ขัดห้างส่อง... งู สู้ ผี

กระทู้สนทนา
เรื่องนี้ ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ มิให้นำไปเผยแพร่ ในทุกช่องทาง  ยูทุบ  ไอทุบ  ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นมิติไหน  จักรวาลไหน  หลุมดำ หลุมขาว  โลกของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษหรือทั่วไป กลศาสคร์ควอนตัม  พหุจักรวาล โลกอนาคต ห้าม ทั้งนั้น ก่อนได้รับอนุญาตจากข้าพข้อย เท่านั้น



             ด้วยความหลงใหลไพรพงดงป่าของมนัส หนุ่มนักศึกษาจากเมืองกรุง  ผู้ใช้เวลาช่วงปิดภาคเรียน มาขลุกอยู่บ้านชนบท บ้านของบุญสมเพื่อนรัก ซึ่งพื้นเพเป็นชาวชนบทเต็มร้อย ครั้งนี้ได้มาพักอยู่กับ ปู่กัน ย่าจัน ญาติผู้ใหญ่ของบุญสม ที่ให้การต้อนรับขับสู้สองหนุ่มเป็นอย่างดี สภาพของวิถีความเป็นอยู่ห่างไกลปืนเที่ยง ไม่มีน้ำประปาหรือไฟฟ้า แต่สองเกลอปรับตัวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหนุ่มหล่ออย่างมนัส ใครจะเชื่อว่าเขาสามารถกินอาหาร บ้านป่าบ้านดงได้อย่างหน้าตาเฉย กลมกลืนสังคมชาวบ้าน แบบเกินหน้าเกินตาบุญสม หนุ่มภูธรโดยกำเนิดเสียอีก

            สิ่งหนึ่งที่มนัสฝันมานาน คือการนั่งห้างส่องสัตว์ แบบที่เคยอ่านเจอในหนังสือสารคดี หรือนวนิยายต่าง ๆ  ครั้งนี้มนัสจึงจัดเต็มกับชุดเดินป่าและอุปกรณ์จำเป็น ตั้งแต่หัวจดเท้า จัดเผื่อบุญสมเพื่อนรักด้วย ในฐานะเพื่อนร่วมทางคนสำคัญ

             หมู่บ้านของปู่กันย่าจันแม้จะอยู่ชนบท แต่ก็ไม่ได้อยู่ใกล้ป่าดงดิบ หรือลึกเข้าไปในเทือกเขาพระศิวะ ดังนั้นสิ่งที่บุญสมพอจะทำให้เพื่อนสัมผัสบรรยากาศของ ล่องไพร หรือ เพชรพระอุมาบ้าง ก็คือการพาเพื่อนรักไปยังดงไม้แห่งหนึ่ง ห่างจากหมู่บ้านไม่กี่กิโลเมตร โดยมีมนัสเป็นคนออกแบบแผนการครั้งนี้ทุกอย่าง เขาค้นคว้าศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดี เป้หลังของคนทั้งสองมีอุปกรณ์จำเป็นในการนั่งห้างครบครัน กระทั่งกล้องถ่ายรูปก็ยังมีพร้อม
 
             เริ่มด้วยการมองหาต้นไม้ใหญ่ มีกิ่งก้านคาคบแข็งแรง หลีกเลี่ยงต้นตะเคียน ต้นไทร และต้นโพธิ์ ซึ่งมนัสก็เลือกต้นไม้ใหญ่ มีกิ่งก้านเหมาะกับการขัดห้างริมหนองน้ำ ไม่มีต้นไม้อื่นติดมาประชิดติดกันหรือแผ่กิ่งก้านถึงกัน  สองหนุ่มตัดไม้ไผ่แถวนั้น มาผูกลูกแขนงห้างบนพื้นก่อน โดยเอาไม้ไผ่มาเรียงให้เสมอกัน ใช้เชือกมัดแบบหักคอไก่ให้แน่น เป็นแนวเชือกสามแถว คือหัว กลาง ท้าย เพื่อไม่ให้เกิดการเลื่อนได้ง่าย ๆ  เสร็จแล้วก็เอาเชือกไปคล้องกับกิ่งที่สูงกว่ากิ่งที่จะขัดห้าง ใช้วิธีชักรอกห้างขึ้นไป ผูกห้างอยู่กับกิ่งไม้ให้แน่นหนา

             ฟังดูเหมือนง่าย ๆ  แต่กว่าสองหนุ่มที่ไม่เคยขัดห้างมาก่อนในชีวิตจะทำสำเร็จ ก็ลองผิด ลองถูก จนเหงื่อตก  ใช้เวลาตั้งแต่เที่ยงวันถึงพลบค่ำกันเลยทีเดียว ในที่สุดการขัดห้างก็สำเร็จเสร็จสิ้น 

