เราเริ่มต้นการเดินทางไปคิวชู ด้วยแพลนที่วางไว้หลวมๆเพียงเพื่อจะขับรถเที่ยวไปเรื่อยๆ ในช่วงเดือนมกรา บนเกาะคิวซูที่เราก็ไม่คาดคิดว่าจะมีหิมะตกจนเราต้องประสบกับเหตุการณ์ตื่นเต้น สวยงาม ที่คงฝังอยู่ในความทรงจำ

เริ่มต้นการเดินทางด้วย การนั่งเครื่องบินในช่วงเวลาตี 1 เพื่อเดินทางไปถึงฟุคุโอกะ ในเวลารุ่งเช้า เราแบกร่างกายอันแสนอ่อนเพลียจากการทำงานมาทั้งวันขึ้น แกรป เพื่อมาถึงสนามบินดอนเมืองอันเก่าแก่และคร่ำครึของเรา ถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่องวันนี้คนค่อนข้างจะเต็มลำเครื่องเลยทีเดียว เมื่อถึงเวลาเครื่องเริ่มเทคออฟ เผยให้เห็นแสงไฟ จากกรุงเทพเมืองฟ้าอมรของเรา


เมื่อเริ่มสางเราถูกปลุกขึ้นด้วยสัญญานรัดเข็มขัดเตรียมตัวแลนดิ้ง

เมื่อเครื่องจอดสนิท คนเริ่มทยอยลงจากเครื่อง ผ่านพิธีการ ตม.ต่างจนออกมาถึงด้านนนอกสนามบิน วันนี้อากาศค่อนข้างหนาวและสดชื่น เรามาขึ้นรถของบริษัทรถเช่าที่มารอรับอยู่หน้าสนามบิน

มาถึงบริษัทรถเช่า วันนี้คนดูวุ่นวาย รถที่พึ่งมีคนเอามาคืนถูกล้างอย่างลวกๆเพื่อส่งต่อให้ นักท่องเที่ยวคนต่อไปที่มารอรับ เราจัดการเอกสารต่างๆรับรถ ขับรถไปยังไปรณีย์ใกล้ๆเพื่อรับบัตรทางด่วนที่เราสั่งไว้และเริ่มต้นทริปของพวกเรา

เราเริ่มขับรถออกจากสนามบิน ซึ่งสนามบินแห่งนี้ค่อนข้างต่างจากที่อื่นคืออยู่ในตัวเมืองเลย ใช้เวลาประมาณ 1 โมงเราก็มาถึงจุดแรกที่เราจะแวะ
วัด Nanzoin หรือวัดพระใหญ่ซึ้งพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ขนาดใหญ่ที่ว่ากันว่าเงินที่ทำการจัดสร้างเอามาจากเจ้าอาวาสที่มือดี ถูกล๊อตตารี่ หลายต่อหลายหน

หลังจากใช้เวลาชื่นชม ความงามกันสักพัก ท้องที่เริ่มร้องนำพาให้เดินทางต่อ เราทำการมุ่งหน้าไปยัง เบบปุ แวะฝากท้องกับร้านอาหารบริเวณจุดพักรถ

ระหว่างทางผมกับวิวภูเขาสลับซับซ้อน กับหิมะที่เริ่มต้นตกโปรยปราย ราวกับเป็นการต้อนรับนักเดินทางอย่างเรา


เราเดินทางมาถึงเมืองเปปปุในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ริมชายทะเล ที่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำพุร้อน ที่ถูกสูบขึ้นมาจากบ่อน้ำร้อนใต้ดิน เพื่อนำมาให้เราได้แช่กัน ดังที่เราจะเห็นควันจำนวนมากพวยพุ่งขึ้นมาจุด ต่างๆใจกลางเมือง

เหลือบดูเวลายังมีเวลาอีกประมาณ 1 ชมก่อนสถานที่ต่างๆจะเริ่มปิดเราจึงมุ่งไปที่ Chinoike Jigoku หรือแปลประมาณว่า บ่อนรกสีเลือด ที่นี้เป็นบ่อน้ำ ที่มีธาตุเหล็กจำนวนมาก จึงก่อให้เห็นเป็นสีแดงนั้นเอง


