สาระสำคัญ (เผื่อรีบ สรุปให้สั้น ๆ มีภาพประกอบด้านล่าง)
: เรามีฟันคุดที่ทิ้งไว้นานถึง 8 ปี (2558 - 2566) เป็นฟันคุดฝังในกระดูกกรามบนซ้ายในสุด (ไม่โผล่) ปรากฏฟันมันย้ายทิศขึ้นไปข้างบนลึกมาก ขนาดระดับศาสตราจารย์ของมหิดลยังบอกว่า
"เป็นเคสยาก ยากที่สุด" ไม่มีที่ไหนข้างนอกรับผ่า ซึ่งก็จริงนะ ขนาด รพ. เอกชน แถวรามอินทรา (ขอไม่บอกชื่อ) ระดับอาจารย์ขอเลื่อนนัดเราไม่พอ แถมยังยกเลิกนัดเราโดยไม่บอกกล่าวสักคำเดียว (เดาว่าเขาคงไม่กล้าบอกว่ายาก ทำไม่ได้ ไม่อยากเสี่ยง)
ไปขออนุญาตคุณหมอมาแล้ว ท่านให้แจ้งชื่อได้นะคะ
ท่านที่ผ่าให้เคสเราคือ
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ณัฐเมศร์ วงศ์สิริฉัตร
วัตถุประสงค์หลัก
: เลยอยากรณรงค์ ให้เพื่อน ๆ ไม่ต้องกลัว ถ้าตรวจพบรีบผ่า ก่อนจะเป็นเคสอันตรายแบบเรา เราเอาตัวเองไปขึ้นเขียงเป็นเคส Study มาให้ขนาดนี้ ยากที่สุดและยังรอดมาได้แบบสบายมาก ทุกคนก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว
คำแนะนำ (สำหรับคนกลัวการผ่าฟันคุด)
: ถ้ากลัว อยากได้หมอฝีมือดี ก็กำเงินมาผ่ากับอาจารย์หมอที่ตึกทันตกรรมมหิดลชั้น 3 นะ (หรือโทรสายตรงนัดผ่าฟันคุดที่เบอร์ 02-200-7772 ซึ่งส่วนมากเบอร์แผนกแจ้งเตือนนัดคือ 090-197-0086 เมมไว้ จะได้ไม่คิดว่าเป็นแสปม)
เราผ่ามาแล้ว 3 ซี่ มีทั้งที่ยากและยากที่สุดก็ผ่านมาได้เพราะมาผ่ากับอาจารย์หมอที่นี่ เราไม่ได้มาโฆษณา นี่จากประสบการณ์เราจริง ๆ
********
ทำไมเคสเราถึงอันตราย ?
: เพราะปล่อยทิ้งไว้นานจนมันขึ้นไปสูงมาก ซึ่งเป็นที่ที่มีเส้นประสาทเยอะมาก อีกทั้งยังใกล้โพรงไซนัส และหูชั้นใน ทำให้ผ่ายาก ถ้าติดเชื้อขึ้นมาก็โชคร้าย เป็นเคสที่ข้างนอกจะไม่มีทางรับเพราะเสี่ยงมาก ต้องใช้ชั่วโมงบินและฝีมือที่สูงจริง ๆ ซึ่งเราโชคดีที่เราได้ระดับศาสตราจารย์มาผ่าให้ ไม่ถึง 15 นาที แถมไม่เจ็บเลยไม่ว่าตอนผ่าตัดหรือหลังผ่ามาแล้ว (วันนี้เข้าวันที่ 2) ฉีดพิษสุนัขบ้ายังเจ็บกว่า (ทั้งที่ก่อนหน้านี้ 2 ซี่เจ็บมากและกลัวจนอกสั่น แต่ครั้งนี้หนังคนละม้วนเลย เหมือนฝันไป)
ทำให้รู้เลยว่า ทำไมคนเราต้องตั้งใจเรียนและตั้งใจทำงาน ก็เพราะแบบนี้ เราจะได้มีฝีมือ ทำชิ้นงานออกมาได้ดีดี โดยเฉพาะคนเป็นหมอ ผ่าตัดแล้วคนไข้ไม่เจ็บเลย ฟื้นตัวก็ไว คนไข้ที่ไหนไม่ชอบบ้าง?
