JJNY : เอกชนชี้รัฐปาหี่แก้ปัญหา│“ณัฐวุฒิ”เย้ย“ตู่” โดน“แรมโบ้”หลอก│จี้ถาม“วราวุธ”ปมดองเรื่อง│รมต.คลังสหรัฐเยือนเคียฟ

มี.ค. อ่วมพลังงานขาขึ้น ก๊าซหุงต้มทะลุ 423 บ. ลุ้นดีเซล – ค่าไฟ เอกชนชี้รัฐปาหี่แก้ปัญหา
https://www.dailynews.co.th/news/2044761/

มี.ค. ประชาชนอ่วม ก๊าซขึ้น - จับตาดีเซลจ่อขึ้นอีก หลังรัสเซียลดกำลังผลิต ลุ้นค่าไฟงวดใหม่อีก เอกชนชี้รัฐปาหี่ แก้ปัญหาค่าไฟ บอกจะเรียกประชุมทุก 2 สัปดาห์ ประชุมนัดแรกแล้วหายไปเป็นเดือน ย้ำงวดใหม่ต้องไม่เกิน 4.72 บาท.
 
 
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เดือนมี.ค. นี้ ต้องติดตามราคาพลังงานอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีราคาพลังงาน ที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงมีแนวโน้มที่ต้องพิจารณาหลายประเภท โดยวันที่ 1 มี.ค.  นี้ ราคาก๊าซหุงต้ม หรือก๊าซแอลพีจี  ราคาขายปลีกปรับขึ้นอีก 15 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม เป็นราคา 423 บาท มีผลตั้งแต่ 1 -31 มี.ค. 66 หลังจากนั้นจะมาพิจารณาอีกรอบ กำหนดการพิจารณาราคาน้ำมันดีเซลในรอบ 1 สัปดาห์ ซึ่งล่าสุดราคากลับมาผันผวนอีกครั้ง หลังจากรัสเซีย ประกาศจะลดการผลิตน้ำมันลง 5% หรือ 5 แสนบาร์เรลต่อวันในเดือนมี.ค. ทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับขึ้น รวมทั้งการพิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติงวดใหม่ เดือนพ.ค.  – ส.ค.  หรือค่าเอฟที  ซึ่งทางภาคเอกชนยืนยันว่า ไม่ควรเกิน 4.72 บาทต่อหน่วย ตามราคาที่ภาคครัวเรือนจ่ายในงวดปัจจุบัน (ม.ค. – เม.ย.)

ทั้งนี้ในส่วนของการพิจารณาค่าไฟฟ้า เดิมกระทรวงพลังงาน ได้แต่งตั้งคณะทำงานร่วมเฉพาะกิจค่าไฟฟ้า และราคาพลังงาน ระหว่างคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถานบัน หรือกกร. กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมามีการประชุมเพียง 1 ครั้งเท่านั้น ในวันที่ 31 ม.ค. 66 หลังจากนั้นระบุว่า จะมีการประชุมทุก 2 สัปดาห์ แต่ล่าสุดตลอดทั้งเดือนก.พ. ยังไม่มีการเรียกประชุมแต่อย่างใด ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงล่าช้า ทั้งที่เรื่องการพิจารณาค่าไฟฟ้า เป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะตามหลักปฏิบัติ ต้องมีการประกาศผลการพิจารณา และเปิดประชาพิจารณ์ ภายในเดือนมี.ค. ก่อนประกาศล่วงหน้าภายในเดือนเม.ย. ใช้จริงในเดือนพ.ค. 

