ชีวิตที่เลือกได้...

ชีวิตที่เลือกได้....

           เมื่อวานตอนเย็น ผมไปออกกำลังกายตามปกติที่สวนสุขภาพประจำจังหวัด ซึ่งเป็นกิจวัตรที่กระทำเป็นประจำ ที่นั่นมีทางเดินสำหรับออกกำลังทอดตัวยาวคดเคี้ยวไปภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มครึ้มตลอดระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตร มีสารพัดเครื่องบริหารร่างกายกลางแจ้งวางอยู่เป็นระยะ ภายในอาณาบริเวณเขียวชอุ่มไปด้วยหญ้าที่ตัดแต่งดูแลเป็นอย่างดี ทั้งยังมีศาลาหลังเล็กๆ กระจายไปตามจุดที่ร่มรืนด้วยเงาไม้อีกนับสิบแห่ง เปรียบได้เป็นปอดของเมือง ที่ให้ความสวยงาม ร่มรื่น แก่ผู้เข้ามาพักผ่อนได้ตลอดเวลา

        ผมจะใช้เวลาที่นี่ประมาณสองชั่วโมง ด้วยการเดิน ใช้เครื่องบริหารร่างกาย แล้วทักทายพูดคุยกับคนสูงวัยด้วยกัน  ในทุกช่วงบ่ายของวัน หากไม่มีเหตุอื่นใดที่ทำให้ไม่สามารถมาได้ เช่น ไปต่างจังหวัด หรือป่วยไข้ไม่สบาย ฯ การมาที่นี่สำหรับผมถือได้ว่าเป็นการพักผ่อนเปลี่ยนอิริยาบทได้เป็นอย่างดี ทั้งได้ออกกำลังตามควรแก่วัยอีกด้วย ที่ดีที่สุดคือไม่ต้องเสียสตังค์

         หลังจากผมเดินครบสามรอบ แวะบริหารร่างกาย ช่วงแขน ช่วงไหล่ ด้วยเครื่องออกกำลัง ทักทายกับพี่น้องพ้องเพื่อนสูงวัยด้วยกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็เดินออกไปที่ประตูเพื่อกลับบ้าน ที่ริมถนนผมก็สะดุดตากับรถสามล้อเครื่องคันหนึ่งที่ต่อหลังคามีผ้าใบปกคลุมไปถึงช่วงหลังรถที่ทำเป็นกระบะบรรทุกเล็ก อย่างมิดชิดรัดกุม (รถแบบนี้เรียกขานกันว่า สามล้อ สกายแลป ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ขนาด ไม่เกินร้อยห้าสิบ ซี.ซี เป็นที่นิยมใช้เป็นรถรับจ้างสาธารณะรับส่งให้บริการผู้คนที่ให้ความสดวกในระดับหนึ่ง ตามต่างจังหวัด ในช่วงกระบะท้ายสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ถึง ๘-๑๐ คน)

          เหตุที่ผมสะดุดตาก็เพราะรถสามล้อเครื่องคันนี้ดูรัดกุม ทะมัดทะแมง ต่างจากรถพวกเดียวกัน เช่น มีกระจกกันลมให้คนขี่,มียางที่ใหญ่กว่าปกติ ,มีเสารับวิทยุ,แถมบนหลังคาผ้าใบที่คลุมกระบะหลังมีแร็ค(Rack ที่วางของ)ติดตั้ง มีสัมภาระบรรทุกพอควร โดยมีผ้าใบปิดเรียบร้อย  ดูแล้วแปลก ชวนให้สนใจ ว่างั้นเถอะ

 
           ผมหันซ้ายหันขวา หาเจ้าของรถ

           ที่ศาลาเล็กในสวน ไม่ไกลจากสกายแลปคันนั้น มีชายสูงวัยดูแข็งแรง ผิวคล้ำ นั่งเอนหลังบนเก้าอี้ผ้าใบที่นำมาเอง อย่างสบายอารมณ์ ข้างๆกันเป็นหญิงสูงวัย ผมขาว ร่างท้วม นั่งดูโทรศัพท์มือถือบนม้านั่งที่ก่อด้วยคอนกรีตในศาลา

          ผมก้าวเท้าไปหาโดยไม่ลังเล "ขอโทษครับ เป็นเจ้าของรถคั้นนั้นใช่ไหมครับ" ผมชี้มือไปที่รถสกายแล็ป " ใช่ครับ" ชายสูงวัยตอบอย่างยิ้มแย้ม

           "รถดูทะมัดทะแมงพร้อมลุย เข้าท่าดีจัง มาจากไหน จะไหนกันครับนี่" ผมชวนคุย

          "ผมคนอุบล ตอนนี้กำลังจะกลับบ้าน ขี่เที่ยวกันสองคนผัวเมีย สองเดือนกว่าแล้วครับ "เป็นคำตอบที่ผมได้รับ เล่นเอาผมทึ่ง และเริ่มสนใจ

        "เข้าท่าแฮะ ผมนั่งคุยด้วยได้มั้ย" ผมเริ่ม  " น่าสนใจครับ เล่าสู่กันฟังหน่อยครับ "  
 
        "ยินดีครับ เชิญนั่งคุยกันครับ " เขาเชื้อเชิญ ผมทรุดตัวนั่งบนม้านั่งคอนกรีตด้านตรงข้ามภรรยาเขา  "ผมปีนี้หกสิบแปด เมียก็เท่ากัน ชีวิตช่วงนี้เราปล่อยวางกันแล้ว ลูกๆสามคนก็โต มีการงานทำ ออกเรือนกันไปหมด ไร่นาที่มีก็ยกให้ลูก เราเคยฝันกันไว้ว่าเราสองคนจะออกเที่ยวกันไปเรื่อยๆตามกำลังเงิน กำลังกาย พอดีผมพอมีความรู้เรื่องช่างเครื่องอยู่บ้างเพราะเคยมีโรงสีเล็ก เลยต่อรถสกายแล็ปคันนี้ ขนสัมภาระจำเป็นใส่รถ แล้วขี่กันไปเรื่อยๆตามฝัน สองคนผัวเมีย"

          "เป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ" ผมว่า พลางยกหัวแม่มือให้

         " ครับ เราสองคนขี่กันไปเรื่อยๆ ในรถมีเตาแก๊สปิคนิค อุปกรณ์ทำครัวพร้อม เดินทางกันวันละร้อยโล ตรงไหนมีที่เที่ยว ก็แวะ ค่ำลงก็เลือกเข้าพักที่วัด ขอพระท่านพัก เอาเต๊นท์กางเข้าคนละเต๊นท์ มีตะเกียงโซล่าเซลล์คนละดวง หุงข้าว หากับข้าวง่ายๆกินกันไป อาบน้ำอาบท่าก็ที่วัด เช้ามาผมก็ช่วยเดินตามพระถือของบิณฑบาต มีอะไรก็ถวายสมทบไป ก่อนออกเดินทางก็ขัดส้วม ล้างห้องน้ำ กวาดลานวัด แล้วถึงจะไปต่อ วัดน่ะมีแทบทุกหมู่บ้านข้างทาง เลือกพักเอาได้เลย ตรงไหนวิวดีเราก็จอดชมวิว"เขาตอบยาวเหยียด " ผมก็ขี่ไป เมียก็นั่งร้องหมอลำ ร้องเพลงไป หยอกกันไป หยอกกันมา เหนื่อยเราก็พัก ง่วงก็เอนหลัง เดี๋ยวนี้กรมทางเขาสร้างที่พักสวยๆไว้ตามข้างทางเยอะแยะ"