             ขณะยืนเหนื่อยชมผลงาน มนัสยังบอกอีกว่า กฎของการนั่งห้างกลางป่าก็คือ ถ้าขึ้นห้างไปแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามลงมาจากห้างเด็ดขาด จนกว่าจะถึงรุ่งเช้าเช้า ถ้าปวดฉี่ ห้ามฉี่ลงมาจากห้าง ต้องใช้กระบอกไม้ไผ่แก้ปัญหา บุญสมฟังแล้วหัวเราะบอกว่า ไม่ต้องจริงจังถึงขนาดนั้นก็ได้ แต่มนัสไม่ยอม บอกว่าจะเป็นการผิดป่า ขณะไปหาลำไม้ไผ่ มนัสหอบกาบกล้วยใบกล้วยมาด้วย และวางมันไว้รอบ ๆ โคนต้นไม้ บอกว่าเอาไว้กันงูเหลือมเลื้อยขึ้นไปหา บุญสมได้แต่ทึ่งกับความรอบรู้ราวนายพรานของเพื่อนเมืองกรุง   แสดงว่าเขาเตรียมตัวทางหลักการทฤษฎีมาเป็นอย่างดี 

             และ...เพื่อให้ได้บรรยากาศนั่งห้างกลางป่า มนัสยังลงทุนขอยืมปืนแก๊บโบราณจาก ปู่กัน มากระบอกหนึ่ง ปู่กันใจดี บรรจุกระสุนและดินปืนให้เรียบร้อย เพราะไม่กล้าให้มนัสทำเอง ใส่ดินปืนพลาดกลัวว่าเวลายิง ปืนจะระเบิดใส่หน้าไปเสียก่อน  มนัสบอกว่า เขาไม่เอาไปยิงสัตว์อะไรหรอก พกติดตัวมาโก้ ๆ เพราะถึงจะยิง ก็ยิงได้เพียงนัดเดียวเท่านั้น

             ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้มแดง นกกาบินกลับรวงรัง ทั้งสองหนุ่มจัดการอาหารเย็นที่พกติดตัวมาแบบง่าย ๆ  แล้วปีนต้นไม้ขึ้นไปนั่งพักผ่อนบนห้าง ชื่นชมกับยามสนธยาแห่งธรรมชาติ

             ความจริงบุญสมไม่ค่อยเห็นด้วยกับโครงการนั่งห้างครั้งนี้สักเท่าไร เพราะกลัวอาถรรพ์ป่า แต่ความรักเพื่อนก็ต้องยอม เขาได้แย้งมนัสอย่างจริงจัง ก่อนจะลงภาคสนามเชิงปฏิบัติการว่า แถวนี้ไม่มีสัตว์ป่าพวก  ช้าง เสือ กระทิง หมูป่า ควายป่า ลงมากินดินโป่ง เพราะไม่ใช่ป่าดงดิบ แต่มนัสบอกว่าไม่เป็นไร ขอเพียงสัมผัสบรรยากาศนั่งห้างป่ากลางคืนเท่านั้น  อนาคตจะหาโอกาสยาก เพราะป่านับวันแต่จะหมดไป ไหน ๆ มีโอกาสมาชนบท ก็ต้องขอลอง ‘ส่องห้าง’ ดูสักครั้ง

             เมื่อแสงอาทิตย์ลับฟ้า  ท้องฟ้าผีตากผ้าอ้อมผ่านไป ดงไม้ธรรมดาเวลากลางวันเริ่มเปลี่ยนเป็นป่าที่มีความน่ากลัว เสียงนกกลางคืนร้องสลับกันเป็นระยะ ฟังดูหลอน ๆ เข้ากับบรรยากาศ ไม่นานแสงจันทร์ก็สว่าง มองเห็นหนองน้ำด้านหน้าถนัดชัดตา แต่สองหนุ่มก็ไม่ได้หวังขนาดว่า จะมีสัตว์ป่าขนาดใหญ่ปรากฏตัวลงมาหนองน้ำให้เห็นเป็นบุญตา แค่สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยก็พอแล้ว 