อย่างไรก็ตามในส่วนของส.อ.ท. ยืนยันว่า ค่าไฟงวดใหม่ ต้องไม่เกิน 4.72 บาทต่อหน่วย ใช้เป็นอัตราเดียวทั้งภาคครัวเรือน และภาคอื่นๆ รวมถึงภาคอุตสาหกรรม การเกษตร ภาคบริการ จากเดิมใช้ 2 อัตรา ครัวเรือน จ่าย 4.72 บาทต่อหน่วย เอกชนจ่าย 5.33 บาทต่อหน่วย เนื่องจากต้นทุนต่าง ๆ ปรับลดลงแล้ว เช่น ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นร่วม 15% ค่าพลังงาน และก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจี ลดต่ำลง ปริมาณก๊าซธรรมชาติ ในอ่าวไทย มีปริมาณมากขึ้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่ราคาค่าไฟจะสูงมากกว่า 4.72 บาทต่อหน่วย

“สิ่งสำคัญอยากให้หน่วยงานหลัก อย่างกระทรวงพลังงาน เร่งแก้ปัญหาระยะสั้น กลาง ยาว เช่น  ชะลอการขยายโรงไฟฟ้าประเภทฟอสซิล เพื่อลดกำลังการผลิตส่วนเกิน เน้นการเพิ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ต้นทุนต่ำ ด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม พิจารณาซื้อโรงไฟฟ้าเอกชน มาเป็นของภาครัฐ จากค่าพร้อมจ่าย หรือค่าเอพีที่จ่ายไป รวมทั้งทบทวนราคาให้เหมาะสม ปรับสูตรค่าไฟฟ้า และมาร์จิ้นของก๊าซธรรมชาติ ที่ขายให้โรงไฟฟ้า ลดผลตอบแทนการลงทุน จากเดิมที่สูงลง เพราะไม่มีความเสี่ยง ทำไมต้องมีกำไรสูง ทบทวนราคาก๊าซธรรมชาติ ที่นำไปใช้ในภาคปิโตรเคมีทั้งๆ ที่เป็นก๊าซธรรมชาติมีคุณภาพสูง”

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า  ทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก กลับมาผันผวนหนักอีกรอบ หลังจากรัสเซียประกาศลดกำลังการผลิต ล่าสุดราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกปรับขึ้นมา 3-4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ล่าสุดอยู่ที่ 103 -104 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากที่ผ่านมาอยู่ในระดับไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งต้องรอคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือกบน. ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เป็นประธาน เรียกประชุมอีกครั้งภายในสัปดาห์นี้ เบื้องต้นต้องรอดูนโยบายว่า จะพิจารณาอย่างไร ให้ตรึงต่อไปหรือไม่ หรือว่า อาจต้องให้ปรับขึ้น แต่จะไม่ให้เกินรอบราคาน้ำมันดีเซลเดิม 35 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันอยู่ที่ 33.94 บาทต่อลิตร  



“ณัฐวุฒิ” เย้ย “บิ๊กตู่” โดน “แรมโบ้” หลอกจนได้ ไหนว่ามาเป็นแสนเห็นแต่เก้าอี้ปักหลัก
https://www.matichon.co.th/clips/news_3846987
 
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ปราศรัยที่เวทีเชียงใหม่ เย้ย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ว่าเตือนแล้วเตือนอีก สุดท้ายโดน แรมโบ้อีสาน “เสกสกล อัตถาวงศ์” ที่ปรึกษานายกฯและแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ หลอกจนได้ คุยปราศรัยนครราชสีมาจะมีคนมาเป็นแสน เห็นแต่เก้าอี้ปักหลักยาวๆ  ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


ทนายบ.ธุรกิจประปาภูเก็ตจี้ถาม “วราวุธ” ปมดองเรื่องไม่พิจารณาต่อสัญญาสัมปทานประปา
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3847430

ทนายบริษัทธุรกิจประปาภูเก็ตจี้ถาม “วราวุธ” ปมดองเรื่องไม่พิจารณาต่อสัญญาสัมปทานประปาตามกรอบยืดมาเกือบปี ชี้เกิดความเสียหาย เกิดกับ บริษัท-ปชช.นักท่องเที่ยวในจังหวัด
 
