JJNY : เบี้ยวหนี้ 1ล้านล้าน│"เศรษฐา"เปิดวิชั่นทำงานการเมือง│คู่เดือด“ชูวิทย์”ปรี่ถึงตัว“สันธนะ”│ยูเครนโจมตีชายแดนรัสเซีย

ตะลึง! คนไทยเบี้ยวหนี้ 1 ล้านล้านบาท ด้านหนี้ครัวเรือนพุ่ง 14.90 ล้านล้าน
https://www.khaosod.co.th/economics/news_7540276

ตะลึง! คนไทยเบี้ยวหนี้ 1 ล้านล้านบาท ด้านหนี้ครัวเรือนพุ่ง 14.90 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส แตะ 86.8% ของจีดีพี
 
วันที่ 2 มี.ค. 2566 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงภาวะสังคมไทยไตรมาส 4/2565 และปี 2565 ว่า หนี้สินภาคครัวเรือนมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยหนี้ครัวเรือนไตรมาส 3/2565 อยู่ที่ 14.90 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.9% จากไตรมาสก่อนที่ 3.5% เป็นการปรับเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่ปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) อยู่ที่ 86.8% ดังนั้น จึงต้องพยายามต้องสนับสนุนการส่งออกให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น เพื่อจะได้รักษาระดับการจ้างงาน และรายได้ต่อไปรวมทั้งระมัดระวังค่าใช้จ่ายจากค่าครองชีพ ปรับตัวสูงขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนขยายตัวในทุกประเภทสินเชื่อ โดยสินเชื่อที่มีการขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่ขยายตัวถึง 11.8% และ 21.4% โดยสินเชื่อบัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนที่ลดการใช้เงินสดมากขึ้น
 
ขณะที่การขยายตัวของสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ซึ่งเป็นสินเชื่อที่เข้าถึงได้ง่าย มีเงื่อนไขการสมัครไม่มากและไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน สะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยยังมีปัญหาสภาพคล่องจึงมีการใช้บริการสินเชื่อประเภทนี้เพิ่มขึ้น
 
นายดนุชา กล่าวต่อว่า ไตรมาส 3/2565 มียอดคงค้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) รวม 1.09 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้อยู่ระหว่างปรับโครงสร้าง 7.8 แสนล้านบาท เมื่อพิจารณาพบว่าสินเชื่อกลุ่มบัตรเครดิต ในส่วนของลูกหนี้ที่อายุต่ำกว่า 30 ปี เป็นลูกหนี้ที่มีสัดส่วนหนี้เสียเพิ่มขึ้น โดยขยายตัว 2.5% เพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน
 
ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคล ลูกหนี้ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนหนี้เสียค่อนข้างสูง มีหนี้เสียต่อบัญชีสูงถึง 77,942 บาท และต้องเฝ้าระวังสินเชื่อยานยนต์ เนื่องจากมีแนวโน้มสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ (SM) ต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 30-49 ปี มีปัญหาในการชำระหนี้สูงสุด มีสัดส่วนหนี้เสียคิดเป็น 59.2% เมื่อเทียบกับกลุ่มอายุอื่นๆ
 
สำหรับกลุ่มลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยังมีอีกเป็นจำนวนมากแม้สถานการณ์โควิดจะคลี่คลายแล้ว โดยไตรมาส 3/2565 มีหนี้เสียรวม 4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2.2 แสนล้านบาทในช่วงไตรมาส 1/2565 จำนวนบัญชีเพิ่มขึ้นเป็น 4.7 ล้านบัญชี จาก 2.7 ล้านบัญชีในช่วงเดียวกัน และกว่า 60% มาจากสินเชื่อส่วนบุคคล
 
โดยประเด็นที่ต้องติดตาม คือ ต้องเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่เริ่มมีสัญญาณผิดนัดชำระ และต้องมีมาตรการเจาะจงในการดูแลลูกหนี้กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่น การกำหนดสัดส่วนชำระหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ เพื่อลดจำนวนหนี้เสียและรักษาลูกหนี้ให้อยู่ในระบบสถาบันการเงิน
 