             ช่วงหนึ่งของการสนทนา บุญสมเกริ่นลอย ๆขึ้นมาว่า  รู้ไหมว่าแถวนี้ชาวบ้านลือกันว่าเป็น ป่าผีดุ ไม่ค่อยมีใครอยากเข้ามา แม้แต่เวลากลางวัน มีตำนานเรื่องเล่ามากมาย   ข้างฝ่ายมนัสแทนที่ฟังแล้วจะกลัว กลับหัวเราะแล้วบอกว่า ถ้าคืนนี้ส่องสัตว์ไม่ได้ ก็ส่องผีแทนก็แล้วกัน ทำเอาบุญสมฟังแล้วสะดุ้ง บอกว่าอยู่ในป่าเขาห้ามไม่ได้พูดเล่นพูดหัว เดี๋ยวจะเจอเข้าจริง ๆ ข้างฝ่ายมนัสก็ค้านว่า เราไม่ได้มานั่งห้างลึกเข้าไปในป่าดงดิบ ไม่ต้องจริงจังมากก็ได้ แถมวันนี้ยังพกของขลังมาเต็มพิกัด ทั้งยันต์ ตะกรุด สายสิญจน์  มีดหมอ ไฟฉายหมอ เกือบจะเปลี่ยนจากห้างส่องสัตว์ เป็น ห้างส่องผี ไปจริง ๆบุญสมได้แต่ส่ายหน้า ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยุ นั่นคงเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าป่า ที่เหลือมาจากงานศพวันก่อน ในกระติกน้ำของมนัสนั่นเอง 

              หนุ่มภูธรสังเกตได้ว่า เพื่อนของเขาเลือกต้นไม้ที่ไม่มีคาคบกิ่งก้านยื่นยาวไปถึงต้นไม้อื่น งูหลายชนิดสามารถเลื้อยขึ้นบนต้นไม้ เขาเคยฟังมาว่า มีนายพรานบางคนมองข้ามเรื่องนี้ไป เวลาขัดห้างพิจารณาแค่ความสูง ลืมมองด้านข้างด้านบน เลือกต้นไม้กิ่งก้านยื่นติดกัน ทำให้งูเหลือมสามารถเลื้อยขึ้นต้นไม้ข้าง ๆ ไต่เลื้อยมาตามกิ่งไม้ด้านบน แล้วทิ้งตัวลงมา รัดนายพรานเอาดื้อ ๆ ต่อหน้าต่อตาก็มี  สัญชาตญาณที่ไวและลึกล้ำในการล่าเหยื่อของพวกสัตว์ป่า เป็นเรื่องคาดไม่ถึงอยู่เสมอ

             ขณะมองอะไรเล่นไปเรื่อย ๆ บุญสมสังเกตว่าต้นไม้ข้าง ๆ มีเงาบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่อย่างช้า ๆ ขึ้นมาจากด้านล่าง ถ้าไม่สังเกตให้ดีคงไม่เห็นความผิดปกติ บุญสมขอไฟฉายจากเพื่อน เปิดไฟส่องดูทันที

             ภาพที่เห็นทำให้ทั้งสองขนลุก ต้นไม้ด้านข้าง มีงูเหลือมใหญ่ ขนาดเกือบเท่าโคนขาตัวหนึ่ง กำลังพันเลื้อยตามต้นไม้แบบเงียบกริบ และกำลังค่อย ๆ เลื้อยสูงขึ้นไปทุกที เสียงมนัสบอกว่า ดีที่เลือกต้นไม้ห่างกัน ไม่งั้นมันคงลอบเลื้อยผ่านข้ามคาคบข้ามตามกิ่ง มาถึงนั่งห้างเราแน่ มันคงกลัวกาบกล้วยที่เราเอาวางไว้ข้างล่าง ถึงไม่กล้าขึ้นต้นนี้ บุญสมเปรยลอย ๆ ว่างูมันคงไม่ดีดตัว ลอยละลิ่วมาถึงต้นนี้ได้นะ 

             สัตว์ตัวแรกมาให้ส่อง ก็สยองแล้ว ฝ่ายเจ้างูเหลือมคงเห็นว่าไม่มีคาคบไม้จะข้ามไปหาเหยื่อได้ มันจึงหยุดนิ่ง ดูเชิงอยู่อย่างนั้น

             เรื่องของงูผ่านไปได้ไม่นาน ทั้งสองก็ได้ยินเสียงเหมือนคนสวดมนตร์พึมพำ ดังใกล้เข้ามาทางด้านข้างของหนองน้ำ บุญสมลุกขึ้นนั่ง เห็นมนัสกำลังจ้องมองไปด้านนั้นเหมือนกัน