          "คนเราถ้าใจสบาย รักกันด้วยใจ เข้าใจกัน ทำอะไรมันก็มีความสุข สำหรับผมไม่ต้องมีรถคันละล้าน มีเงินหลายล้าน มีแค่นี้ผมก็ไปของผมได้ มันอยู่ที่ใจ ผมไปมารอบอิสานแล้ว ไปทุกปี คราวนี้ไปถึงเขื่อนภูมิพล แวะมันทุกจังหวัด นี่กำลังจะกลับบ้านอุบลครับ"

           "ระหว่างเดินทางมีปัญหาอะไรกันบ้างไหมครับ "ผมถาม
            
           "ทั้งหมดมันอยู่ที่ใจเราสองคนครับ รวมเป็นใจเดียวแล้ว ปัญหาต่างๆ เรื่องเล็ก  บ่อยครั้งที่ตำรวจเรียก พอผมอธิบายให้ฟัง แล้วขอความเห็นใจ ก็ไม่มีปัญหา แถมคุณตำรวจใจดีเตือนให้เราระมัดระวังเรื่องการขับขี่ ซึ่งผมก็ระมัดระวังที่สุดอยู่แล้วครับ ครั้งหนึ่ง รถเราขึ้นเขาช่วงเขาค้อ ชันมาก รถเกือบขึ้นไม่ไหว เราสองคนก็ลงไปช่วยกันเข็น พอผ่านพ้นเราสองคนก็กอดกันกลางถนน สุขใจ ดีใจจนน้ำตาคลอ สนุกเสียอีก"

         ผมฟังด้วยความสนใจ ด้วยความสุข ด้วยความรู้สึกดีๆไปด้วย

         "เงินซื้อความสะดวก ความสบายได้ แต่ซื้อความสุขได้หรือไม่ผมไม่แน่ใจ "  เขากล่าวต่อ  "เราเคยเห็นผัวเมียขับรถคันละแพงๆ จอดทะเลาะกัน จะฆ่ากันตายในปั๊มน้ำมัน ,เห็นรถสวยๆที่จะไปเที่ยวขับแข่งกันอย่างบ้าเลือดแล้วตกถนนตายกันเกลื่อน ฯลฯ เห็นมามาก สำหรับผมสองคน สุขอยู่ที่ความพอใจ ความรักความเข้าใจกัน" เขาจบคำพูดด้วยการบอกผมว่า "เย็นแล้ว ผมจะเดินทางต่อกันละครับ คืนนี้ว่าจะค้างที่ร้อยเอ็ด พรุ่งนี้จะถึงบ้านเสียที คิดถึงหลานๆแล้ว" พูดจบ เขาหันไปบอกภรรยาซึ่งตลอดเวลานั่งฟังอย่างยิ้มแย้ม" ไป แม่ใหญ่ เราไปกันเถอะ" 

          ผมเอ่ยอวยพรขอให้เดินทางโดยปลอดภัย แล้วมองตามสองคนสามีภรรยาเดินไปที่รถ สามีขึ้นทำหน้าที่ผู้ขี่ ภรรยาขึ้นนั่งตอนท้ายของรถ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เช่นคนที่มีความสุข ทั้งสองยกมือขึ้นโบกแสดงการอำลาให้ผม ซึ่งยืนดูอยู่ด้วยความชื่นชม

          ใช่ครับ ชีวิตของแต่ละคน ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือกเดินไปในทางที่ทำให้ตนมีความสุข โดยทำใจให้เป็นสุขได้ด้วยความรัก ความเข้าใจ ทั้งมีความเอื้ออาทรแก่กันระหว่างคู่ชีวิต เป็นปัจจัยสำคัญ ความสุขในชีวิตคู่ก็น่าจะเกิดโดยไม่ยาก แม้จะไม่สมบูรณ์พูนสุข ร่ำรวยมากมายมหาศาลก็ตาม แต่ก็เป็น "ชีวิตที่เลือกได้"

                    "จับมือกันเดินด้วยใจอดทน หากใครสักคนล้มลงฉุดมือกันขึ้นไป
                      จะฝ่าประจันต์ทุกข์อันตราย กอดคอกันไป ไม่กลัวภัยพาล"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่