บุคคล 2 ประเภท ที่เราไม่เคยเอาชนะได้เลย ในชีวิตนี้ที่เคยผ่านมา

***คำเตือน*** จขกท. ปากหมากรุณาอย่าถือสาภาษาที่ใช้ตอบคอมเม้นท์

สำหรับคำว่า เอาชนะ ที่เราหมายถึง มันไม่ใช่การเอาชนะแบบการแข่งขัน แต่มันหมายถึง การเอาชนะใจคน การเข้าใจคนๆนั้น เข้าใจความคิด คำพูด และการกระทำของพวกเขา

แต่การจะ เข้า ให้ถึงใจคน มันไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องให้พวกเขาเหล่านั้น เปิดใจ ออกก่อนจึงจะสามารถ เข้า ใจพวกเขาได้  ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเช่นกันที่จะพยายามให้คนอื่น เปิดใจ ให้เราเข้าไป

และคนปกติส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยอยากจะ เข้า ใจคนอื่นมากนัก เลยเลือกที่จะตัดสินคนๆนั้นจากสิ่งที่เห็นภายนอก ที่พวกเขาเหล่านั้นแสดงออกให้เห็นกันเสียส่วนใหญ่

สำหรับเราแล้ว การที่เราเฝ้าสังเกตตัวเองบ่อยๆมองเห็น ตัวเองจากหลายๆมุมมอง เพื่อให้เห็นตัวเองในหลายๆด้าน เราจึงมองเห็นควรจริงที่ว่า เราเองก็ไม่ใช่คนดี เพราะเรามีทั้งด้านมืด และด้านที่สว่าง

เราทำทั้งเรื่องดีและไม่ดี เพราะมีเหตุผลบางอย่าง เราจึงคิดว่า คนอื่นๆก็ต้องมีเหมือนกัน เหตุผลที่ทำให้คนๆนั้น ทำทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี ถ้าเรารู้เหตุผลนั้นๆ เราก็จะสามารถ เข้าใจ พวกเขาได้ไม่ยากเลย

เราคิดว่า ชีวิตคนเราเกิดมาพร้อมกับสีดำและสีขาว ซึ่งไม่ว่าจะมีสีดำมากกว่า หรือสีขาวมากกว่า เมื่อผสมกันแล้วมันก็จะได้แค่ สีเทา สีเดียวเท่านั้น จะต่างกันก็แค่ความเข้มข้นของสี

ถ้ามีสีดำเยอะกว่า มันก็แค่จะเป็นสีเทาเข้ม และยิ่งเติมสีดำเพิ่มมากขึ้น มันก็แค่ทำให้สีเทานั้นเข้มขึ้น แต่ไม่ว่าจะมีเติมสีดำเพิ่มไปมากเท่าไหร่ มันก็ยังคงไว้แค่สีเทาเท่านั้น มันไม่มีทางจะกลายเป็นสีดำสนิทไปได้ เพราะยังไงมันก็ยังคงมีสีขาวเจือจางอยู่ แม้จะเป็นเพียงแค่หยดเดียวก็ตามที

ถ้ามีสีขาวเยอะกว่า มันก็จะเป็นแบบเดียวกัน แม้เราจะเติมสีขาวเพิ่มลงไปมากเท่าไหร่ ยังไงก็ทำได้แค่ให้มันเป็น สีเทา มันไม่มีทางกลายเป็นสีขาวไปได้ ทำได้แค่เจือจางและจำเป็นต้องใช้สีขาวเยอะมาก ในการทำให้สีดำที่อยู่ในนั้นมันจางลง

แต่ไม่ว่ามันจะจางลงเท่าไหร่ มันก็ยังคงเป็นแค่ สีเทา เท่านั้นเช่นเดียวกัน ไม่มีทางที่จะทำให้กลายเป็นสีขาวสนิทไปได้ทั้งหมด เพราะยังไงมันก็ยังคงมีสีดำเจือจางอยู่ แม้จะเป็นเพียงแค่หยดเดียวก็ตาม

เพราะมันคือ ความจริง ที่เป็นผลมากจากการผสมสีทั้งสอง ที่เราเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อเราเลือกที่จะมองตรงๆ เพื่อให้เห็น ตามความเป็นจริง เราก็จะสามารถ เข้า ใจคนได้อย่างไม่ยากเลย

เราคิดว่า การกระทำ คำพูดและความคิดของเราทุกคน ล้วนเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น พูดง่ายๆคือ หว่านพืช หวังผลด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีหรอก ใครที่ไหนที่จะทำอะไร คิดอะไร พูดอะไรโดยไม่หวังผลประโยชน์

แต่ต่างกันตรงที่ว่า จะหวังผลให้กิดแก่ตัวเองหรือผลให้เกิดแก่คนอื่นมากกว่ากันเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าว่ามันต้องมีทั้ง ผลดีและผลเสีย ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น

