาจากสภาพแบบนั้น ก็พอจะรู้ว่ามันเป็นมาเช่นไร เลยคิดว่าต้องหาทางใหม่ๆไม่ให้ซ้ำกับใคร เลยเลือกที่จะไปเรียนไกลบ้านในสายการเรียนที่สนใจ
เราเลยเลือกที่จะมาเรียน สาขาหนึ่ง ที่อยากเรียน ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย
เรื่องมีอยู่ว่า....
ในสาขาที่เรามาเรียนนั้นมีเราเป็นคนอีสานอยู่แค่คนเดียว ตอนแรกก็รู้สึกโหวงๆว่าจะมีเพื่อนไหม จะเข้ากับเพื่อนได้ไหม แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่พอผ่านมาสักพักด้วยความที่ว่าเป็นคนเดียว เลยเหมือนกับเป็นตัวแทนของภาค(อีสาน)ตนเองที่ได้เข้าไปเรียนในนั้น จึงเป็นจุดสนใจของเพื่อนๆ นำมาสู่การตั้งคำถามว่า "อีสานเป็นยังไง" "อีสานกินลาบใช่ไหม" "ได้ยินว่าอีสานกินหมา?" "เด็กอีสานชอบไปเต้นรถแห่?" "อีสานกินซอยจุ๊(เนื้อดิบ)!!" "อีสานชอบฟังหมอลำ" "อีสานหนีบ้านไปอยู่เมืองกรุง?" "เด็กอีสานชอบเป็นเด็กแว๊น/สก๊อย" ฯ เป็นต้น กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการบูลลี่(ที่คนบลูลี่อาจจะไม่รู้ตัว) ซึ่งความจริงเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้เกี่ยวกับตัวเรา ส่วนตัวเราเกิดที่ถิ่นอีสานก็จริง แต่โตมาในสังคมเมือง(อีสาน) ซึ่งบางเรื่องเราก็ไม่เคยทำหรือบางอย่างเราก็ไม่ได้กินอย่างเช่น เนื้อดิบหรือที่เรียกกันว่า ซอยจุ๊ เนื้อหมา ทั้งๆที่เราก็กินข้าวตามสั่ง ราดแกง อาหารทั่วไปแบบคนภาคอื่นๆปกติ หรือหมอลำ(คอนเสิร์ตเวที) รถแห่ เราก็ไม่เคยไปเต้นหรือดูเลยสักครั้ง แรกๆเราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอหลังๆมันเริ่มบ่อยขึ้นมันทำให้เรารู้สึกว่า "มันไม่ได้ตลกเลยนะ" "อันนั้นเราไม่เคยทำเลยนะ" จนตอนนี้มันกลายเป็นปมในใจว่า คนอีสาน ผิดอะไร? ทำไมต้องโดนดูถูก? ทำไมต้องโดนบลูลี่?
เหตุผลก็อย่างที่เกริ่นไปเราก็เข้าใจว่า มันเป็นภูมิภาคที่แห้งแร้ง ทำการเกษตรได้ยากไม่เหมือนภาคอื่นๆ ทำให้เศรษฐกิจไม่ดี ผู้คนไม่ค่อยมีเงิน ฐานะไม่ดี ทำให้ขาดโอกาสในการศึกษา(เพราะต้องใช้ต้นทุน) กลายเป็นปัญหาระยะยาวรุ่นสู่รุ่น เกิดปัญหาด้านประชากรไร้คุณภาพอย่างที่เห็นได้ทุกๆวัน ส่วนบ้านไหนมีฐานะหรือโอกาสก็ส่งลูกๆไปเรียนในเมือง สอบเป็นข้าราชการ ครู หมอ นักกฎหมาย นักเรียนนายร้อย ฯ หรือบางคนก็ต้องจากบ้านเกิดไปทำงานใช้แรงงานในเมืองกรุงเพื่อนส่งเงินให้ที่บ้านใช้
ถ้าจะให้เล่าเรื่องหรืออธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้คนกลุ่มนั้นฟัง คนที่ไม่รู้หรืออาจจะรู้แค่ผิวเผินก็คงจะไม่ฟังหรือไม่เข้าใจและเราก็คงไม่คิดที่จะไปอธิบายเหตุผผลให้ฟัง แต่คนที่เขารู้ เข้าใจเรา เขาก็ไม่เคยพูดเหยียดหรือดูถูกอะไร มิหนำซ้ำบางคนยังคอยให้กำลังใจและบอกให้เราสู้อยู่เสมอ ว่าจะประครองใจตัวเรากับความคิดลบหรือแย่ๆพวกนี้ต่อไปอย่างไร
ถ้าถามว่าแล้วทำไมเราไม่โต้ตอบหรือสวนกลับบ้าง ด้วยความที่เราเป็นคนไม่ค่อยสู้คนและไม่ค่อยพูด มีอะไรจะเก็บไว้แล่วค่อยไประบายให้คนไว้ใจได้ฟัง เราก็สบายใจที่มีคนๆนั้นค่อยอยู่ด้วย ถ้าจะให้ไปสู้ตอบหรือต่อปากต่อคำก็คงจะทำไม่ไหว เพราะเราคิดว่าถ้าไม่อยากให้ใครทำอะไรไม่ดีกับเรา เราก็ไม่อยากไปทำแบบนั้นกับใคร แต่พอเป็นแบบนั้นก็กลายเป็นว่า ปล่อยให้คนพวกนั้นพูดสนุกปากกันไป ไม่ว่าจะตอนกินข้าวกับเพื่อนในที่สาธารณะที่คนเยอะๆ หรือในแชทกลุ่มเพื่อนก็จะส่งอะไรทีเป็นเชิงเหยียดหรือดูถูกทำให้ได้รับความอับอายอยู่ประจำ แต่เราก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร
แม้ว่าจะมีคนคอยให้กำลังใจเราอยู่เสมอ แต่คนที่คอยบั่นทอนก็ยังมีไม่ขาดหาย มันเลยทำให้เราไม่รุ้ว่ต้องทำตัวอย่างไร หรือปฎิบัติอย่างไร หลีกเลี่ยงอย่างไร หรือถ้าตอบโต้จะต้องกระทำแบบไหนถึงจะได้ผลในระยะยาว ซึ่งเรามองว่าถ้ามันเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงจะไม่โอเคต่อสภาพจิตใจตัวเอง
***เลยอยากมาเล่าให้คนอื่นๆฟังว่ามีประสบการณ์เป็นอย่างไรบ้าง หรือเคยตอบโดต้ด้วยวิธีไหนแล้วได้ผลที่ดีในระยะยาวไหม***
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบ...
เป็นคนอีสานแต่โดนดูถูก/โดนบลูลี่
อย่างแรกเลยต้องขอเกริ่นก่อนว่า เราเป็นคนอีสานคนหนึ่ง เกิดที่ต่างจังหวัด ฐานะปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้ขัดสน พื้นฐานครอบครัวเป็นชาวนากับข้าราชการตามสภาพความสามารถในการผลิตของแต่ละภูมิภาค(สภาพแวดล้อม อากาศ ผืนดินทำมาหากิน ถิ่นกำเนิด) พูดตรงๆว่าบ้านเกิดอยู่ที่บ้านนอก(ชนบท) แต่มีโอกาส แอคทีฟ ตัวเองได้เรียนโรงเรียนในเมืองที่คาดว่าน่าจะเป็นอันดับ 1 ของจังหวัด ซึ่งสังคมก็จะต่างกันออกไปจากโรงเรียนที่อยู่บ้านเกิด(ชนบท) อย่างชัดเจนมาก อย่างเช่น เรื่องของความคิด ความรู้(การศึกษา) การมองหรือวิเคราะห์ภาพรวม การหาโอกาสในการสร้างอาชีพหรือการพัฒนาตัวเองที่ต่างจากคนอื่น(คิดนอกกรอบ ในแบบของตัวเอง) ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่าเราพัฒนาและเดินหน้าออกมาจากสภาพแบบนั้น ก็พอจะรู้ว่ามันเป็นมาเช่นไร เลยคิดว่าต้องหาทางใหม่ๆไม่ให้ซ้ำกับใคร เลยเลือกที่จะไปเรียนไกลบ้านในสายการเรียนที่สนใจ
เราเลยเลือกที่จะมาเรียน สาขาหนึ่ง ที่อยากเรียน ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย
เรื่องมีอยู่ว่า....
ในสาขาที่เรามาเรียนนั้นมีเราเป็นคนอีสานอยู่แค่คนเดียว ตอนแรกก็รู้สึกโหวงๆว่าจะมีเพื่อนไหม จะเข้ากับเพื่อนได้ไหม แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่พอผ่านมาสักพักด้วยความที่ว่าเป็นคนเดียว เลยเหมือนกับเป็นตัวแทนของภาค(อีสาน)ตนเองที่ได้เข้าไปเรียนในนั้น จึงเป็นจุดสนใจของเพื่อนๆ นำมาสู่การตั้งคำถามว่า "อีสานเป็นยังไง" "อีสานกินลาบใช่ไหม" "ได้ยินว่าอีสานกินหมา?" "เด็กอีสานชอบไปเต้นรถแห่?" "อีสานกินซอยจุ๊(เนื้อดิบ)!!" "อีสานชอบฟังหมอลำ" "อีสานหนีบ้านไปอยู่เมืองกรุง?" "เด็กอีสานชอบเป็นเด็กแว๊น/สก๊อย" ฯ เป็นต้น กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการบูลลี่(ที่คนบลูลี่อาจจะไม่รู้ตัว) ซึ่งความจริงเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้เกี่ยวกับตัวเรา ส่วนตัวเราเกิดที่ถิ่นอีสานก็จริง แต่โตมาในสังคมเมือง(อีสาน) ซึ่งบางเรื่องเราก็ไม่เคยทำหรือบางอย่างเราก็ไม่ได้กินอย่างเช่น เนื้อดิบหรือที่เรียกกันว่า ซอยจุ๊ เนื้อหมา ทั้งๆที่เราก็กินข้าวตามสั่ง ราดแกง อาหารทั่วไปแบบคนภาคอื่นๆปกติ หรือหมอลำ(คอนเสิร์ตเวที) รถแห่ เราก็ไม่เคยไปเต้นหรือดูเลยสักครั้ง แรกๆเราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอหลังๆมันเริ่มบ่อยขึ้นมันทำให้เรารู้สึกว่า "มันไม่ได้ตลกเลยนะ" "อันนั้นเราไม่เคยทำเลยนะ" จนตอนนี้มันกลายเป็นปมในใจว่า คนอีสาน ผิดอะไร? ทำไมต้องโดนดูถูก? ทำไมต้องโดนบลูลี่?