นายดนุชา กล่าวอีกว่า ไตรมาส 4/2565 การจ้างงานปรับตัวดีขึ้น โดยผู้มีงานทำมีจ่านวนทั้งสิ้น 39.6 ล้านคน ขยายตัว 1.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการขยายตัวของการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมที่ 3.9% โดยเฉพาะการจ้างงานในสาขาโรงแรมและภัตตาคาร และสาขาการค้าส่งและค้าปลีกที่ขยายตัว 6.6% และ 2.0% ตามล่าดับ ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวโดยไตรมาส 4/2565 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากถึง 5.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16 เท่าจากช่วงเดียวกันของปี 2564
 
ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวใกล้เคียงกับช่วงก่อน โควิด-19 โดยอัตราการว่างงานไตรมาส 4/2565 อยู่ที่ 1.15% ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน หรือคิดเป็นผู้ว่างงานจำนวน 4.6 แสนคน ลดลงทั้งจ่านวนผู้ว่างงานที่เคยท่างานมาก่อนและไม่เคยท่างานมาก่อน
 

 
"เศรษฐา" เปิดวิชั่นทำงานการเมือง ยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง หล่อหลอมหลายเจเนอเรชั่น ลดความแตกแยก
https://www.matichon.co.th/election66/news_3853576
 
“เศรษฐา” เปิดวิชั่นทำงานการเมือง ยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง หล่อหลอมหลายเจเนอเรชั่น ลดความแตกแยก
 
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ “มติชน” ถึงความพร้อมในการทำหน้าที่งานการเมือง รวมทั้งการทำหน้าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหากได้รับการคัดเลือกจากพรรคเพื่อไทย (พท.) ว่า ในอดีตตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทย พลังประชาชน และพรรค พท. ยึดนโยบายเป็นหลัก นโยบายสามารถปฏิบัติได้จริง และมีบทพิสูจน์มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค จึงเป็นที่มาของสโลแกน คิดใหญ่ ทำเป็น เราทำได้และหวังว่าจะได้ทำ หลายนโยบายจะประกาศออกมาหลังมีการประกาศยุบสภาและกำหนดให้มีการมีการเลือกตั้ง แต่นโยบายที่ปล่อยไปแล้วเชื่อว่าเป็นนโยบายที่สามารถทำได้จริง เป็นที่ต้องการของประชาชน ทั้งเรื่องของรายได้เกษตรกรที่จะเพิ่มขึ้น 3 เท่าในภายในปี 2570 รวมทั้งจะทำอย่างไรให้จีดีพีเติบโตในอัตราเฉลี่ย 5% ต่อปี
 
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาลงทุนในประเทศ และเรื่องของสาธารณสุข ยอมรับว่าเราเป็นประเทศที่เล็ก ต้องถ่อมตัว แต่ก็ต้องคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี หากไม่มีคนมาลงทุน เศรษฐกิจจะเติบโตได้อย่างไร ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศจะต้องมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ในการนำไปสู่ต่างประเทศให้ได้ และต้องนำทัพว่าประเทศไทยมีดีอะไรบ้าง
 
ที่เข้ามาทำงานร่วมกับพรรค พท. เพราะมีจิตวิญญาณเหมือนกัน คือ เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่ แต่เรื่องความเสมอภาค ความเท่าเทียม การดูแลภาคส่วนที่อ่อนแอก็สำคัญ เห็นพ้องตรงกัน และผมแค่เข้ามาเสริมเล็กๆ น้อยๆ ผมเป็นหนึ่งในหลายคนที่อยากช่วยเหลือบ้านเมือง พรรค พท.มีบุคลากรที่อยู่มานาน หลายคนประสบความสำเร็จและเข้าใจบริบทการเมืองดีกว่า เพียงแค่ผมเอาความคิดใหม่ๆ และวิธีการทำงานมาเสริมบ้างเพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย ส่วนจะมีการนำจุดแข็งในด้านเศรษฐกิจเข้ามาเติมเต็มให้พรรค พท. เพื่อสร้างคะแนนนิยม นำไปสู่เป้าหมายชนะการเลือกตั้งได้อย่างไรนั้น ในส่วนนี้คะแนนนิยมต้องมาจากสิ่งที่ประชาชนยอมรับ
 
ส่วนทีมเศรษฐกิจในฝันนั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องมีผู้ชำนาญการจากทุกภาคส่วนเข้ามา เช่น เรื่องพลังงาน การเกษตร การประมง สำคัญสุด ต้องเอาปากท้องประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่รังแกคนที่มีเยอะ หรือไม่ดูแลคนที่มีน้อย เชื่อว่าเมื่อพรรค พท.ประกาศคณะทำงานด้านเศรษฐกิจขึ้นมาก็จะชัดเจน พูดได้ ตอบได้ เมื่อเสนอตัวมารับใช้ประชาชน คณะทำงานเศรษฐกิจก็ต้องพร้อม อยู่ดีๆ คนที่อยู่ข้างหลังบอกว่าไม่อยากให้เปิดชื่อก็จะมีคำถามตามมาว่าถ้าจะมาทำงานก็ต้องกล้าเสนอตัวต่อพี่น้องประชาชน ที่บอกว่าเขาไม่อยากให้บอกชื่อนั้น เขาละอายใจที่มาอยู่กับคุณหรือไม่
 
จากการนักธุรกิจเข้ามาเป็นนักการเมืองมีความกลัวหรือไม่นั้น ก็กลัวทุกอย่าง ก้าวที่เดินไปข้างหน้าเป็นก้าวใหม่ ต้องเตรียมตัว เตรียมพร้อม ต้องระมัดระวังตัวพอสมควร กลัวที่สุดคือเรื่องที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่างที่เขาบอกว่าประเทศไม่ใช่บริษัท ก็รับฟังจริงๆ ว่าประเทศเป็นสภาพแวดล้อมที่ใหญ่กว่า แต่ทักษะที่มีเชื่อว่าจะบริหารจัดการได้ จะพยายามทำในสิ่งที่ควบคุมได้ดีกว่า หลักการปฏิบัติที่ทำได้เอง ก็ทำไป ที่สำคัญ คือ ต้องเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ต้องเคารพกฎหมาย เชื่อว่าเราจะเดินไปข้างหน้าได้
 
นายเศรษฐา ยังกล่าวตอนหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่ต้องสื่อสารกับชาวบ้าน จะต้องปรับตัวอย่างไรว่า ต้องพยายามลองดู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษาที่ใช้ บางทีก็ต้องตำหนิตัวเองเพราะคิดคำไม่ออกจริงๆ ใช้คำทับศัพท์ ภาษาอังกฤษอยู่บ้าง แต่พร้อมรับฟังคำแนะนำทั้งคนในพรรค นอกพรรค หรือผู้มีอำนาจ พร้อมเปิดใจจริงๆ ไม่ใช่แค่พูดเฉยๆ วันนี้มีความตั้งใจช่วยเหลือประชาชน นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง หล่อหลอมให้คนหลายเจเนอเรชั่นอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ลดความแตกแยก
 
นายเศรษฐา ยังระบุด้วยว่า ตอนนี้ยังเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ถ้าเกิดกรรมการบริหารพรรคเลือกเป็นแคนดิเดตเมื่อยอมเป็นตรงนั้น หากพรรค พท.ชนะการเลือกตั้ง แล้วพรรคไปเลือกคนอื่นเข้ามา ก็ต้องยอมรับอยู่ดี ไม่ตีอกชกตัว มีหัวใจประชาธิปไตยอยู่แล้ว ความคาดหวังคือได้เข้ามาทำงานกับพรรคการเมือง ที่นโยบายในอดีตและนโยบายในอนาคต เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตที่ดีกว่ากับประชาชน แค่นี้เอง ยืนยันว่ามติออกมาอย่างไร เสียงประชาชนว่าอย่างไรก็น้อมรับ


 
คู่เดือด“ชูวิทย์” ปรี่ถึงตัว“สันธนะ”ท้าต่อยเดือด กลางนครบาล มาสู้กัน แบบวิถีลูกผู้ชาย
https://www.matichon.co.th/clips/news_3853276

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล มีกำหนดเดินทางไปกองบัญชาการตำรวจนครบาล ยื่นหนังสือถึง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อให้เร่งรัดคดีที่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และพวกรวม 9 คดี กับนายพันธ์ธวัช หรือ นอท นาควิสุทธิ์ และพวกรวม 5 คดี เมื่อ นายสันธนะ เดินทางมาถึง บช.น. ปรากฏว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้พุ่งตัวเข้ามาพยายามเข้าประชิดตัวนายสันธนะ เพื่อท้าต่อยมวยตัวต่อตัว พร้อมโยนนวมให้นายสันธนะ แต่นายสันธนะ เดินหนี ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่