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ดร.เกษม ศุภสิทธิ์ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพัทยา ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในสภาผู้แทนราษฎร ทนายความและที่ปรึกษากฎหมายบริษัท อาร์.อี.คิว.วอเตอร์ เซอร์วิสเซส จำกัด ได้ออกแถลงว่าบริษัทได้ยื่นเรื่องขอต่ออายุสัมปทานประกอบกิจการประปา เมื่อวันที่ 14มี.ค. 2565 และบริษัทได้ทำหนังสือสอบถามไปเมื่อวันที่ 6ก.ย. 2565 แต่จนบัดนี้ จะครบ 1 ปีแล้ว นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(รมว.ทส.) ก็ยังไม่มีการลงนามในสัญญาต่อสัมปทาน ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย และระยะเวลาการพิจารณาเรื่อง ของ รมว.ทส. ไม่เป็นไปตามกรอบระยะเวลาการพิจารณาเรื่อง ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องหลักเกณฑ์การดำเนินการเกี่ยวกับสัมปทานประกอบกิจการประปา เพื่อความปลอดภัยหรือผาสุกของประชาชน พ.ศ. 2554 ซึ่งการขอต่ออายุสัมปทาน เป็นไปตามข้อ 27 กำหนดระยะเวลา ตามข้อ 9 กำหนดให้จังหวัดพิจารณา ภายใน 15 วัน จากนั้น กรมทรัพยากรน้ำ พิจารณาคำขอภายใน 15 วัน และเสนอ รมว.ทส.พิจารณาภายใน 60 วัน
 
ดร.เกษม กล่าวต่อว่าเดิม บริษัทฯได้รับสัมปทานประกอบกิจการประปาในเขตจังหวัดภูเก็ตโดยเริ่มผลิตและส่งมอบน้ำประปาให้แก่กับการประปาส่วนภูมิภาค ตั้งแต่เมื่อวันที่ 15ธ.ค. 2543 โดยตั้งโรงงานผลิตน้ำประปา ที่อำเภอกะทู้และเข้งหงวน เมืองภูเก็ต ต่อมาในระหว่างปี พ.ศ. 2546 ถึง พ.ศ. 2548 ได้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำในจังหวัดภูเก็ตอย่างรุนแรง กระทรวงมหาดไทยโดยคณะทำงานพิจารณาแผนสำรองในการป้องกันและแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำประปาในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว ตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 348/2546 ได้ดำเนินการวางแผนแก้ไขตามที่ได้รับแต่งตั้ง แต่ในปี พ.ศ. 2548 ปัญหาขาดแคลนน้ำดิบสำหรับผลิตเป็นน้ำประปาในจังหวัดภูเก็ตรุนแรงมากเนื่องจากฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลทำให้เมื่อหมดฤดูฝนมีน้ำในอ่างเก็บน้ำบางวาด(อ่างเก็บน้ำแห่งเดียวในจังหวัดภูเก็ต ณ ขณะนั้น)เพียงร้อยละ 48
 
ต่อมาเมื่อวันที่ 17ก.ย. 2548 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยที่กำกับดูการประปาส่วนภูมิภาค(กปภ.)และคณะผู้บริหารกปภ.ได้เดินทางตรวจพื้นที่และกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา โดยมอบให้กปภ.เจรจากับบริษัท ฯ คู่สัญญาที่ผลิตน้ำประปาขายให้แก่กปภ.อยู่แล้ว ในขณะนั้น เพื่อทำโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำประปาจากน้ำทะเล หรือ RO และนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการ กปภ.พิจารณาอนุมัติ ต่อมาเมื่อวันที่ 27ธ.ค. 2548 กปภ.และบริษัทฯลงนามทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาเดิมกัน โดยมีกำหนดระยะเวลาทำโครงการที่เร่งด่วนมากคือโครงการฯ ต้องแล้วเสร็จภายใน 180 วัน และวันที่ 6 ก.พ. 2549 กปภ.ยื่นเรื่องขอใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินต่อสำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต และวันที่ 27มี.ค. 2549 กปภ.ประสานกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตให้ช่วยแก้ไขเรื่องการขออนุญาตต่างๆ เนื่องจากพื้นที่การจัดทำโครงการฯ และกระบวนการผลิตน้ำประปาจากน้ำทะเลติดขัดข้อกฎหมายและระเบียบทางราชการหลายประการ  โดย ผวจ.ภูเก็ต ได้มอบหมายให้อุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต เชิญส่วนราชการต่างๆที่เกี่ยวข้องประชุมร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาการขออนุญาต ต่อมาวันที่ 29 มี.ค. 2549 อุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ตเชิญส่วนราชการต่างๆที่เกี่ยวข้องประชุม ได้แก่ สำนักงานเทศบาลตำบลกะรน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดภูเก็ต สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดภูเก็ต สำนักงานขนส่งทางน้ำ ที่ 5 จังหวัดภูเก็ต(เจ้าท่าภูเก็ต) และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่าให้เสนอเรื่องให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการแก้ไข และ ผวจ.ภูเก็ต ได้แจ้งเรื่องต่อกระทรวงมหาดไทยเพื่อนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบยกเว้นข้อกฎหมายที่ติดขัด เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2549 โดยในระหว่างนั้น ก็ประสานกับส่วนราชการต่างๆที่เกี่ยวข้องขอให้โครงการฯ ดำเนินการก่อสร้างไปก่อนได้และส่วนใดขออนุญาตได้ก็ให้ดำเนินการขนานกันไปเพื่อเร่งรัดโครงการให้สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำที่จะกระทบกับการท่องเที่ยวในปีถัดๆไป
ต่อมาวันที่ 26 พ.ค. 2549 บริษัทฯยื่นเรื่องขอวางท่อลงไปในทะเลต่อสำนักงานขนส่งทางน้ำที่ 5 จังหวัดภูเก็ต(เจ้าท่าภูเก็ต) และเรื่องได้ถูกนำเข้าคณะกรรมการพิจารณาสิ่งล่วงล้ำลำน้ำจังหวัดภูเก็ต โดยคณะกรรมการฯพิจารณาให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.2549 โดยมีเงื่อนไขคือ
 
1. จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม 
2. จัดทำประชาพิจารณ์สอบถามความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ 
3. โครงการจะต้องปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกฉบับให้ครบถ้วน 
 
ต่อมาวันที่ 18ส.ค. 2549 บริษัทฯได้ดำเนินการจัดทำประชาพิจารณ์สอบถามความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ ผลคือ ไม่มีผู้คัดค้านโครงการฯ และได้จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นของโครงการเสร็จในเดือน ต.ค. 2549 วันที่ 23ส.ค. 2549 สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต แจ้งผลกรณี กปภ.ขอใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อก่อสร้างระบบผลิตน้ำประปาจากน้ำทะเล(ระบบ RO) โดยแจ้งว่าคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต ได้ประชุมกันในครั้งที่ 1/2549 และ วันที่ 4ส.ค. 2549 มีมติเห็นชอบให้ใช้ที่ดินฯแปลงที่ 1ที่จะใช้ก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำประปาได้ แต่แปลงที่ 2 ยังไม่เห็นชอบให้รอผลการแก้ไขข้อกฎหมายที่ติดขัดก่อน เมื่อแก้ไขได้แล้วให้รีบแจ้งอีกครั้งเพื่อจะได้ดำเนินการเสนอคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ตอีกครั้ง และการก่อสร้างโครงการผลิตน้ำประปาจากน้ำทะเลตามสัญญาดำเนินการจนแล้วเสร็จพร้อมจ่ายน้ำให้แก่กปภ.ในวันที่ 29ธ.ค. 2549 โดย กปภ.ยอมขยายระยะเวลา ส่วนการแก้ไขการขออนุญาตต่างๆก็ดำเนินการต่อเนื่องมาตลอด
 
บริษัทฯได้รับสัมปทานประกอบกิจการประปาในเขตจังหวัดภูเก็ต และขายน้ำประปาให้ กปภ.ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและไม่เคยมีปัญหาใดๆ จึงมีคำถามจากบริษัทฯและประชาชนในจังหวัดภูเก็ตผู้ใช้น้ำว่า เหตุใด นายวราวุธ ศิลปอาชา รมต.ทส.ยังไม่มีการลงนามในสัญญาต่อสัมปทาน
 
ซึ่งจะเกิดความเสียหายกับผู้ใช้น้ำและประชาชนนักท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต และบริษัทฯ จะได้ทำหนังสือสอบถามไปอีกครั้งถึงความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่