ยกตัวอย่างเช่น การที่ต้องทำงานกับคนที่จู้จี้ขี้บ่น เขาพูด เขาบ่นเพราะหวังจะให้มีคนรับฟัง เป็นธรรมดาที่มีคนพูด ก็ต้องมีคนฟัง มีคนให้ ก็ต้องมีคนรับ ถ้าเราอยากเข้าใจเขา เราก็แค่ต้องยอมให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ธรรมดา ของกฎง่ายๆเหล่านี้ แค่นั้นเอง

แต่คนที่มักจะมีปัญหากับคนประเภทนี้หรือคนประเภทอื่นๆส่วนใหญ่จะไม่ค่อยยอมรับความจริง กับเรื่องนี้ แน่นอนแรกๆเราก็เป็น แต่เพราะเราเปลี่ยนเขาไม่ได้ เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ เราเปลี่ยนได้แค่ตัวเองเท่านั้น

เราจะเลือก ที่จะไม่เปลี่ยน ไม่ปรับ ก็ได้มันเรื่องของเรา แต่เพราะเราเห็นผลประโยชน์ในการเปลี่ยนแปลงของเรามากกว่า เราจึงยอมเปลี่ยน ยอมปรับ เพื่อให้รับสภาพที่ต้องอยู่ร่วมกันกับคนหลายประเภทได้

ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเราต่างก็ได้รับผลประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น แค่เราเปิดใจยอมรับว่าเขาต้องการอะไร และให้ในสิ่งที่เขาต้องการ บางครั้งสิ่งที่เราให้เขา มันอาจจะไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย แค่ทนฟังคำขี้บ่น ทำเอาหูไปนา เอาตาไปไร่เสียบ้าง 

การยอมคน ไม่ได้ทำให้เราแพ้เขา แต่เป็นการ เอาชนะใจ เขาได้โดยไม่ต้องแข่งขันอะไรเลย แต่เราก็ต้องบอกตรงๆว่าเราก็ไม่ได้ชอบให้ใครมาบ่นให้ฟังหรอก เราเองก็รำคาญเหมือนกัน

แต่เพราะเราเองก็หวังผลประโยชน์จากเขา เราจึงต้องยอม อยากได้อะไรก็ต้องยอมเสียด้วย มันเป็นกฎ เพราะมีได้ก็ย่อมมีเสีย ได้อย่างย่อมเสียอย่างเสมอ และผลดีอีกอย่างนึงคือ มันทำให้เรารู้จักคนหลายประเภท

เข้าใจความคิด คำพูด และการกระทำของคนประเภทต่างๆได้ค่อนข้างดี เพราะเราไม่ค่อยเลือกคบคน มีโอกาสได้พบเจอคบหากับคนประเภทไหน เราก็จะค่อนข้างเข้ากันได้หมด โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนประเภทเดียวกันกับพวกเขา

เราก็เป็นเรา ในแบบที่เป็นอยู่ ส่วนคน 2 ประเภทที่เราบอกว่าเราไม่เคย เอาชนะเขาได้เลยในชีวิตนี้คือ ประเภทแรกคือ คนโลภ

คนโลภ ที่เราเคยคบ เคยเจอมาคือ จะเป็นประเภทที่ว่า มีชีวิตที่น่าสงสารจับใจ ทำมาหากินอะไรก็ไม่ค่อยดี แม้จะเป็นคนที่ขยันสุดๆ แม้ว่าจะทำงานไม่เคยหยุด ก็มีเงินไม่เคยพอ ชีวิตขัดสนตลอด และมีแต่คนคอยเอาเปรียบเบียดเบียนอยู่ตลอดเวลา

ซึ่งบางครั้งเราก็ให้ความช่วยเหลือบ้าง เมื่อมีโอกาสเพราะเห็นแก่ความพยายามของเขา แต่คนประเภทนี้ที่เราเจอและให้ความช่วยเหลือไป พวกเขาจะไม่พอ จะขอเพิ่มตลอด และจะไม่ค่อยเห็นค่า เห็นความดีของคนที่ช่วย 

เมื่อมีคนช่วยเหลือ ก็จะหยุดช่วยเหลือตัวเอง กลายเป็นว่ามาเป็นภาระให้คนที่ช่วยและจะค่อยมาเอาเปรียบเบียดเบียนคนที่ช่วยเหลือตนเองเสมอ ไม่เคยหยุดไม่เคยพอ แม้ว่าคนที่ช่วยจะพยายามช่วยเหลือให้เขาตั้งตัวเพื่อช่วยเหลือตัวเองให้ได้

แต่กลับกลายมาสร้างความเดือดร้อนให้คนที่ช่วยเขาแทน จนสุดท้ายเราต้องหยุด และก็เลิกให้ความช่วยเหลือเขาไปเอง เพราะตอนที่มีคนช่วย เขาก็ไม่คิดช่วยเหลือตัวเองจะรอให้คนอื่น โอบอุ้มอยู่ตลอดเวลา

สุดท้ายเมื่อถูกคนๆนั้นวางลง เขาก็กลับไปใช้ชีวิตแบบขัดสนเช่นเดิม เราคิดว่าคนประเภทนี้มีหลุมในใจที่ค่อนข้างลึก แม้เราจะขนหิน ขนทรายช่วยถมมันเท่าไหร่ ยิ่งถมยิ่งหาย ยิ่งถมเหมือนยิ่งลึกลงไป ถมเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเติม

คนที่ช่วยถม ก็ต้องเลิกถมไปเอง เพราะเหนื่อย แต่คนประเภทแรกนี้ ยังคงไม่น่ากลัว และไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นมากเท่าไหร่ เรายังพอถอนตัว เดินออกมาจากชีวิตเขาได้ง่ายๆ

คนประเภทถัดไปที่เราจะกล่าวถึงคือ คนเห็นแก่ตัว คนประเภทนี้น่ากลัวสุดๆ และเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเจอกันได้ง่ายๆเลย แต่ถ้าใครที่เจอเข้ากับคนประเภทนี้ เราบอกได้คำเดียวว่า คุณซวยสุดๆ

และส่วนใหญ่คนประเภทนี้เราคิดว่าจะต้องเป็น เจ้ากรรมนายเวรของกันและกันแน่ๆ เพราะส่วนใหญ่ที่เราเจอเข้ากับคนประเภทนี้ ค่อนข้างที่จะเรียกได้ว่า เหมือนบุพเพสันนิวาส สาปส่ง เพราะหนีไม่ค่อยจะพ้น

ขนาดว่าเราเป็นคนที่ค่อนข้างจะคิดเยอะ และเราก็จะมีความคิดทั้งสองด้านเสมอ ไม่ว่าจะได้เจอกับอะไร เจอกับสถานการณ์แบบไหน หรือเจอกับใคร 

สิ่งแรกที่เราจะคิดคือ เขาหวังผลประโยชน์อะไรจากเรา และถัดมาคือ เราจะได้รับผลประโยชน์อะไรจากเขา และคิดชั่งใจว่าสิ่งที่เราจะได้กับสิ่งที่เราจะเสียไป มันคุ้มกันมั้ย เรามักจะคิดถึงส่วนได้ส่วนเสียของการกระทำ คำพูด และความคิดนั้นๆ ทุกอย่างและทุกครั้งเสมอ

เพราะอย่างที่เรากล่าวไป การหว่านพืช ย่อมมีการหวังผลเสมอ ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ที่เลี้ยงดูอบรม สั่งสอนให้การศึกษาแก่ลูกๆ แม้ปากท่านบอกจะว่าไม่ได้หวังผลอะไร จากการเลี้ยงดู แต่ไม่จริงหรอกค่ะ

ยังไงท่านก็ยังหวังผล หวังว่าวันนึงในยามตนเองแกเฒ่า พวกเขาจะกลับมาเลี้ยงดู หรือถ้าไม่ได้หวังให้เลี้ยงดู ก็หวังว่าพวกเขาจะเติบโตไปมีการมีงานดีๆทำ เลี้ยงดูตัวเองได้ ไม่มาเป็นภาระให้ตนเองในอนาคต

แต่ไม่ว่าจะหวังผลแบบไหน เราก็เห็นว่าท่านก็หวังให้เกิดผลดีแกตัวท่านเองเช่นเดียวกันทั้งสองทาง

แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นแบบไหน คนที่เป็นคนปลูกคนที่เป็นคนดูแลก็ไม่สามารถกำหนดผลมันเองได้ มันก็ต้องขึ้นอยู่กับเมล็ดพันธ์ที่หว่านไป ว่ามันเป็นเมล็ดพันธ์ที่ดีและสมบูรณ์ แข็งแรงแค่ไหน ถ้ามันเป็นแค่เมล็ดพันธ์ที่ลีบ หรือเป็นโรคมาตั้งแต่ต้น มันก็ยากที่จะออกดอก ออกผลมาให้ได้เก็บเกี่ยว ได้ชื่นชม

มากล่าวถึง คนเห็นแก่ตัว กันบ้าง คนประเภทนี้ที่เราเจอมักจะมาปรากฏตัวในคราบเทพบุตร ในคราบนางฟ้า ในคราบนักบุญ ที่จะชอบช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังผลอะไร แต่ในความเป็นจริงพวกเขาหวังมากกว่าคนอื่นๆปกติทั่วไป และหวังเอาแต่ได้อย่างเดียวโดยไม่เคยคิดจะยอมเสีย

เราจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ สมมุติว่าเราต้องการจะหาเช่าที่ดินเพื่อทำการเกษตร และบังเอิญเราก็ไปเจอที่ดินแปลงที่ถูกใจ เจ้าของเขากำลังปล่อยเช่า

และค่อนข้างที่จะให้ราคาดี เราจึงเข้าไปคุยกับเจ้าของที่เพื่อจะขอเช่า ซึ่งเจ้าของก็ดูเป็นคนใจดีมากเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเข้าใจคนทำมาหากิน หาเช้ากินค่ำอย่างเราตลอด

และเสนอว่าจะยอมลดค่าเช่าให้ครึ่งนึงถ้าเราทำการเกษตรในที่ดินเขาแล้วแบ่งผลผลิตให้แก่เขาด้วย และยินดีจะให้เรากินอยู่ในบ้านเขาฟรีๆโดยไม่คิดค่าเช่าเพิ่มเพื่อเอื้อประโยชน์ให้เราได้อยู่ทำการเกษตรในที่ดินเขาได้สะดวก

ไม่ต้องไปพักที่อื่นและเดินทางไปกลับให้เสียเวลา แน่นอนเราต้องคิดว่า เราต้องเป็นคนที่โชคดีมากๆแน่ๆที่มาเจอคนใจดีเช่นนี้ เหมือนถูกหวยหรือยิ่งกว่าถูกหวยเสียดี

ได้เช่าที่ดินทำการเกษตรแบบถูกๆ ได้มาพักที่บ้านเขาฟรีๆอยู่กินกับเขา เราก็แค่ลงทุน ลงแรงทำงานหว่านพืชเพื่อจะเก็บผลและแบ่งให้แก่เจ้าของที่เขาด้วยเท่านั้น แถมตอนที่ลงมือปลูก เจ้าของที่เขาก็ยังใจดี มาช่วยปลูก ช่วยหว่าน ช่วยดูแลจนกระทั่งมันเริ่มออกดอก ออกผล

พอถึงวันเก็บเกี่ยวเจ้าของที่ดินเขากลับออกหน้ารับไปบอกว่าเป็นผลของเขา และเรากลายเป็นลูกจ้างเขาไป เพราะภาพที่คนอื่นๆเห็นมันกลายเป็นเช่นนั้นไป เพราะเราไป ทำการเกษตรอยู่บนที่ดินของเขา อาศัยอยู่กินบ้านเขา และการที่เขาลงมือหว่าน ลงมือปลูก ลงมือดูแลด้วยตัวเองอีก

โดยไม่มีใครสนใจมารับรู้ รับฟังความจริงของภาพที่เห็นว่ามันไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น สุดท้ายแล้วเจ้าของที่เขาก็มาบอกให้เราซื้อผลผลิตจากเขา ถ้าเราต้องการ จบค่ะ นี่คือความจริง และเป็นการกระทำของคนที่ขึ้นชื่อว่า เห็นแก่ตัว

จากทีแรกดูเหมือนว่าเราจะเป็นคนที่โชคดีสุดๆ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นคนที่ซวยสุดๆไปเลย เวลาที่เราเจอคนประเภทนี้ เราจะเลือกที่จะเดินออกมา โดยไม่มีคำบอกลา ไม่มีคำอธิบายใดๆกับการกระทำนั้นๆของเราเลย

เพราะเหตุผลมันใช่ไม่ได้กับคนแบบนี้ แม้ว่าทีแรกเขาจะเป็นคนใจดี พูดจาดี มีเหตุผล และดูมีความน่าเชื่อถือมาก แต่จริงๆแล้วภายใต้หน้ากากอันสวยงามนั้น มันไม่ได้เป็นอย่างภาพที่เห็น

มันเหมือนคำกล่าวที่ว่า จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง การมองโลกในแง่ดี มันไม่ได้ทำให้เราเจอเรื่องดีๆเจอคนดีๆเสมอไป เราจึงไม่ค่อยกลัวคนที่สวมหน้ายักษ์เข้าใส่ แต่เราจะกลัวหน้ากากที่เป็นนางฟ้า เทวดา ที่อาจจะมีหน้าจริงเป็นหมาป่า ที่คอยจ้องขย่ำใส่คนอื่นไม่เลือกหน้า

แต่ก็ใช่ว่าคนดีๆที่เป็นนางฟ้าจริงๆที่ดีจริงๆจะไม่มี เราแค่ไม่เคยเจอเฉยๆ ร้อยทั้งร้อย ถ้ามาแบบดีสุดๆเหมือนที่เรากล่าวมา ให้เตรียมใจไว้ก่อนเลยว่า น่าจะเป็นแบบนั้น

เพราะคนเรายิ่งทำดีกับใครมากๆเขาก็จะหวังผลกับคนๆนั้นไว้มากเช่นกัน มันคือความจริง เพราะเราเองก็เป็นเช่นนั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่