หลังเดินดูกันสักพัก เลือกซื้อของฝาก เราก็คิดได้ว่าอยากลองหาที่ชมวิวเบบปุจากมุมสูงเราเลยเริ่มหาในกูเกิ้ล จนพบอยู่ที่นึงเราตัดสินใจลองไปดู
เมื่อขึ้นมาถึงที่หมายเป็นจุดจอดรถเล็กๆ แต่ทำไว้ดีมากและวิวก็สวยมากเช่นกัน เราใช้เวลาอยู่ตรงนี้เกือบชั่วโมง มีทั้งนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นเองแวะเวียนกันมาถ่ายรูปบนนี้ หลังจากชมวิวกันจนอิ่มเราก็เดินทางเข้าสู่ที่พัก


เช้าวันที่สองเรามุ่งหน้าไป Yufuin กันแต่เช้าตรู่ เราขับรถเข้ามาเห็นภูเขาอยู่สองข้างทาง อากาศเริ่มเย็นลงอย่างชัดเจน
เหมือนเราจะมาถึงที่หมายเร็วไป ร้านรวงต่างๆยังไม่เปิด แต่ก็พอมีนักท่องเริ่มเดินทางเข้ามากันแล้ว

เรารอขนร้านรวงเริ่มเปิดแล้วเดินเล่นชมบรรยากาศ

ในนี้มีเหมือนกับสวน นกฮูก เล็กๆให้เราเข้าไปชม


น้องเชื่องมาก เจ้าหน้าที่อนุญาติให้เราลูบได้ด้วย


หลังจากเดินถ่ายรูปกันซักพัก หิมะเริ่มโปรยปรายลงมา หลังจากที่เราทำการถ่ายรูปทกันซักพัก เรากลับมาที่รถเพื่อเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายต่อไป

หลังจากเริ่มขับรถมาซักพัก หิมะเริ่มตกหนักขึ้น เส้นทางเริ่มเปลี่ยนเป็นวิวภูเขา ถนนเริ่มแคมและชัน มาถึงจุดนี้เราเริ่มกังวลเนื่องจาก รถของเราไม่มีโซ่ที่พันล้อสำหรับวิ่งบนหิมะติดมาด้วย เราขับไต่ไปเรื่อยๆ ด้วยความระมัดระวัง

หลังจากไต่ขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง กับหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่หยุด เรามาถึงสะพาน
Kokonoe Yume Otsuribashi โดยในวันนี้ลานจอดรถแทบจะว่างเปล่าไร้ นักท่องเที่ยวใดๆ คงเป็นเพราะ หิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก

เราลงจากรถเดินไปเข้าไปบริเวณสะพานที่ วันนี้ก็ยังเปิดอยู่ทั้งที่ พายุหิมะโปรยปรายลงมาขนาดนี้

บรรยากาศตอนนั้น ช่างงดงามเพลงพี่เปิด หิมะที่โปรยปรายความหนาวที่ปะทะตัวเรา ผมยืนนิ่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาราวกับยังไม่ตื่นดี
อากาศหนาว ลมแรง บรรยากาศที่ว่างปล่าว วิวที่สวยมากๆ เราพากันมาหากาแฟอุ่นๆจากตู้กดกาแฟ เนื่องจากมือเราเริ่มแข็งและจมูกเริ่มแดงกันหมดแล้ว

หลังจากกลับมาที่เรา หิมะไม่มีมีที่ท่าว่าจะหยุดเลย เราเริ่มภาวนาว่าหนทางต่อไปข้างหน้า ที่มุ่งสู่เมือง คุมาโมโต้ จะเป็นทางหลวงขนาดใหญ่

แต่สิ่งต่างๆไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด หิมะหนักขึ้นเรื่อยๆ รถที่สัญจรผ่านไปมาน้อยมาก หิมะที่พื้นเริ่มหนา ล้อของเราเริ่มไม่ยึดเกาะกับถนนอีกต่อไป
เราฝืนขับต่อไปด้วยความหวังว่าเราจะพ้นออกจากสถานะการณ์นี้ไปได้