ฝากไว้เป็นอุธาหรณ์ อย่าชะล่าใจ ของเราทิ้งไว้ 8 ปี (จากง่ายกลายเป็นยากที่สุด)
ต่อไปจะเป็น Part ของคนที่มีเวลาอ่าน
: ถ้าอยากรู้แบบละเอียดนะ เราจะเล่าให้ฟัง
ตอนนี้เราอายุ 29 ปี (ซึ่งก็ถือเป็นอายุที่แก่และไม่โอเคสำหรับการผ่าฟันคุด)
เราเป็นพวกฟุ้งซ่าน เรียนช่างมาก่อน ผ่านพวกเลื่อยวงเดือนมา เวลาได้ยินเสียงเครื่ิองมือทันตกรรมก็จะจินตนาการไปถึงระดับ Final Destination ได้
ด้วยความเป็นคนดูหนังโหดมาเยอะ บวกกับประสบการณ์ที่อุดฟันแล้วเจ็บ ผ่าฟันคุดแล้วเจ็บ เลยทำให้เป็นคนที่กลัวมาก คำว่า "กลัวจนอกสั่นปากสั่น" เกิดกับเรามาแล้ว ใช้ได้จริง
กลัวถึงขั้นนอนไม่หลับ ความเครียดทำให้ปวดหลังร้าวมาถึงกรามล่างขึ้นไปกรามบน ลามมาขมับ และไปหลังหู ซึ่งพอไปนั่งสมาธิก็หายไปหมด พี่ชายที่เป็นหมอเลยบอกว่า เกิดจากความเครียดล้วน ๆ และรู้ยังว่าทำไมความเครียดถึงฆ่าคนได้ ? ก็เพราะมันทำให้ทุกอย่างรวนไปหมด
(เกล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ : ที่ทำให้กลัวน้อยลง เพราะพี่ชายที่เป็นหมอบอกว่า เอาพวกเลื่อยวงเดือนไปเปรียบเทียบกับเครื่องมือทันตกรรมเป็นอะไรที่สิ้นคิดมาก เพราะเครื่องมือพวกนี้ถึงขั้นคนเอาไปใช้เจียรเพชรมูลค่ามหาศาลได้ ก็คือมันมีความละเอียดอ่อนสูงและมีคุณภาพที่ดีมาก ยิ่งมหิดลเป็นมหาลัยที่คนนิยมไปเรียนหมอฟัน อุปกรณ์ย่อมครบครัน ทำให้เรารู้สึกใจชื้น เพราะเราเข้าใจได้ระหว่างความแตกต่างของความคมและแม่นยำระหว่างเครื่องเจียรฟันกับเครื่องตัดไม้ เพราะถ้าไม่แน่จริง เอามาทำฟันไม่ได้แน่ เพราะสำหรับหมอ ถึงจะแค่มิลเดียวก็สำคัญมาก)
เรามีฟันคุดด้วยกัน 3 ซี่ (เสียดาย หาฟิล์ม X-Ray ของปี 2558 ไม่เจอ)
เดี๋ยวจะอธิบายความยากง่ายไว้ด้านล่าง
ปี 2558 : ผ่าครั้งแรก (กรามล่างขวา)
- ง่ายสุดเพราะพ้นเหงือกมาแล้วหน่อยนึง ไปดูในบันทึกมา เห็นตัวเองเขียนว่าไม่เจ็บ คงเพราะหมอให้สเตียรอยด์ด้วย
ปี 2563 : ผ่าครั้งที่ 2 (กรามล่างซ้าย)
