คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 35
ขอบคุณค่ะ ไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาตอบเยอะขนาดนี้
- ปกติเข้าออฟฟิศมีสแกนลายนิ้วมือ เราก็แปลกใจที่ HR กล่าวหาเราแค่เพราะคนฟ้อง แต่เขาไม่เช็คข้อเท็จจริงเลย
อันนี้เราท้วงไปแล้วค่ะ แต่เขาจะฟังมั้ยก็อีกเรื่อง (เห้อ)
- องค์กรนี้ใหญ่มากในสายงานเรา พูดชื่อไปใครก็รู้จักหมด ทำให้เราตัดสินใจทำงานกับเขา
แล้วกลายเป็นว่าเราปฏิเสธข้อเสนอเฟิร์มคู่แข่งไปหมดแล้ว พอลาออกมาตัวเลือกเราเลยน้อยค่ะ
จะไปสมัครเฟิร์มคู่แข่งก็เหมือนว่าเราเลือกเขาเป็นตัวสำรอง เขาก็ไม่ค่อยอยากทำงานกับเรา (ลองยื่นไปแล้วค่ะ)
พอจะไปสมัครบริษัทกลางๆ หน่อย เขาก็ไม่เลือกเราเพราะฐานเงินเดือนสูง (เขาพูดแบบนี้เลย)
ตอนนี่เราเลยปลงๆ ชีวิต แอบตลกตัวเองนิดหน่อยตรงที่พยายามตั้งใจทำทุกอย่างให้ดี แต่ก็ล้มเหลว
- เราก็ไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์นี้ในที่ทำงาน ด้วยความเป็นเฟิร์มข้ามชาติด้วย
ตัวงานก็ยากอยู่แล้ว ยิ่งสังคม toxic ด้วยเราไม่ไหวจริงๆค่ะ อันนี้ยอมรับตรงๆเลย
ตอนนี้ตัดสินใจจะพักสักระยะและเป็นฟรีแลนซ์ไปก่อน ไว้ถ้าทุกอย่างอยู่ตัวแล้วจะมาอัพเดตค่ะ
ขอบคุณทุกกำลังใจมากจริงๆ มันมีความหมายกับเรามาก TT
- ปกติเข้าออฟฟิศมีสแกนลายนิ้วมือ เราก็แปลกใจที่ HR กล่าวหาเราแค่เพราะคนฟ้อง แต่เขาไม่เช็คข้อเท็จจริงเลย
อันนี้เราท้วงไปแล้วค่ะ แต่เขาจะฟังมั้ยก็อีกเรื่อง (เห้อ)
- องค์กรนี้ใหญ่มากในสายงานเรา พูดชื่อไปใครก็รู้จักหมด ทำให้เราตัดสินใจทำงานกับเขา
แล้วกลายเป็นว่าเราปฏิเสธข้อเสนอเฟิร์มคู่แข่งไปหมดแล้ว พอลาออกมาตัวเลือกเราเลยน้อยค่ะ
จะไปสมัครเฟิร์มคู่แข่งก็เหมือนว่าเราเลือกเขาเป็นตัวสำรอง เขาก็ไม่ค่อยอยากทำงานกับเรา (ลองยื่นไปแล้วค่ะ)
พอจะไปสมัครบริษัทกลางๆ หน่อย เขาก็ไม่เลือกเราเพราะฐานเงินเดือนสูง (เขาพูดแบบนี้เลย)
ตอนนี่เราเลยปลงๆ ชีวิต แอบตลกตัวเองนิดหน่อยตรงที่พยายามตั้งใจทำทุกอย่างให้ดี แต่ก็ล้มเหลว
- เราก็ไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์นี้ในที่ทำงาน ด้วยความเป็นเฟิร์มข้ามชาติด้วย
ตัวงานก็ยากอยู่แล้ว ยิ่งสังคม toxic ด้วยเราไม่ไหวจริงๆค่ะ อันนี้ยอมรับตรงๆเลย
ตอนนี้ตัดสินใจจะพักสักระยะและเป็นฟรีแลนซ์ไปก่อน ไว้ถ้าทุกอย่างอยู่ตัวแล้วจะมาอัพเดตค่ะ
ขอบคุณทุกกำลังใจมากจริงๆ มันมีความหมายกับเรามาก TT
แสดงความคิดเห็น
ลาออกจากงานหลังทำได้เดือนเดียว ไม่มีความมั่นใจแล้ว
ตัวเรามีประสบการณ์ทำงานมาได้ประมาณ 2 ปี หลังจากนั้นจึงตัดสินใจย้ายสายงานไปทำกับบริษัทข้ามชาติที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง พอเรามาทำงานจริงๆ เราโดนกีดกันในที่ทำงาน พยายามพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานก็แล้ว แต่ไม่มีใครคุยด้วย ทุกคนเมินใส่เรา จนจุดที่เราทนไม่ไหวคือเอาเราไปพูดลับหลังกับคนประเมินและ HR ว่าเราไม่เข้าออฟฟิศเลย (ออฟฟิศให้ wfh ได้) แต่เราเข้าออฟฟิศ 'ทุกวัน' ช่วงสองอาทิตย์แรก หลังจากนั้นเข้าบ้างไม่เข้าบ้าง เพราะคนในทีมที่ทำงานด้วยไม่ค่อยเข้าออฟฟิศเหมือนกัน และยังมีเรื่องว่าร้ายอื่นๆ ที่ไม่เป็นความจริง เขาไม่ได้พูดต่อหน้าแต่ไปพูดลับหลังค่ะ
เราหนักใจมาก วันนั้นตัดสินใจลาออกหลังโดนเรียกไปตำหนิในเรื่องที่ไม่จริง และเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดด้วย เพราะเราไม่เคยมีปัญหากับใครเลย
HR ก็เรียกเราไปทำ exit interview โดยให้เหตุผลว่าเขาได้ยินมาอีกแบบนึง เราพูดไม่ออกเลย ทั้งช็อคทั้งเสียใจ พยายามแก้ต่างแล้วก็ไม่มีใครเชื่อ
หลักๆ ก็เครียดเรื่องเงินนี่แหละค่ะ ใครจะคิดว่าอายุ 25 จะเคว้งขนาดนี้ เราท้อแท้ในชีวิต หมดความมั่นใจในการหางานไปเลย
เหนื่อยค่ะ พยายามที่จะคิดบวกแล้ว ไม่เคยไปทำอะไรไม่ดีกับใครเลย แต่ทำไมต้องเจอคนมาทำร้ายเราน้อ
ตอนนี้ไม่มีแรงจะหางานอะไรเลยค่ะ พอออกมาก็เคว้ง จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะเดินไปทางไหน เสียใจมาก
มีใครเคยเจอภาวะคล้ายๆนี้มั้ยคะ แบบไม่รู้จะทำงานอะไรต่อ ไม่รู้จะเอาความกระตือรือล้นจากไหนไปสัมภาษณ์งานมั้ยคะ