แต่หลังจากผ่านไปสองโค้ง เราไม่สามารถเดินทางไปข้างหน้าได้อีกต่อไป รถลื่นและติดอยู่กลางเนิน จนคนที่ผ่านไปผ่านมาแถวไหนน่าจะเป็นห่วง จึงจอดรถหน้าเราและลงมากบอกเราว่า สภาพยางเราแบบนี้ คงไม่สามารถเดินทาง
ไปต่อแบบปลอดภัยได้แน่ๆ ระยะทางก็ยังเหลืออีก มาก เราตัดสินใจกลับรถ และขับย้อนกลับมาที่ปั้มน้ำมันเล็กๆบริเวณนั้น ทางปั้มแจ้งว่า ทางเค้าก็ไม่มีที่พันโซ๋ขายเหมือนกัน แต่เค้าให้แผ่นพับเรามา พร้อมด้วยเบอร์บนนั้น

เราทำการโทรไปหา ด้วยความหวัง หลังจากแจ้งที่อยู่ ของเรา เรานั่งรอบนรถด้วยความหวั่นใจ
ว่าเค้าจะมาจริงไหมแล้วจะใช้เวลานานเท่าไหร่ อากาศตอนนี้อยู่ที่ประมาณ -5 พร้อมด้วยลงและหิมะที่รุนแรง

รอไปประมาณ 30 นาที มีรถคันหนึ่งขับมาเทียบเรา พร้อมถามว่าเราใช่ไหมที่โทรหา

เรารีบตอบรับ ทางเค้ารีบนำโซ่ลงมา พันให้เรา พร้อมทั้งสอนวิธีถอดออกและใส่เข้าให้เราอย่างละเอียด เนื่องจากว่า โซ่พันล้อจะทำความเร็วได้ไม่เกิน 60 เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย เราจ่ายเงินและขอบคุณ รีบเดินทางต่อเนื่องจากเวลาก็เริ่มบ่ายแล้ว

หลังจากค่อยๆขับไปซักพัก เราเจอรถคันนึงตกลงไปข้างทาง จึงลงไปถามได้ความว่า เจ้าหน้าที่กำลังเดินทางมากำลังจะถึงแล้ว เราจึงเดินทางต่อ

เราทำความเร็วได้น้อยมาก ท้องเราเริ่มร้องระยะทางที่เหลือน่าจะอีกไกลเราจึง แวะร้านอาหารกลางทางเพื่อเติมพลังกันสักหน่อย
ตอนนี้ทั้งร้านมีแค่เรา แต่เจ้าของร้านก็เต็มใจบริการเราอย่างดี พร้อมทั้งสอบถามด้วยความเป็นห่วงก่อนที่เราจะออกจากร้าน

เริ่มเข้าสู่เมือง ถนนเริ่มใหญ่ขึ้น หิมะได้หายไปแล้ว เราแวะข้างทางเพื่อถอดโซ่ออก

เดินทางมาถึงชานเมืองคุมาโมโต้ เดินทางเข้าที่พักแช่ออนเซ็นให้คลายจากความทรหดที่พบเจอมาทั้งวัน แต่ก็ช่างมันความทรงจำที่ตื่นเต้น และน่าประทับเสียนี้กระไร พนักงานเดินนำเราไปยังห้องพักของเรา ท่ามกลางหิมะโปรยปราย


พักก่อนกันอย่างเต็มที่เมื่อคืนเช้านี้เราเริ่มออกเดินทาง

จุดหมายแรกคือ วัด Kamishikimi Kumanoimasu Shrine ซึ่งเป็นวัดที่มีเศรษฐีใจบุญผู้นำโคมไฟหินมาบริจาค จนตั้งเรียงรายสวยงามอย่างที่เราเห็น วัดแห่งนี้เป็นวัดที่อยู่ใน อนิเมะหลายๆเรื่องอีกด้วย

เรามาถึงวัดนี้ในเวลาสิบโมงเช้าที่หิมะโปรยปราย ไม่มีใครเลย ณ สถานที่แห่งนี้ทั้งผู้ดูแลหรือนักท่องเที่ยวคนอื่น แต่นั้นทำให้บรรยากาศช่างสวยงามและมีมนต์ขลังมากเลยทีเดียว

ผมปีนป่ายขึ้นไปจนถึงยอดด้านบนก็ได้พบกับวิวที่สวยงามมากทีเดียว



จากวัดเดินทางห่างออกมาไม้ไกลเป็นจุดชมต้นซีดาร์และวิวภูเขาที่สวยงาม เราเจอน้องวัวยืนท้าหนาวอยู่ตรงนี้

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าหลังจากเราเดินย่ำหิมะ ขึ้นมาได้ซักพัก ช่างคุ้มค่าเสียจริง