- ครั้งนี้ยาก เพราะฟันคุดสภาพเดียวกับล่างขวา แต่อยู่ในกระดูกกราม ก็คือต้องตัดกระดูกแล้วก็เอาเครื่องเจียรฟันให้คีบออกง่าย พอดีเราป่วยเป็นโรคทีแพ้สเตียรอยด์ทุกชนิด หมอจึงไม่ได้ให้ ทำให้หน้าปวม แผลระบมมาก จำได้ว่าระบมจนน้ำตาเล็ด มันร้าวระบบประสาท แต่ก็ทนมาได้ สักประมาณวันที่ 5-6 ก็ไม่เท่าไรแล้ว
ปี 2566 : ผ่าครั้งสุดท้าย (กรามบนซ้าย)
- เป็นเคสที่ยากมาก อาจารยที่เคยผ่าเรามา 2 ครั้งเลยบอกว่าจะส่งไปให้อาจารย์ของอาจารย์ผ่าให้ ก็คือระดับศาสตราจารย์ (ตอนแรกอาจารย์ก็บอกว่าเคสเราไม่ยาก แต่น่าจะเพราะเห็นเรากลัวจริง ๆ เลยไม่อยากให้เราแย่ไปกว่านี้) ด้วยความที่ภาพจำครั้งที่ 2 ฉีดยาชาก็เจ็บ ตอนผ่าก็เอาออกยาก ตอนคีบฟันออกก็เจ็บ แถมหลังผ่า ช่วงนั้นเรากินยาสเตียรอยด์ไม่ได้ก็เลยยิ่งหนัก
แต่เรามีเวลาทำใจแค่ 2 วัน (พอดีมีคนยกเลิกนัดท่าน เราก็เลยได้แทรกคิว ไม่งั้นต้องรอไปยัน มี.ค. 66) บวกกับถ้าไม่ผ่าตอนนี้แล้วมันขึ้นไปสูงกว่านี้ต้องแย่กว่านี้แน่ (เพราะตอนนี้ก็แน่แล้ว) เลยต้องใจดีสู้เสือ ภาวนาพุทโธเข้าไว้ให้ไม่ฟุ้งซ่าน ใช้เวลาช่วงนั้นไปไหว้พระขอพร บนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะอย่างที่บอก เรากลัวเจ็บ + จินตนาการล้ำเลิศมาก ดังนั้นจะพึ่งแต่กำลังใจตัวเห็นจะไม่ไหว บวกกับถ้าเราผ่านมาได้ ทุกคนก็ต้องผ่านได้ ส่วนหนึ่งก็อยากมาถ่ายทอดเรื่องราวให้คนหายกลัวด้วย
พอถึงวันนัดผ่า คุณหมอทราบว่าเราแพ้สเตียรอยด์ทุกชนิด ก็เลยชี้แจงว่า
ครั้งนี้ต้องทั้งฉีดและให้กินสเตียรอยด์นะ เพราะแผลมันลึกและยากมาก ไม่งั้นจะบวมและระบมซึ่งจะรวดร้าวมาก เราเข้าใจดีเลยเพราะซาบซึ้งมากถึงเคสที่ไม่ใช้สเตียรอยด์ แถมเรามีพี่เป็นหมอ เราเข้าใจดี ถ้าไม่จำเป็นหมอจะไม่พูดให้คนไข้เสี่ยง ซึ่งศาสตราจารย์ท่านนี้เป็นคนที่มีคุณธรรมมาก เป็นที่รักของคนไข้และลูกศิษย์ มีงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อวงการหลายตัว และได้รับรางวัลมากมาย (รู้สึกตัวเองโชคดีที่อาจารย์ส่งตัวไปให้ผ่ากับท่าน ขอบพระคุณมาก ๆ นะคะ)
ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่อัศจรรย์มาก อย่างที่เราเขียนบอกไปตอนแรก ฉีดวัคซีนโควิคหรือบาดทะยักยังเจ็บกว่า เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านถึงได้รับการยกย่องจากคณะทันตกรรมมหิดลมาก ๆ ตอนฉีดยาชาเราไม่รู้สึกอะไรเลย ท่านเปิดเหงือกและกระดูกเราแปปเดียวเท่านั้น ส่วนเสียงเครื่องเจียรฟันก็ไม่ถึง 1 นาที ทุกอย่าง Perfect มาก ทั้งหมดตั้งแต่ต้นยันจบและเดินออกมา ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที ทำให้เราเชื่อที่อาจารย์เคยให้สัมภาษณ์ลงบทความไว้ประมาณว่า
ท่านตั้งใจศึกษาและฝึกฝนอย่างเต็มที่เพื่อจะได้มาช่วยดูแลคนไข้ได้ให้ดีที่สุด
เสียอย่างเดียวคือคุณผู้ช่วยให้ผ้าก็อตมากัดน้อยจนน่าตกใจ (แต่ตอนนั้นเราอ้าปากพูดไม่ได้ เรามีประสบการณ์ผ่ามา 2 รอบ เลยรู้ว่าต้องขอเพิ่มจากเคาท์เตอร์ จนมาถึงบ้านเลือดไม่หยุดไหลจริง ก็เลยยัดเข้าไปแล้วกัดให้แน่น เหมือนสมัยตอนผ่าซี่ที่ 2 ซึ่งเลือดหยุดไหลเร็วมากเป็นที่น่าพอใจ)
หลังจากผ่า (เสร็จ 1 ทุ่ม) เราแทบไม่มีอาการอักเสบอะไรเลย ไม่เจ็บด้วย ไม่ปวด ไม่ระบม หลังจากครบกำหนดห้ามเลือดและเช็คจนแน่ใจ เราก็กินยา-กินข้าวได้เลย (เราอาศัยวิธีประคบเย็นทั้งคืนเพราะนอนไม่หลับพอดี ไปหลับอีก 6 โมงเช้าของอีกวัน)
แต่กินยาอะไรตรงเวลา (เรื่องนี้ห้ามพลาด โดยเฉพาะยาฆ่าเชื้อ)
ฝากไว้เป็นอุธาหรณ์ อย่าชะล่าใจ
ของเราทิ้งไว้ 8 ปี (จากง่ายกลายเป็นยากที่สุด)
ใบแนะนำกลังจากผ่าฟันคุด ลงไว้ให้ เผื่อเป็นประโยชน์นะ
สำหรับเรา หลังผ่าฟันคุดเราก็ทำตามที่คุณหมอและตามใบแนะนำแจ้งไว้อย่างรอบคอบ จะมีที่เราทำมากกว่าคือจำนวนชั่วโมงที่ประคบเย็น รวมไปถึงประคบหน้าผากและส่วนต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ไข้ขึ้น
เราล้างมือทุกครั้งที่จะสัมผัสอะไรที่ต้องเข้าปาก หรือแม้แต่แปรงสีฟัน เราลวกของทุกชิ้นที่จะเอาเข้าปาก เช่น จาน ช้อนส้อม แก้ว เพราะไม่อยากเสี่ยงติดเชื้อที่ทำให้มีปัญหาตามมาอีกเยอะแยะ
แล้วเราก็พยายามดูอาการตัวเองตลอด ที่สำคัญคือเราไม่ซ่า เรากินอาหารอ่อนประเภทใช้หลอดดูด พวก นม หรือข้าวต้มซองผสมน้ำเยอะ ๆ เวลาดูดก็เบา ๆ และพยายามเลี่ยงบริเวณแผลให้มาก ๆ พยายามไม่ให้โดนน้ำหรืออาหาร เพราะแค่น้ำลายเราเองก็มีเชื้อโรคและแบคทีเรียเยอะแล้ว เราเคยเตือนคนที่รู้จักซึ่งเขาไม่ฟัง ผ่าฟันคุดเสร็จแล้วขับรถไปกินเหล้า ต่อมาเลือดไหลไม่หยุด ทั้งเสี่ยงแถมยังเสียเวลา จำไว้เลย คำแนะนำของหมอเขามีเหตุผลรองรับไว้แล้วทุกอย่าง ถ้าสงสัยให้ถาม แต่ไม่ใช่คิดเองเออเองว่าไม่เป็นไร