            ในเงาไม้ใต้แสงจันทร์เลือนราง มีแสงไฟวับแวมมาตามแนวป่า เลาะเลียบมาด้านข้างของหนองน้ำ ใกล้เข้ามาทุกที จนมองเห็นว่าเป็นคนกลุ่มหนึ่งประมาณหกเจ็ดคน สองคนถือคบไฟมาด้วยหัวท้ายขบวน อีกสี่คนพากันแบกหามสิ่งของลักษณะคล้ายแคร่ไม้ไผ่  บางคนหิ้วอุปกรณ์สิ่งของเครื่องใช้เหมือนคุถังมาด้วย พอเข้ามาใกล้ก็เริ่มสังเกตได้ว่าทุกคนเป็นผู้ชาย เปลือยหน้าอกสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียว บนแคร่ มีร่างคนนอนสงบนิ่งเหยียดยาว คลุมผ้าขาวทั้งตัว ทำให้สองหนุ่มใจเต้นระทึกขึ้นมาทันที คนพวกนี้มาทำพิธีอะไรกันกลางป่าดงในเวลากลางคืน และมันจะไม่เป็นการบังเอิญมากเกินไปหน่อยหรืออย่างไร เมื่อขบวนกลุ่มคนประหลาดหยุดอยู่ข้างหนองน้ำ ด้านหน้านั่งห้างพอดี  แล้วพากันวางแคร่แบบมีขาตั้งลงบนพื้น คบไฟปักลงด้านศีรษะและเท้าของร่างที่นอนคลุมผ้า เสียงพร่ำบ่นแหบต่ำงึมงำ ยังคงดังไม่ขาดระยะ จากนั้นทุกคนเริ่มตั้งแถวพนมมือ เดินเป็นวงกลมแบบทวนเข็มนาฬิกาไปรอบ ๆ ร่างที่นอนบนแคร่ เวลานี้สองหนุ่มนั่งตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจและหวาดกลัวกับภาพสั่นประสาทด้านล่าง

             เวลาผ่านไปประมาณห้านาที ใครบางคนดึงผ้าคลุมออกจากร่างที่นอนนิ่งบนแคร่ เหวี่ยงทิ้งไป แสงจันทร์ส่องให้เห็นร่างของชายคนหนึ่ง นอนในท่ามัดตราสัง ทำเอาสองหนุ่มที่พากันจ้องมองถึงกับสะดุ้ง นึกรู้ทันทีว่าคืนนี้คงจบลงแบบไม่สวยเป็นแน่แท้

            เสียงมนัสกระซิบแผ่วว่า พื้นที่ป่ามีถมเถ ไม่ไปทำพิธี ทะลึ่งมาทำพิธีอะไรต่อหน้าเรา ไม่เคยร้องขอสักหน่อย บุญสมฟังแล้วทั้งขำทั้งสยอง พิธีกรรมด้านล่างดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก เสียงสวดก็ฟังดูแปลก ๆ ชวนขนลุก เหมือนฉากในหนังผีสยองขวัญไม่มีผิด

             สักพัก การเดินวนสวดมนตร์จบลง พวกเขาช่วยกันแกะผ่ามัดตราสังสีกระดำกระด่างออก คนที่ถือถังน้ำเดินไปตักน้ำจากหนองน้ำ แล้วสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาสองหนุ่มคือ คนกลุ่มนั้นกำลังช่วยกันทำความสะอาดร่างศพบนแคร่อย่างพิถีพิถัน ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติมาก  เพราะการอาบน้ำแต่งตัวศพ ต้องทำก่อนมัดตราสัง และต้องทำที่บ้าน ไม่ใช่ในป่าในดงเวลากลางคืน 

             สองหนุ่มได้แต่ภาวนาว่า อย่าให้คนกลุ่มนั้นเงยหน้าขึ้นมามองเลย ถ้ารู้ว่ามีคนเฝ้าแอบสังเกตอยู่ พวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร คิดแล้วพากันเสียดายที่ไม่ได้เก็บข้าวของเศษชิ้นส่วน ในการทำห้าง ที่ยังคงทิ้งระเกะระกะอยู่ข้างล่าง เพราะอาจเป็นชนวนแห่งความสงสัยให้เกิดการค้นหาต้นตอได้ สักพักพิธีการอาบน้ำศพกลางแจ้งกลางป่าผ่านไป จากนั้นมีการใช้ผ้าเช็ดเนื้อเช็ดตัว ให้ร่างบนแคร่อย่างตั้งใจจริงจัง ประหนึ่งว่าปฏิบัติต่อคนมีชีวิต ทำให้ภาพปรากฏออกมา ชวนให้สยองแสยงหัวใจอย่างที่สุด

.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่