เนื่องจากเวลายังพอเหลือเราเดินทางไปที่ Shirakawa Spring ซึ่งเป็นจุดน้ำแร่ธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของคุมาโมโต้
[CR] คิวซู บนสี่ล้อกับพายุหิมะ
เริ่มต้นการเดินทางด้วย การนั่งเครื่องบินในช่วงเวลาตี 1 เพื่อเดินทางไปถึงฟุคุโอกะ ในเวลารุ่งเช้า เราแบกร่างกายอันแสนอ่อนเพลียจากการทำงานมาทั้งวันขึ้น แกรป เพื่อมาถึงสนามบินดอนเมืองอันเก่าแก่และคร่ำครึของเรา ถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่องวันนี้คนค่อนข้างจะเต็มลำเครื่องเลยทีเดียว เมื่อถึงเวลาเครื่องเริ่มเทคออฟ เผยให้เห็นแสงไฟ จากกรุงเทพเมืองฟ้าอมรของเรา
เมื่อเริ่มสางเราถูกปลุกขึ้นด้วยสัญญานรัดเข็มขัดเตรียมตัวแลนดิ้ง
เมื่อเครื่องจอดสนิท คนเริ่มทยอยลงจากเครื่อง ผ่านพิธีการ ตม.ต่างจนออกมาถึงด้านนนอกสนามบิน วันนี้อากาศค่อนข้างหนาวและสดชื่น เรามาขึ้นรถของบริษัทรถเช่าที่มารอรับอยู่หน้าสนามบิน
มาถึงบริษัทรถเช่า วันนี้คนดูวุ่นวาย รถที่พึ่งมีคนเอามาคืนถูกล้างอย่างลวกๆเพื่อส่งต่อให้ นักท่องเที่ยวคนต่อไปที่มารอรับ เราจัดการเอกสารต่างๆรับรถ ขับรถไปยังไปรณีย์ใกล้ๆเพื่อรับบัตรทางด่วนที่เราสั่งไว้และเริ่มต้นทริปของพวกเรา
เราเริ่มขับรถออกจากสนามบิน ซึ่งสนามบินแห่งนี้ค่อนข้างต่างจากที่อื่นคืออยู่ในตัวเมืองเลย ใช้เวลาประมาณ 1 โมงเราก็มาถึงจุดแรกที่เราจะแวะ
วัด Nanzoin หรือวัดพระใหญ่ซึ้งพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ขนาดใหญ่ที่ว่ากันว่าเงินที่ทำการจัดสร้างเอามาจากเจ้าอาวาสที่มือดี ถูกล๊อตตารี่ หลายต่อหลายหน
หลังจากใช้เวลาชื่นชม ความงามกันสักพัก ท้องที่เริ่มร้องนำพาให้เดินทางต่อ เราทำการมุ่งหน้าไปยัง เบบปุ แวะฝากท้องกับร้านอาหารบริเวณจุดพักรถ
ระหว่างทางผมกับวิวภูเขาสลับซับซ้อน กับหิมะที่เริ่มต้นตกโปรยปราย ราวกับเป็นการต้อนรับนักเดินทางอย่างเรา
เราเดินทางมาถึงเมืองเปปปุในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ริมชายทะเล ที่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำพุร้อน ที่ถูกสูบขึ้นมาจากบ่อน้ำร้อนใต้ดิน เพื่อนำมาให้เราได้แช่กัน ดังที่เราจะเห็นควันจำนวนมากพวยพุ่งขึ้นมาจุด ต่างๆใจกลางเมือง
เหลือบดูเวลายังมีเวลาอีกประมาณ 1 ชมก่อนสถานที่ต่างๆจะเริ่มปิดเราจึงมุ่งไปที่ Chinoike Jigoku หรือแปลประมาณว่า บ่อนรกสีเลือด ที่นี้เป็นบ่อน้ำ ที่มีธาตุเหล็กจำนวนมาก จึงก่อให้เห็นเป็นสีแดงนั้นเอง
หลังเดินดูกันสักพัก เลือกซื้อของฝาก เราก็คิดได้ว่าอยากลองหาที่ชมวิวเบบปุจากมุมสูงเราเลยเริ่มหาในกูเกิ้ล จนพบอยู่ที่นึงเราตัดสินใจลองไปดู