แปรง 2 อันนี้เราซื้อที่มหิดล อันแดงนี่ดีมาก นุ่มที่สุด นุ่มแบบละลาย สำหรับแปรงฟันหลังผ่าตัด ราคาน่าจะประมาณ 114 บาท ส่วนอันเขียว ราคาประมาณ 100 บาท นี่เราเอาไว้แปรงฟันกราม แต่มันแข็งกว่ายี่ห้อของ Sunstar (ญี่ปุ่น) ถ้าจะซื้อก็แนะนำ Sunstar ดีกว่า ราคาประมาณ 90 บาท ถูกกว่าและนุ่มกว่าหน่อย เราซื้อมาเพราะมีประสบการณ์แล้ว เราจะแปรงฟันกรามเก็บรายละเอียดก่อน เพราะถ้ามีเศษอาหารตกค้างก็มีสิทธิ์ที่แผลจะอักเสบได้ แล้วค่อยใช้แปรงนุ่มเก็บรายละเอียดอีกทีเบา ๆ แต่ปกติถ้าไม่ผ่า เราก็ใช้แบบด้ามเขียวแปรงฟันกรามบ่อยนะ เพราะอยากรักษาฟันให้ดีที่สุด ไม่อยากไปอุดแล้วมันทรมาน ซึ่ง 1 ปีที่ผ่านมา (ถ้าไม่นับฟันคุด) เราแทบไม่ต้องทำอะไรนอกจากขูดหินปูนตามเวลาเท่านั้น
********
ประสบการณ์เราก็ประมาณนี้ ที่เล่ายาว เพราะบางคนขี้กังวล อยากรู้ดีเทลเยอะ ๆ เราก็เลยจัดให้ จริง ๆ
เราตั้งใจไว้ก่อนผ่าตัด ว่าเราจะเอาตัวเองเป็น Case Study มาแชร์บนโลกอินเตอร์เน็ต เพราะไม่อยากให้คนอื่นต้องมานั่งทรมานแบบเรา ถ้าตรวจพบก็รีบไปผ่าออกนะ
เชื่อเรา ดีกว่าปล่อยให้มันเติบโตไปยังจุดที่อันตรายมาก ๆ แบบเรานะ ไม่คุ้มกันหรอก แล้วก็ถ้าใครยังไม่เคย X-Ray เลยก็ลองดูหน่อย เพราะถ้าปล่อยไว้ ให้มาผ่าแบบพ่อเราตอน 40 บอกเลยว่าทรมานกว่าตอน 25-30 เยอะนะ เห็นแต่ละเคสพออายุ 40 แล้วไม่ค่อยโอเคเท่าไร แต่ผ่าออกดีที่สุด เพราะถ้ามันผุข้างใน ไม่รักษา เป็นหนอง นั่นนู่นนี่ แล้วจะบอกว่า รู้งี้กุผ่าแต่แรกดีกว่า ปล่อยทิ้งไว้ทรมานกว่าเยอะนะ เชื่อเรา เราเป็นกำลังใจให้ ถ้าเราผ่านมาได้ ทุกคนต้องผ่านได้แน่นอน : )
ด่วน! มีฟันคุดรีบผ่า! ก่อนมันเปลี่ยนทิศเป็นเคสยาก! (เคสจริงของเราเอง)