เหตุผลก็อย่างที่เกริ่นไปเราก็เข้าใจว่า มันเป็นภูมิภาคที่แห้งแร้ง ทำการเกษตรได้ยากไม่เหมือนภาคอื่นๆ ทำให้เศรษฐกิจไม่ดี ผู้คนไม่ค่อยมีเงิน ฐานะไม่ดี ทำให้ขาดโอกาสในการศึกษา(เพราะต้องใช้ต้นทุน) กลายเป็นปัญหาระยะยาวรุ่นสู่รุ่น เกิดปัญหาด้านประชากรไร้คุณภาพอย่างที่เห็นได้ทุกๆวัน ส่วนบ้านไหนมีฐานะหรือโอกาสก็ส่งลูกๆไปเรียนในเมือง สอบเป็นข้าราชการ ครู หมอ นักกฎหมาย นักเรียนนายร้อย ฯ หรือบางคนก็ต้องจากบ้านเกิดไปทำงานใช้แรงงานในเมืองกรุงเพื่อนส่งเงินให้ที่บ้านใช้
ถ้าจะให้เล่าเรื่องหรืออธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้คนกลุ่มนั้นฟัง คนที่ไม่รู้หรืออาจจะรู้แค่ผิวเผินก็คงจะไม่ฟังหรือไม่เข้าใจและเราก็คงไม่คิดที่จะไปอธิบายเหตุผผลให้ฟัง แต่คนที่เขารู้ เข้าใจเรา เขาก็ไม่เคยพูดเหยียดหรือดูถูกอะไร มิหนำซ้ำบางคนยังคอยให้กำลังใจและบอกให้เราสู้อยู่เสมอ ว่าจะประครองใจตัวเรากับความคิดลบหรือแย่ๆพวกนี้ต่อไปอย่างไร
ถ้าถามว่าแล้วทำไมเราไม่โต้ตอบหรือสวนกลับบ้าง ด้วยความที่เราเป็นคนไม่ค่อยสู้คนและไม่ค่อยพูด มีอะไรจะเก็บไว้แล่วค่อยไประบายให้คนไว้ใจได้ฟัง เราก็สบายใจที่มีคนๆนั้นค่อยอยู่ด้วย ถ้าจะให้ไปสู้ตอบหรือต่อปากต่อคำก็คงจะทำไม่ไหว เพราะเราคิดว่าถ้าไม่อยากให้ใครทำอะไรไม่ดีกับเรา เราก็ไม่อยากไปทำแบบนั้นกับใคร แต่พอเป็นแบบนั้นก็กลายเป็นว่า ปล่อยให้คนพวกนั้นพูดสนุกปากกันไป ไม่ว่าจะตอนกินข้าวกับเพื่อนในที่สาธารณะที่คนเยอะๆ หรือในแชทกลุ่มเพื่อนก็จะส่งอะไรทีเป็นเชิงเหยียดหรือดูถูกทำให้ได้รับความอับอายอยู่ประจำ แต่เราก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร
แม้ว่าจะมีคนคอยให้กำลังใจเราอยู่เสมอ แต่คนที่คอยบั่นทอนก็ยังมีไม่ขาดหาย มันเลยทำให้เราไม่รุ้ว่ต้องทำตัวอย่างไร หรือปฎิบัติอย่างไร หลีกเลี่ยงอย่างไร หรือถ้าตอบโต้จะต้องกระทำแบบไหนถึงจะได้ผลในระยะยาว ซึ่งเรามองว่าถ้ามันเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงจะไม่โอเคต่อสภาพจิตใจตัวเอง
***เลยอยากมาเล่าให้คนอื่นๆฟังว่ามีประสบการณ์เป็นอย่างไรบ้าง หรือเคยตอบโดต้ด้วยวิธีไหนแล้วได้ผลที่ดีในระยะยาวไหม***
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบ...