เอกชนหนุน ‘เศรษฐา’ กู้วิกฤตเศรษฐกิจ ชี้การพัฒนาประเทศ ต้องกล้าคิดนอกกรอบ
https://www.matichon.co.th/economy/news_3857902
เอกชนหนุน ‘เศรษฐา’ กู้วิกฤตเศรษฐกิจ ชี้การพัฒนาประเทศ ต้องกล้าคิดนอกกรอบ
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม นาย
วรวุฒิ กาญจนกูล กรรมการกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านและประธานบริหารบริษัท ดับบลิวเฮ้าส์ จำกัด เปิดเผยถึงกรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) แต่งตั้ง นายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจ ว่าการดึงนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ มีความรู้และความสามารถเข้ามาช่วยด้านการเมืองจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ขอให้มองภาพรวมของประเทศเป็นหลัก อย่าให้เกิดช่องว่างด้านใดด้านหนึ่ง
“
ผมว่าดีแล้วที่ดึงนักธุรกิจเข้ามาช่วย เพราะผ่านการทำธุรกิจมาก่อน จะได้ช่วยยกระดับค้าขาย การค้าระหว่างประเทศ เพราะมีมุมมองเรื่องธุรกิจได้ค่อนข้างดีและกว้าง กล้าคิด กล้าเสี่ยง ไม่ตั้งอยู่บนคอมฟอร์ตโซน ซึ่งเข้าใจว่าการบริหารประเทศจะเสี่ยงมากไม่ได้ แต่บางอย่างต้องมีแนวคิดนอกกรอบบ้าง เพื่อให้เกิดผลดีต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ซึ่งคนเป็นนักธุรกิจจะมีมุมมองได้ดีว่าจะสร้างมูลค่าตรงนี้ได้อย่างไร” นาย
วรวุฒิกล่าว
นาย
วรวุฒิกล่าวว่า สำหรับ ข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่ 1.ขอให้ภาครัฐมีความโปร่งใสในการขออนุญาตก่อสร้าง 2.แก้ปัญหาการนำเข้าแรงงานต่างด้าว ให้เป็นระบบวันสต็อปเซอร์วิส และ 3.การขึ้นค่าแรง เห็นด้วยที่ต้องมีการปรับขึ้น แต่ขอให้ปรับขึ้นตามการเติบโตของจีดีพี
“
โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยเห็นด้วยบางนโยบาย เช่น นโยบายเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะดูจากสถิติมีคนขอเพิ่มทุกปี แสดงว่าฐานของผู้มีรายได้น้อยขยายมากขึ้นทุกปี อยากให้รัฐบาลมีนโยบายใหม่ๆ ที่ให้คนสามารถสร้างอาชีพ และสร้างรายได้เพิ่มอย่างยั่งยืนมากกว่า ขณะเดียวกันขอให้มีนโยบายแก้ปัญหาสังคม ยาเสพติดและบ่อนการพนัน” นาย
วรวุฒิกล่าว
อดีตเลขาฯสมช. ชี้ 10 ปีแก้ไฟใต้เหลว เพราะมี ‘นายกฯ’ เป็นอุปสรรค มั่นใจเลือกตั้งรอบนี้มีจุดเปลี่ยน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3857870
อดีตเลขาฯสมช. ชี้ 10 ปีแก้ไฟใต้เหลว เพราะมี ‘นายกฯ’ เป็นอุปสรรค มั่นใจเลือกตั้งรอบนี้มีจุดเปลี่ยน
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พล.ท.
ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทยอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ระหว่างรัฐไทยกับขบวนการผู้เห็นต่างเวียนมาครบ 10 ปี ล่าสุดทางมาเลเซียได้มอบหมายให้พล.อ.ตันศรี ซุลกิฟลี มาเป็นผู้อำนวยความสะดวกของกระบวนการพูดคุยฯ และเมื่อวันที่ 2 มีนาคม ท่านได้เดินทางไปพบปะตัวแทนไทยพุทธชายแดนใต้ รับฟังข้อเสนอแนะการยุติความรุนแรงในพื้นที่ พอ 3 มีนาคม ก็มีเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดรถยนต์ของคณะรองแม่ทัพภาค 4 ที่ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาสมีกำลังพลเสียชีวิต 2 นาย อีกทั้งสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก็ปรากฎข่าวการโอนย้ายเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)เข้าทำเนียบ เหตุดังกล่าวข้างต้น จึงเกิดเสียงอื้ออึงในพื้นที่ว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จชต.ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลสืบทอดอำนาจได้อวดอ้างมาตลอดว่ามาถูกทางแล้ว แต่ความจริงแล้วมิน่าเป็นเช่นนั้น
“ตัวชี้วัดคือตราบใดที่ในพื้นที่จชต.ยังคงประกาศใช้กฎหมายพิเศษไม่ว่าจะเป็นพรบ.ความมั่นคงฯ พรก.ฉุกเฉินฯ และกฎอัยการศึก รวมทั้งการบริหารจัดการพื้นที่ยังคงต้องเป็นรูปแบบพิเศษมีศอ.บต.มาอย่างยาวนานนับ 10 ปี นั่นแสดงว่าการแก้ไขปัญหาเสมือนการว่ายน้ำที่หาฝั่งไม่เจอ แต่เชื่อว่าทันทีที่นายกฯสืบทอดอำนาจผู้เป็นเหตุปัจจัยของปรปักษ์กับขบวนการผู้เห็นต่างต้องตกเก้าอี้ไป เพราะพรรคการเมืองปีกประชาธิปไตยจะได้ชัยชนะการเลือกตั้งส.ส.ครั้งใหม่อย่างแลนด์สไลด์เข้ามาเป็นรัฐบาลแทน แสงสว่างของสันติภาพที่จชต.จะเกิดขึ้นเพราะกฏหมายพิเศษจะจางหายโดยการใช้นโยบายการจัดระเบียบความมั่นคงชายแดนใหม่เข้ามาแทนที่ สร้างสภาวะแวดล้อมส่งเสริมกระบวนการพูดคุยสันติภาพฯสู่รูปธรรม คลี่คลายบรรยากาศในพื้นที่ชายแดนให้เกิดความสงบพร้อมกับการสนับสนุนและส่งเสริมการค้าชายแดนอย่างเป็นระบบ ความคึกคักของความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านก็จะตามมา” พล.ท.
ภราดร กล่าว
เท่าพิภพ ขุดที่มา กม.ห้ามขายเหล้าวันพระ จากรปห.49 ขันน็อตแน่นยุคคสช. ซัด ขัดเสรีภาพตามรธน.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3857857
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม นาย
เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เผยแพร่ข้อเขียนเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกฎหมายห้ามจำหน่ายสุราในวันพระ ซึ่งเกิดขึ้นโดยคณะรัฐประหาร 2549
ความดังนี้
วันนี้ผมอยากมาเล่าประวัติเกี่ยวกับกฎหมายการ “ห้ามขายเหล้าในวันพระ” ในวันที่เราถูกบังคับห้ามขาย
.
ตาม พรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นับว่าเป็นกฎหมายฉบับสุดท้ายที่ออกในสมัยของนิติบัญญัติแห่งชาติ สภาที่แต่งตั้ง 100% โดย คณะรัฐประหาร ปี 2549 ก่อนที่เราจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคม 2550
.
โดยจากบันทึกการประชุมครั้งที่ 74/2550 วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2550 มีกฎหมายผ่าน[สภาตรายาง]แห่งนี้ รวมทั้งสิ้น 27 ฉบับ เริ่มประชุมกันตั้งแต่ 10.45 น. ก่อนที่จะจบพักการประชุมในเวลา 22.45 น. คิดเป็นเวลาการประชุมรวมทั้งสิ้น 12 ชั่วโมง หรือ 720 นาที ซึ่งสภาแห่งนี้ใช้เวลาพิจารณาร่างกฎหมายฉบับละ 26 นาทีเศษเพียงเท่านั้นเอง
.
ผลการกระทำในตอนนั้นทำให้ต่อมาประเทศเรามีข้อกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์มากมาย ซึ่งมาตราที่ดังที่สุดคงจะหนีไม่พ้นมาตรา 32 ที่ว่า ”ห้ามโฆษณา” ที่ทุกท่านรู้จักกันดีอยู่แล้วว่ามีปัญหา แต่มาตราที่ผมจะพูดถึงวันนี้ก็คือ มาตรา 28 ที่ให้อำนาจรัฐมนตรีมากำหนดวันเวลา เงื่อนไข การขายได้ สุดท้ายแล้วในสมัย รัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ได้มีการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ห้ามขายเหล้าในวันพระ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรานี้
ก่อนที่ต่อมาหลังการ รัฐประหาร 2557 รัฐบาลประยุทธ์ จึงออกประกาศให้สำนักนายกรัฐมนตรีขันน็อตการ ห้ามขายสุรา ให้แน่นขึ้นไปอีก โดยห้ามขายทั้งในโรงแรมและเพิ่มการห้ามขายในวันออกพรรษาเข้าไปด้วย
.
หากนึกภาพตามที่ผมเล่ามา นี่ถือเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกท่านไม่สามารถหาเครื่องดื่มเย็น ๆ ชื่นใจดื่มได้ในวันหยุดชิล ๆ แบบนี้ แค่เพราะว่า “เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ” อย่างนั้นหรือ “เราถึงต้องห้ามขายเหล้าเบียร์ในวันนี้ด้วย” การใช้หลักศาสนามาเป็นเหตุผลในการออกกฎหมายนี้
ผมคิดว่าเป็นการไม่ชอบ และเป็นการขัดต่อหลักเสรีภาพในการนับถือศาสนา(ม.31) และเสรีภาพในการประกอบอาชีพ(ม.40) ตามรัฐธรรมนูญด้วย
ผมมีข้อสังเกตว่า ถ้าหากเราออกกฎหมายโดยใช้หลักศาสนามาเป็นเหตุผลว่ากลัวคนทำผิดศีลข้อห้ามทางศาสนานั้น ทำไมเราถึงไม่บัญญัติให้การกระทำของพระภิกษุที่ทำผิดศีลเป็นความผิดทางกฎหมายด้วยไปเลย
ซึ่งข้อเท็จจริงนั้น คนไทยมิได้มีแค่คนที่นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น แต่สังคมเราเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ประกอบไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติ ความเชื่อ ดังนั้นรัฐเราควรดำรงตนเป็นรัฐฆราวาส(secular state) ไม่ควรเอากรอบคิดของศาสนาใดศาสนาหนึ่งมากำหนดเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษแบบนี้
https://www.facebook.com/Taopiphop/posts/pfbid02MAXrHbzE3iMXEjEk4cewJ2vqwmx4VEE7VmuQT34JZouofKiwZX4e3BE3NHDRBRNcl
JJNY : เอกชนหนุน ‘เศรษฐา’ กู้วิกฤต│อดีตเลขาฯสมช.ชี้ 10ปีแก้ไฟใต้เหลว│เท่าพิภพ ขุดที่มา│อธิการ ม.ทักษิณอัด ส.ส.ปชป.
https://www.matichon.co.th/economy/news_3857902
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม นายวรวุฒิ กาญจนกูล กรรมการกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านและประธานบริหารบริษัท ดับบลิวเฮ้าส์ จำกัด เปิดเผยถึงกรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) แต่งตั้ง นายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจ ว่าการดึงนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ มีความรู้และความสามารถเข้ามาช่วยด้านการเมืองจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ขอให้มองภาพรวมของประเทศเป็นหลัก อย่าให้เกิดช่องว่างด้านใดด้านหนึ่ง
“ผมว่าดีแล้วที่ดึงนักธุรกิจเข้ามาช่วย เพราะผ่านการทำธุรกิจมาก่อน จะได้ช่วยยกระดับค้าขาย การค้าระหว่างประเทศ เพราะมีมุมมองเรื่องธุรกิจได้ค่อนข้างดีและกว้าง กล้าคิด กล้าเสี่ยง ไม่ตั้งอยู่บนคอมฟอร์ตโซน ซึ่งเข้าใจว่าการบริหารประเทศจะเสี่ยงมากไม่ได้ แต่บางอย่างต้องมีแนวคิดนอกกรอบบ้าง เพื่อให้เกิดผลดีต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ซึ่งคนเป็นนักธุรกิจจะมีมุมมองได้ดีว่าจะสร้างมูลค่าตรงนี้ได้อย่างไร” นายวรวุฒิกล่าว
นายวรวุฒิกล่าวว่า สำหรับ ข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่ 1.ขอให้ภาครัฐมีความโปร่งใสในการขออนุญาตก่อสร้าง 2.แก้ปัญหาการนำเข้าแรงงานต่างด้าว ให้เป็นระบบวันสต็อปเซอร์วิส และ 3.การขึ้นค่าแรง เห็นด้วยที่ต้องมีการปรับขึ้น แต่ขอให้ปรับขึ้นตามการเติบโตของจีดีพี
“โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยเห็นด้วยบางนโยบาย เช่น นโยบายเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะดูจากสถิติมีคนขอเพิ่มทุกปี แสดงว่าฐานของผู้มีรายได้น้อยขยายมากขึ้นทุกปี อยากให้รัฐบาลมีนโยบายใหม่ๆ ที่ให้คนสามารถสร้างอาชีพ และสร้างรายได้เพิ่มอย่างยั่งยืนมากกว่า ขณะเดียวกันขอให้มีนโยบายแก้ปัญหาสังคม ยาเสพติดและบ่อนการพนัน” นายวรวุฒิกล่าว
อดีตเลขาฯสมช. ชี้ 10 ปีแก้ไฟใต้เหลว เพราะมี ‘นายกฯ’ เป็นอุปสรรค มั่นใจเลือกตั้งรอบนี้มีจุดเปลี่ยน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3857870
อดีตเลขาฯสมช. ชี้ 10 ปีแก้ไฟใต้เหลว เพราะมี ‘นายกฯ’ เป็นอุปสรรค มั่นใจเลือกตั้งรอบนี้มีจุดเปลี่ยน
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทยอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ระหว่างรัฐไทยกับขบวนการผู้เห็นต่างเวียนมาครบ 10 ปี ล่าสุดทางมาเลเซียได้มอบหมายให้พล.อ.ตันศรี ซุลกิฟลี มาเป็นผู้อำนวยความสะดวกของกระบวนการพูดคุยฯ และเมื่อวันที่ 2 มีนาคม ท่านได้เดินทางไปพบปะตัวแทนไทยพุทธชายแดนใต้ รับฟังข้อเสนอแนะการยุติความรุนแรงในพื้นที่ พอ 3 มีนาคม ก็มีเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดรถยนต์ของคณะรองแม่ทัพภาค 4 ที่ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาสมีกำลังพลเสียชีวิต 2 นาย อีกทั้งสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก็ปรากฎข่าวการโอนย้ายเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)เข้าทำเนียบ เหตุดังกล่าวข้างต้น จึงเกิดเสียงอื้ออึงในพื้นที่ว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จชต.ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลสืบทอดอำนาจได้อวดอ้างมาตลอดว่ามาถูกทางแล้ว แต่ความจริงแล้วมิน่าเป็นเช่นนั้น
“ตัวชี้วัดคือตราบใดที่ในพื้นที่จชต.ยังคงประกาศใช้กฎหมายพิเศษไม่ว่าจะเป็นพรบ.ความมั่นคงฯ พรก.ฉุกเฉินฯ และกฎอัยการศึก รวมทั้งการบริหารจัดการพื้นที่ยังคงต้องเป็นรูปแบบพิเศษมีศอ.บต.มาอย่างยาวนานนับ 10 ปี นั่นแสดงว่าการแก้ไขปัญหาเสมือนการว่ายน้ำที่หาฝั่งไม่เจอ แต่เชื่อว่าทันทีที่นายกฯสืบทอดอำนาจผู้เป็นเหตุปัจจัยของปรปักษ์กับขบวนการผู้เห็นต่างต้องตกเก้าอี้ไป เพราะพรรคการเมืองปีกประชาธิปไตยจะได้ชัยชนะการเลือกตั้งส.ส.ครั้งใหม่อย่างแลนด์สไลด์เข้ามาเป็นรัฐบาลแทน แสงสว่างของสันติภาพที่จชต.จะเกิดขึ้นเพราะกฏหมายพิเศษจะจางหายโดยการใช้นโยบายการจัดระเบียบความมั่นคงชายแดนใหม่เข้ามาแทนที่ สร้างสภาวะแวดล้อมส่งเสริมกระบวนการพูดคุยสันติภาพฯสู่รูปธรรม คลี่คลายบรรยากาศในพื้นที่ชายแดนให้เกิดความสงบพร้อมกับการสนับสนุนและส่งเสริมการค้าชายแดนอย่างเป็นระบบ ความคึกคักของความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านก็จะตามมา” พล.ท.ภราดร กล่าว
เท่าพิภพ ขุดที่มา กม.ห้ามขายเหล้าวันพระ จากรปห.49 ขันน็อตแน่นยุคคสช. ซัด ขัดเสรีภาพตามรธน.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3857857
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เผยแพร่ข้อเขียนเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกฎหมายห้ามจำหน่ายสุราในวันพระ ซึ่งเกิดขึ้นโดยคณะรัฐประหาร 2549
ความดังนี้
วันนี้ผมอยากมาเล่าประวัติเกี่ยวกับกฎหมายการ “ห้ามขายเหล้าในวันพระ” ในวันที่เราถูกบังคับห้ามขาย
.
ตาม พรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นับว่าเป็นกฎหมายฉบับสุดท้ายที่ออกในสมัยของนิติบัญญัติแห่งชาติ สภาที่แต่งตั้ง 100% โดย คณะรัฐประหาร ปี 2549 ก่อนที่เราจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคม 2550
.
โดยจากบันทึกการประชุมครั้งที่ 74/2550 วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2550 มีกฎหมายผ่าน[สภาตรายาง]แห่งนี้ รวมทั้งสิ้น 27 ฉบับ เริ่มประชุมกันตั้งแต่ 10.45 น. ก่อนที่จะจบพักการประชุมในเวลา 22.45 น. คิดเป็นเวลาการประชุมรวมทั้งสิ้น 12 ชั่วโมง หรือ 720 นาที ซึ่งสภาแห่งนี้ใช้เวลาพิจารณาร่างกฎหมายฉบับละ 26 นาทีเศษเพียงเท่านั้นเอง
.
ผลการกระทำในตอนนั้นทำให้ต่อมาประเทศเรามีข้อกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์มากมาย ซึ่งมาตราที่ดังที่สุดคงจะหนีไม่พ้นมาตรา 32 ที่ว่า ”ห้ามโฆษณา” ที่ทุกท่านรู้จักกันดีอยู่แล้วว่ามีปัญหา แต่มาตราที่ผมจะพูดถึงวันนี้ก็คือ มาตรา 28 ที่ให้อำนาจรัฐมนตรีมากำหนดวันเวลา เงื่อนไข การขายได้ สุดท้ายแล้วในสมัย รัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ได้มีการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ห้ามขายเหล้าในวันพระ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรานี้
ก่อนที่ต่อมาหลังการ รัฐประหาร 2557 รัฐบาลประยุทธ์ จึงออกประกาศให้สำนักนายกรัฐมนตรีขันน็อตการ ห้ามขายสุรา ให้แน่นขึ้นไปอีก โดยห้ามขายทั้งในโรงแรมและเพิ่มการห้ามขายในวันออกพรรษาเข้าไปด้วย
.
หากนึกภาพตามที่ผมเล่ามา นี่ถือเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกท่านไม่สามารถหาเครื่องดื่มเย็น ๆ ชื่นใจดื่มได้ในวันหยุดชิล ๆ แบบนี้ แค่เพราะว่า “เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ” อย่างนั้นหรือ “เราถึงต้องห้ามขายเหล้าเบียร์ในวันนี้ด้วย” การใช้หลักศาสนามาเป็นเหตุผลในการออกกฎหมายนี้
ผมคิดว่าเป็นการไม่ชอบ และเป็นการขัดต่อหลักเสรีภาพในการนับถือศาสนา(ม.31) และเสรีภาพในการประกอบอาชีพ(ม.40) ตามรัฐธรรมนูญด้วย
ผมมีข้อสังเกตว่า ถ้าหากเราออกกฎหมายโดยใช้หลักศาสนามาเป็นเหตุผลว่ากลัวคนทำผิดศีลข้อห้ามทางศาสนานั้น ทำไมเราถึงไม่บัญญัติให้การกระทำของพระภิกษุที่ทำผิดศีลเป็นความผิดทางกฎหมายด้วยไปเลย
ซึ่งข้อเท็จจริงนั้น คนไทยมิได้มีแค่คนที่นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น แต่สังคมเราเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ประกอบไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติ ความเชื่อ ดังนั้นรัฐเราควรดำรงตนเป็นรัฐฆราวาส(secular state) ไม่ควรเอากรอบคิดของศาสนาใดศาสนาหนึ่งมากำหนดเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษแบบนี้
https://www.facebook.com/Taopiphop/posts/pfbid02MAXrHbzE3iMXEjEk4cewJ2vqwmx4VEE7VmuQT34JZouofKiwZX4e3BE3NHDRBRNcl