: เรามีฟันคุดที่ทิ้งไว้นานถึง 8 ปี (2558 - 2566) เป็นฟันคุดฝังในกระดูกกรามบนซ้ายในสุด (ไม่โผล่) ปรากฏฟันมันย้ายทิศขึ้นไปข้างบนลึกมาก ขนาดระดับศาสตราจารย์ของมหิดลยังบอกว่า "เป็นเคสยาก ยากที่สุด" ไม่มีที่ไหนข้างนอกรับผ่า ซึ่งก็จริงนะ ขนาด รพ. เอกชน แถวรามอินทรา (ขอไม่บอกชื่อ) ระดับอาจารย์ขอเลื่อนนัดเราไม่พอ แถมยังยกเลิกนัดเราโดยไม่บอกกล่าวสักคำเดียว (เดาว่าเขาคงไม่กล้าบอกว่ายาก ทำไม่ได้ ไม่อยากเสี่ยง)
ไปขออนุญาตคุณหมอมาแล้ว ท่านให้แจ้งชื่อได้นะคะ
ท่านที่ผ่าให้เคสเราคือ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ณัฐเมศร์ วงศ์สิริฉัตร
วัตถุประสงค์หลัก
: เลยอยากรณรงค์ ให้เพื่อน ๆ ไม่ต้องกลัว ถ้าตรวจพบรีบผ่า ก่อนจะเป็นเคสอันตรายแบบเรา เราเอาตัวเองไปขึ้นเขียงเป็นเคส Study มาให้ขนาดนี้ ยากที่สุดและยังรอดมาได้แบบสบายมาก ทุกคนก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว
คำแนะนำ (สำหรับคนกลัวการผ่าฟันคุด)
: ถ้ากลัว อยากได้หมอฝีมือดี ก็กำเงินมาผ่ากับอาจารย์หมอที่ตึกทันตกรรมมหิดลชั้น 3 นะ (หรือโทรสายตรงนัดผ่าฟันคุดที่เบอร์ 02-200-7772 ซึ่งส่วนมากเบอร์แผนกแจ้งเตือนนัดคือ 090-197-0086 เมมไว้ จะได้ไม่คิดว่าเป็นแสปม)
เราผ่ามาแล้ว 3 ซี่ มีทั้งที่ยากและยากที่สุดก็ผ่านมาได้เพราะมาผ่ากับอาจารย์หมอที่นี่ เราไม่ได้มาโฆษณา นี่จากประสบการณ์เราจริง ๆ
: เพราะปล่อยทิ้งไว้นานจนมันขึ้นไปสูงมาก ซึ่งเป็นที่ที่มีเส้นประสาทเยอะมาก อีกทั้งยังใกล้โพรงไซนัส และหูชั้นใน ทำให้ผ่ายาก ถ้าติดเชื้อขึ้นมาก็โชคร้าย เป็นเคสที่ข้างนอกจะไม่มีทางรับเพราะเสี่ยงมาก ต้องใช้ชั่วโมงบินและฝีมือที่สูงจริง ๆ ซึ่งเราโชคดีที่เราได้ระดับศาสตราจารย์มาผ่าให้ ไม่ถึง 15 นาที แถมไม่เจ็บเลยไม่ว่าตอนผ่าตัดหรือหลังผ่ามาแล้ว (วันนี้เข้าวันที่ 2) ฉีดพิษสุนัขบ้ายังเจ็บกว่า (ทั้งที่ก่อนหน้านี้ 2 ซี่เจ็บมากและกลัวจนอกสั่น แต่ครั้งนี้หนังคนละม้วนเลย เหมือนฝันไป)
ทำให้รู้เลยว่า ทำไมคนเราต้องตั้งใจเรียนและตั้งใจทำงาน ก็เพราะแบบนี้ เราจะได้มีฝีมือ ทำชิ้นงานออกมาได้ดีดี โดยเฉพาะคนเป็นหมอ ผ่าตัดแล้วคนไข้ไม่เจ็บเลย ฟื้นตัวก็ไว คนไข้ที่ไหนไม่ชอบบ้าง?