เมื่อขึ้นมาถึงที่หมายเป็นจุดจอดรถเล็กๆ แต่ทำไว้ดีมากและวิวก็สวยมากเช่นกัน เราใช้เวลาอยู่ตรงนี้เกือบชั่วโมง มีทั้งนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นเองแวะเวียนกันมาถ่ายรูปบนนี้ หลังจากชมวิวกันจนอิ่มเราก็เดินทางเข้าสู่ที่พัก
เช้าวันที่สองเรามุ่งหน้าไป Yufuin กันแต่เช้าตรู่ เราขับรถเข้ามาเห็นภูเขาอยู่สองข้างทาง อากาศเริ่มเย็นลงอย่างชัดเจน
เหมือนเราจะมาถึงที่หมายเร็วไป ร้านรวงต่างๆยังไม่เปิด แต่ก็พอมีนักท่องเริ่มเดินทางเข้ามากันแล้ว
เรารอขนร้านรวงเริ่มเปิดแล้วเดินเล่นชมบรรยากาศ
ในนี้มีเหมือนกับสวน นกฮูก เล็กๆให้เราเข้าไปชม
น้องเชื่องมาก เจ้าหน้าที่อนุญาติให้เราลูบได้ด้วย
หลังจากเดินถ่ายรูปกันซักพัก หิมะเริ่มโปรยปรายลงมา หลังจากที่เราทำการถ่ายรูปทกันซักพัก เรากลับมาที่รถเพื่อเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายต่อไป
หลังจากเริ่มขับรถมาซักพัก หิมะเริ่มตกหนักขึ้น เส้นทางเริ่มเปลี่ยนเป็นวิวภูเขา ถนนเริ่มแคมและชัน มาถึงจุดนี้เราเริ่มกังวลเนื่องจาก รถของเราไม่มีโซ่ที่พันล้อสำหรับวิ่งบนหิมะติดมาด้วย เราขับไต่ไปเรื่อยๆ ด้วยความระมัดระวัง
หลังจากไต่ขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง กับหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่หยุด เรามาถึงสะพาน
Kokonoe Yume Otsuribashi โดยในวันนี้ลานจอดรถแทบจะว่างเปล่าไร้ นักท่องเที่ยวใดๆ คงเป็นเพราะ หิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก
เราลงจากรถเดินไปเข้าไปบริเวณสะพานที่ วันนี้ก็ยังเปิดอยู่ทั้งที่ พายุหิมะโปรยปรายลงมาขนาดนี้
บรรยากาศตอนนั้น ช่างงดงามเพลงพี่เปิด หิมะที่โปรยปรายความหนาวที่ปะทะตัวเรา ผมยืนนิ่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาราวกับยังไม่ตื่นดี
อากาศหนาว ลมแรง บรรยากาศที่ว่างปล่าว วิวที่สวยมากๆ เราพากันมาหากาแฟอุ่นๆจากตู้กดกาแฟ เนื่องจากมือเราเริ่มแข็งและจมูกเริ่มแดงกันหมดแล้ว
หลังจากกลับมาที่เรา หิมะไม่มีมีที่ท่าว่าจะหยุดเลย เราเริ่มภาวนาว่าหนทางต่อไปข้างหน้า ที่มุ่งสู่เมือง คุมาโมโต้ จะเป็นทางหลวงขนาดใหญ่
แต่สิ่งต่างๆไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด หิมะหนักขึ้นเรื่อยๆ รถที่สัญจรผ่านไปมาน้อยมาก หิมะที่พื้นเริ่มหนา ล้อของเราเริ่มไม่ยึดเกาะกับถนนอีกต่อไป
เราฝืนขับต่อไปด้วยความหวังว่าเราจะพ้นออกจากสถานะการณ์นี้ไปได้
แต่หลังจากผ่านไปสองโค้ง เราไม่สามารถเดินทางไปข้างหน้าได้อีกต่อไป รถลื่นและติดอยู่กลางเนิน จนคนที่ผ่านไปผ่านมาแถวไหนน่าจะเป็นห่วง จึงจอดรถหน้าเราและลงมากบอกเราว่า สภาพยางเราแบบนี้ คงไม่สามารถเดินทาง
