7 ประจัญบาน 2 (2005) - หนังตลกแอ็คชั่นไทยที่ยำประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างครื้นเครง

เจ็ดประจัญบาน 2: 7 Street Fighters

สวัสดีครับ ! หลังจากล่าสุด 7 ประจัญบาน 2 (2005) หนังตลกในตำนานอีกเรื่องหนึ่งของวงการภาพยนตร์ไทยเข้าใน Netflix และเกิดมีมใน Social เกี่ยวกับผู้กององอาจมากมาย 😂 อันที่จริง ผมเคยดูมาแล้วหลายครั้ง มาวันนี้ได้ดูอีกครั้ง ยังรู้สึกสนุกเหมือนเคย จึงอดไม่ได้ที่จะมาพูดถึงความชอบในเรื่องนี้และอยากแชร์ความประทับใจนะครับ (ส่วนเจ็ดประจัญบาน 1 ตอนนี้ยังดูไม่จบ 🤣)

เรื่องย่อ
เนื้อเรื่องกล่าวถึง กลุ่มชายฉกรรจ์ 7 คนที่มีนามว่า "7 ประจัญบาน" ทั้งเจ็ดคนนี้ทำงานให้กับรัฐบาลไทย ขณะที่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ยึดประเทศจีนและมีแผนจะยึดดินแดนไทยต่อ รัฐบาลจึงสั่งให้กลุ่ม 7 ประจัญบาน จับตาดูและหาทางขับไล่ญี่ปุ่นออกไปให้ได้

ความรู้สึกหลังชม

- จุดเด่นแรก คือ "ความตลกที่ไหลลื่น" ทั้งเรื่องแทบไม่มีมุกฝืด ๆ ฝีน ๆ เลย มุกส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งตลกจากบริบทหนัง ตลกจากการแสดง รวมถึงความตลกจากการล้อเลียน (เช่น ล้อเลียนหนังดัง หนังสายลับ หรือการแสดงอื่น ๆ เช่น งิ้ว) ซึ่งในมุกเหล่านี้ ก็มีทั้งมุกที่ดีและมุกตลกสัปดนผสม ๆ กันไป หลาย ๆ มุกสร้างสรรค์และเหนือความคาดหมาย ทำให้ผู้ชมต้องขำลั่นไปตามกัน

นอกจากนี้มุกส่วนใหญ่ที่ยิงกันไปมาดูค่อนข้างเรียล ฟีลลิ่งถ้าเราอยู่ในแก๊งค์ผู้ชายส่วนใหญ่เถื่อน ๆ หน่อยมุกมันก็จะมีแต่แนว ๆ นี้แหละ 😂

เช่น ช่วงก่อนการบุกของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นได้ส่งสายลับเข้ามาในประเทศไทยมากมาย เพื่อโจรกรรมข้อมูล ไปจนถึงหลังการยกพลขึ้นบกในประเทศไทยที่มีการเกณฑ์เชลยชาวตะวันตกไปสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะที่กาญจนบุรี

นอกจากเรื่องประวัติศาสตร์แล้ว อีกอย่างที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ การเอาภาพยนตร์หรือวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มาล้อเลียนด้วย เช่น "คู่กรรม" (โกโบริและอังศุมาลิน) นิยายรักคลาสสิคของทมยันตี และ "เจ็ดเซียนซามูไร" ที่หยิบมาจากเรื่อง "Seven Samurai (1954)" ของ อากิระ คุโรซาว่า ซึ่งเป็นภาพยนตร์ระดับตำนานของญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลก

ส่วนต้นแบบของเจ็ดประจัญบาน น่าจะอิงมาจาก "7 สิงห์แดนเสือ" หรือ The Magnificent Seven (1960) ของ John Sturges ซึ่งดัดแปลงมาจาก Seven Samurai (1954) อีกทีหนึ่ง

- จุดที่สาม "แอ็คชั่นมันส์ทะลุจุดเดือด" ฉากแอ็คชั่นในเจ็ดประจัญบานถูกจัดเต็มชนิดมันส์ได้ใจผู้ชม คิวบู๊มันส์ระทึก มีซีนระเบิดที่สมจริง และซีนใช้ซีจี (อาจยังไม่เนียนมาก)

เครดิตตรงนี้ส่วนหนึ่งผมว่าต้องยกให้ทีมงานจากสหมงคลฟิลม์ ซึ่งตอนนั้นท็อปฟอร์มปั้นหนังแอ็คชั่นไทยดัง ๆ มากมาย เช่น องก์บาก, ต้มยำกุ้ง, เกิดมาลุย, บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม

- จุดที่สี่ "เคมีของนักแสดงที่เข้ากันอย่างลงตัว" นักแสดงแต่ละคนมีคาแรคเตอร์ของตัวเอง แต่พอมาเล่นร่วมกันกัน เคมีทุกอย่างก็เข้ากันเป็นอย่างดี ทุกคนมีคาแรคเตอร์ที่น่าจดจำ ไล่จากจ่าดับ ยันผู้กององอาจ 😂 

หรือแม้แต่ในฝั่งวายร้าย เช่น สุริยะ (ฮิโระ ซาโนะ) และโกโบต้า (ก้อง อรรฆรัตน์ นิติพน) ก็มีคาแรคเตอร์ที่น่าจดจำเช่นกัน (แต่อาจในทางแย่หน่อย 🤣)

- พาร์ทบทภาพยนตร์ หนังทำออกมาใช้ได้ สนุก น่าติดตาม อาจมี Plot hole และดูหลวม ๆ ในบางด้าน แต่ด้วยความตลกและแอ็คชั่นสุดมันส์ก็ช่วยกลบจุดอ่อนให้หนังเอาตัวรอดไปได้

- พาร์ทดนตรีประกอบเพลง ธีมเพลงหนังโดดเด่นมาก ซึ่งก็ดูมีกลิ่นอายหนังคาวบอยและธีมดนตรียุคสงครามเวียดนาม

สรุป
ขอยกให้เป็นหนังตลกไทยขึ้นหิ้งใจ หนังเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ทั้งในแง่ความตลกและตัวเรื่อง ทั้งยังสอดรับกับประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างแนบเนียน ในปัจจุบัน นับว่าหาหนังไทยแบบนี้ได้ยาก การที่เป็นหนังตลกและหนังแอ็คชั่นในเวลาเดียวกัน ซึ่งแม้ว่าจะผ่านมาเกือบ 20 ปี หลาย ๆ อย่างในหนังยังคงดูคลาสสิคและนำกลับมาดูสนุกได้เรื่อย ๆ

ดังนั้นใครสนใจ ก็ขอแนะนำเลยนะครับ หนังตลกไทยระดับตำนานที่ห้ามพลาด... ดูได้บน Netflix !

ป.ล.2 อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพูดคุยติดต่อนะครับ