: ถ้าอยากรู้แบบละเอียดนะ เราจะเล่าให้ฟัง
ตอนนี้เราอายุ 29 ปี (ซึ่งก็ถือเป็นอายุที่แก่และไม่โอเคสำหรับการผ่าฟันคุด)
เราเป็นพวกฟุ้งซ่าน เรียนช่างมาก่อน ผ่านพวกเลื่อยวงเดือนมา เวลาได้ยินเสียงเครื่ิองมือทันตกรรมก็จะจินตนาการไปถึงระดับ Final Destination ได้
ด้วยความเป็นคนดูหนังโหดมาเยอะ บวกกับประสบการณ์ที่อุดฟันแล้วเจ็บ ผ่าฟันคุดแล้วเจ็บ เลยทำให้เป็นคนที่กลัวมาก คำว่า "กลัวจนอกสั่นปากสั่น" เกิดกับเรามาแล้ว ใช้ได้จริง
กลัวถึงขั้นนอนไม่หลับ ความเครียดทำให้ปวดหลังร้าวมาถึงกรามล่างขึ้นไปกรามบน ลามมาขมับ และไปหลังหู ซึ่งพอไปนั่งสมาธิก็หายไปหมด พี่ชายที่เป็นหมอเลยบอกว่า เกิดจากความเครียดล้วน ๆ และรู้ยังว่าทำไมความเครียดถึงฆ่าคนได้ ? ก็เพราะมันทำให้ทุกอย่างรวนไปหมด
(เกล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ : ที่ทำให้กลัวน้อยลง เพราะพี่ชายที่เป็นหมอบอกว่า เอาพวกเลื่อยวงเดือนไปเปรียบเทียบกับเครื่องมือทันตกรรมเป็นอะไรที่สิ้นคิดมาก เพราะเครื่องมือพวกนี้ถึงขั้นคนเอาไปใช้เจียรเพชรมูลค่ามหาศาลได้ ก็คือมันมีความละเอียดอ่อนสูงและมีคุณภาพที่ดีมาก ยิ่งมหิดลเป็นมหาลัยที่คนนิยมไปเรียนหมอฟัน อุปกรณ์ย่อมครบครัน ทำให้เรารู้สึกใจชื้น เพราะเราเข้าใจได้ระหว่างความแตกต่างของความคมและแม่นยำระหว่างเครื่องเจียรฟันกับเครื่องตัดไม้ เพราะถ้าไม่แน่จริง เอามาทำฟันไม่ได้แน่ เพราะสำหรับหมอ ถึงจะแค่มิลเดียวก็สำคัญมาก)
เรามีฟันคุดด้วยกัน 3 ซี่ (เสียดาย หาฟิล์ม X-Ray ของปี 2558 ไม่เจอ)
เดี๋ยวจะอธิบายความยากง่ายไว้ด้านล่าง
- ง่ายสุดเพราะพ้นเหงือกมาแล้วหน่อยนึง ไปดูในบันทึกมา เห็นตัวเองเขียนว่าไม่เจ็บ คงเพราะหมอให้สเตียรอยด์ด้วย
ปี 2563 : ผ่าครั้งที่ 2 (กรามล่างซ้าย)
- ครั้งนี้ยาก เพราะฟันคุดสภาพเดียวกับล่างขวา แต่อยู่ในกระดูกกราม ก็คือต้องตัดกระดูกแล้วก็เอาเครื่องเจียรฟันให้คีบออกง่าย พอดีเราป่วยเป็นโรคทีแพ้สเตียรอยด์ทุกชนิด หมอจึงไม่ได้ให้ ทำให้หน้าปวม แผลระบมมาก จำได้ว่าระบมจนน้ำตาเล็ด มันร้าวระบบประสาท แต่ก็ทนมาได้ สักประมาณวันที่ 5-6 ก็ไม่เท่าไรแล้ว
ปี 2566 : ผ่าครั้งสุดท้าย (กรามบนซ้าย)
- เป็นเคสที่ยากมาก อาจารยที่เคยผ่าเรามา 2 ครั้งเลยบอกว่าจะส่งไปให้อาจารย์ของอาจารย์ผ่าให้ ก็คือระดับศาสตราจารย์ (ตอนแรกอาจารย์ก็บอกว่าเคสเราไม่ยาก แต่น่าจะเพราะเห็นเรากลัวจริง ๆ เลยไม่อยากให้เราแย่ไปกว่านี้) ด้วยความที่ภาพจำครั้งที่ 2 ฉีดยาชาก็เจ็บ ตอนผ่าก็เอาออกยาก ตอนคีบฟันออกก็เจ็บ แถมหลังผ่า ช่วงนั้นเรากินยาสเตียรอยด์ไม่ได้ก็เลยยิ่งหนัก