ไปต่อแบบปลอดภัยได้แน่ๆ ระยะทางก็ยังเหลืออีก มาก เราตัดสินใจกลับรถ และขับย้อนกลับมาที่ปั้มน้ำมันเล็กๆบริเวณนั้น ทางปั้มแจ้งว่า ทางเค้าก็ไม่มีที่พันโซ๋ขายเหมือนกัน แต่เค้าให้แผ่นพับเรามา พร้อมด้วยเบอร์บนนั้น
เราทำการโทรไปหา ด้วยความหวัง หลังจากแจ้งที่อยู่ ของเรา เรานั่งรอบนรถด้วยความหวั่นใจ
ว่าเค้าจะมาจริงไหมแล้วจะใช้เวลานานเท่าไหร่ อากาศตอนนี้อยู่ที่ประมาณ -5 พร้อมด้วยลงและหิมะที่รุนแรง
รอไปประมาณ 30 นาที มีรถคันหนึ่งขับมาเทียบเรา พร้อมถามว่าเราใช่ไหมที่โทรหา
เรารีบตอบรับ ทางเค้ารีบนำโซ่ลงมา พันให้เรา พร้อมทั้งสอนวิธีถอดออกและใส่เข้าให้เราอย่างละเอียด เนื่องจากว่า โซ่พันล้อจะทำความเร็วได้ไม่เกิน 60 เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย เราจ่ายเงินและขอบคุณ รีบเดินทางต่อเนื่องจากเวลาก็เริ่มบ่ายแล้ว
หลังจากค่อยๆขับไปซักพัก เราเจอรถคันนึงตกลงไปข้างทาง จึงลงไปถามได้ความว่า เจ้าหน้าที่กำลังเดินทางมากำลังจะถึงแล้ว เราจึงเดินทางต่อ
เราทำความเร็วได้น้อยมาก ท้องเราเริ่มร้องระยะทางที่เหลือน่าจะอีกไกลเราจึง แวะร้านอาหารกลางทางเพื่อเติมพลังกันสักหน่อย
ตอนนี้ทั้งร้านมีแค่เรา แต่เจ้าของร้านก็เต็มใจบริการเราอย่างดี พร้อมทั้งสอบถามด้วยความเป็นห่วงก่อนที่เราจะออกจากร้าน
เริ่มเข้าสู่เมือง ถนนเริ่มใหญ่ขึ้น หิมะได้หายไปแล้ว เราแวะข้างทางเพื่อถอดโซ่ออก
เดินทางมาถึงชานเมืองคุมาโมโต้ เดินทางเข้าที่พักแช่ออนเซ็นให้คลายจากความทรหดที่พบเจอมาทั้งวัน แต่ก็ช่างมันความทรงจำที่ตื่นเต้น และน่าประทับเสียนี้กระไร พนักงานเดินนำเราไปยังห้องพักของเรา ท่ามกลางหิมะโปรยปราย
พักก่อนกันอย่างเต็มที่เมื่อคืนเช้านี้เราเริ่มออกเดินทาง
จุดหมายแรกคือ วัด Kamishikimi Kumanoimasu Shrine ซึ่งเป็นวัดที่มีเศรษฐีใจบุญผู้นำโคมไฟหินมาบริจาค จนตั้งเรียงรายสวยงามอย่างที่เราเห็น วัดแห่งนี้เป็นวัดที่อยู่ใน อนิเมะหลายๆเรื่องอีกด้วย
เรามาถึงวัดนี้ในเวลาสิบโมงเช้าที่หิมะโปรยปราย ไม่มีใครเลย ณ สถานที่แห่งนี้ทั้งผู้ดูแลหรือนักท่องเที่ยวคนอื่น แต่นั้นทำให้บรรยากาศช่างสวยงามและมีมนต์ขลังมากเลยทีเดียว
ผมปีนป่ายขึ้นไปจนถึงยอดด้านบนก็ได้พบกับวิวที่สวยงามมากทีเดียว
จากวัดเดินทางห่างออกมาไม้ไกลเป็นจุดชมต้นซีดาร์และวิวภูเขาที่สวยงาม เราเจอน้องวัวยืนท้าหนาวอยู่ตรงนี้
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าหลังจากเราเดินย่ำหิมะ ขึ้นมาได้ซักพัก ช่างคุ้มค่าเสียจริง
เนื่องจากเวลายังพอเหลือเราเดินทางไปที่ Shirakawa Spring ซึ่งเป็นจุดน้ำแร่ธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของคุมาโมโต้
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้