แต่เรามีเวลาทำใจแค่ 2 วัน (พอดีมีคนยกเลิกนัดท่าน เราก็เลยได้แทรกคิว ไม่งั้นต้องรอไปยัน มี.ค. 66) บวกกับถ้าไม่ผ่าตอนนี้แล้วมันขึ้นไปสูงกว่านี้ต้องแย่กว่านี้แน่ (เพราะตอนนี้ก็แน่แล้ว) เลยต้องใจดีสู้เสือ ภาวนาพุทโธเข้าไว้ให้ไม่ฟุ้งซ่าน ใช้เวลาช่วงนั้นไปไหว้พระขอพร บนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะอย่างที่บอก เรากลัวเจ็บ + จินตนาการล้ำเลิศมาก ดังนั้นจะพึ่งแต่กำลังใจตัวเห็นจะไม่ไหว บวกกับถ้าเราผ่านมาได้ ทุกคนก็ต้องผ่านได้ ส่วนหนึ่งก็อยากมาถ่ายทอดเรื่องราวให้คนหายกลัวด้วย
ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่อัศจรรย์มาก อย่างที่เราเขียนบอกไปตอนแรก ฉีดวัคซีนโควิคหรือบาดทะยักยังเจ็บกว่า เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านถึงได้รับการยกย่องจากคณะทันตกรรมมหิดลมาก ๆ ตอนฉีดยาชาเราไม่รู้สึกอะไรเลย ท่านเปิดเหงือกและกระดูกเราแปปเดียวเท่านั้น ส่วนเสียงเครื่องเจียรฟันก็ไม่ถึง 1 นาที ทุกอย่าง Perfect มาก ทั้งหมดตั้งแต่ต้นยันจบและเดินออกมา ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที ทำให้เราเชื่อที่อาจารย์เคยให้สัมภาษณ์ลงบทความไว้ประมาณว่า ท่านตั้งใจศึกษาและฝึกฝนอย่างเต็มที่เพื่อจะได้มาช่วยดูแลคนไข้ได้ให้ดีที่สุด
เสียอย่างเดียวคือคุณผู้ช่วยให้ผ้าก็อตมากัดน้อยจนน่าตกใจ (แต่ตอนนั้นเราอ้าปากพูดไม่ได้ เรามีประสบการณ์ผ่ามา 2 รอบ เลยรู้ว่าต้องขอเพิ่มจากเคาท์เตอร์ จนมาถึงบ้านเลือดไม่หยุดไหลจริง ก็เลยยัดเข้าไปแล้วกัดให้แน่น เหมือนสมัยตอนผ่าซี่ที่ 2 ซึ่งเลือดหยุดไหลเร็วมากเป็นที่น่าพอใจ)
หลังจากผ่า (เสร็จ 1 ทุ่ม) เราแทบไม่มีอาการอักเสบอะไรเลย ไม่เจ็บด้วย ไม่ปวด ไม่ระบม หลังจากครบกำหนดห้ามเลือดและเช็คจนแน่ใจ เราก็กินยา-กินข้าวได้เลย (เราอาศัยวิธีประคบเย็นทั้งคืนเพราะนอนไม่หลับพอดี ไปหลับอีก 6 โมงเช้าของอีกวัน)
แต่กินยาอะไรตรงเวลา (เรื่องนี้ห้ามพลาด โดยเฉพาะยาฆ่าเชื้อ)
แล้วเราก็พยายามดูอาการตัวเองตลอด ที่สำคัญคือเราไม่ซ่า เรากินอาหารอ่อนประเภทใช้หลอดดูด พวก นม หรือข้าวต้มซองผสมน้ำเยอะ ๆ เวลาดูดก็เบา ๆ และพยายามเลี่ยงบริเวณแผลให้มาก ๆ พยายามไม่ให้โดนน้ำหรืออาหาร เพราะแค่น้ำลายเราเองก็มีเชื้อโรคและแบคทีเรียเยอะแล้ว เราเคยเตือนคนที่รู้จักซึ่งเขาไม่ฟัง ผ่าฟันคุดเสร็จแล้วขับรถไปกินเหล้า ต่อมาเลือดไหลไม่หยุด ทั้งเสี่ยงแถมยังเสียเวลา จำไว้เลย คำแนะนำของหมอเขามีเหตุผลรองรับไว้แล้วทุกอย่าง ถ้าสงสัยให้ถาม แต่ไม่ใช่คิดเองเออเองว่าไม่เป็นไร