ถ้ามองแบบโลกๆ พ่อแม่คือผู้มีพระคุณ
ถ้ามองแบบนักปราชญ์ พ่อแม่ก็ยังคงเป็นผู้มีพระคุณ
แต่ถ้ามองแบบ 'เนี้ยะ' มันเป็นอีกแบบที่เจตสิกคุณจะสืบค้นหาต้นต่อ ของความเรียบง่ายรายว้นนี้ ซึ่งบางรายก็ไม่เรียบง่าย เห็นแล้วเลยว่า ไม่ว่าคุณจะได้ชื่อหรือได้รับการติดป้ายยอมรับว่าเป็นพ่อแม่บังเกิดเกล้าผู้อุปการะเลี้ยงดูลูก ชีวิตครอบครัวพ่อแม่ก็ไม่ได้เรียบง่ายและราบรื่นในความสัมพันธ์สักเท่าไหร่นัก บางราย และหลายรายถึงกับแย่ ไปจนถึงแย่ที่สุด ถึงขั้นจ้องจะเอาชีวิตกันก็มากมาย
ถ้าเราลองสืบค้นด้วยจิตที่นิ่ง กึ่งวิเคราะห์ดู เราจะเห็นว่าพ่อแม่ก็คือเรา เราก็คือพ่อแม่ พ่อแม่ให้กำเนิดเรามา ไม่ใช่เพราะเราอยากเกิด หรือเรามาอ้อนวอนขอท่านเกิด หรือเราไปมาหลายที่แล้ว แต่มีพ่อแม่คู่นี้เท่านั้นที่ให้เราได้มาเกิด
เคยตั้งคำถามกันไหมว่า พ่อแม่ที่ให้กำเนิดเรามานั้น ให้กำเนิดด้วยความเมตตาโพธิสัตว์ที่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือเพราะกิเลส การอุปโลกณ์ การตั้งความหวัง การอยากได้ อยากมี อยากเป็น บนฐานของอกุศลมูลกันแน่เอ่ย? และหลายรายไม่ได้ตั้งใจจะมีลูก และพอออกมาก็ไม่อยากจะรับผิดชอบใช่ไหม? แต่ต้องทำเพราะเกรงกลัวกฏหมาย และ อำนาจอะไรบางอย่างที่คอยคุมพฤติกรรมเราอยู่ข้างหลังเราอย่างนั้นใช่ไหม? ก็เลยต้องทำ ต้องทำเพราะพลังอำนาจของหน้าที่ของความเป็นผู้ให้กำเนิดมันบังคับ
การที่พ่อแม่ให้กำเนิดเรามา มันเป็นเพราะหน้าที่และผลของกิเลส มันเป็นสิ่งที่ 'ต้อง' รับผิดชอบอยู่โดยชาติกำเนิดและสายพันธ์ุอยู่แล้วใช่หรือไม่?
พ่อแม่เลี้ยงดูเราเพราะก็หวัง และอยากได้ อยากครอบครอง ทั้งหมดนี้ก็เป็นหนึ่งในผลพวงที่งอกเงยออกมาจากอกุศลมูลทั้งสิ้น เป็นการต่อยอด วิบากกรรมอันไร้ที่สุดต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้มีบารมีพอจะได้เกิดมาอยู่ในตระกูลหรือสภาพแวดล้อมที่เอื่อต่อการได้ดวงตาเห็นธรรมและเข้าสู่มรรคผลนิพพานหลุดพ้นจากพันธะแบบโลกๆที่มีชื่อยี่ห้อว่า 'พ่อแม่' อันนี้
เราไม่ได้ต้องได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่อย่างเดียว พ่อแม่ก็ต้องถูกเราเลี้ยงดูในยามชราแก่เฒ่าเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความหวังที่ถูกปลูกฝั่งตามๆกันมากลายเป็นสัญชาตญาณแห่งเผ่าพันธ์ุของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต่างอะไรกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก หรือจะเรียกว่ากลายเป็นศรัทธาที่อยู่คู่กันไปอย่างพอดิบพอดีแบบขึ้นๆลงๆ ปลงๆ ชิวๆ ทำใจๆ
เราจะมองไม่ได้หรอว่า เรานี่แหละคือผู้มีพระคุณของพ่อแม่ ที่ยังคงรักษาศรัทธานี่เอาไว้เพื่อจะสานต่อไป ไม่ทิ้งกัน หากเราละทิ้งศรัทธานี้ ชาวโลกก็จะเรียกการละทิ้งศรัทธานี้ว่า 'เนรคุณ' แต่ไม่เคยมีคนมองว่า มันคือการขัดต่อกิเลสความอยากของเราที่อยากให้มันดูดีมีรสนิยมในคราบของความเป็นคนดีเลย
ไม่ลองมองว่ามันคือการตัดวงจรอุบาทธ์นี้ดูกันละ หลายๆครอบครัว ถูกลูกฆ่า ถูกแม่ฆ่า ถูกคนในครอบครัวฆ่า หรือเนรคุณ แต่เราเคยสังเกตกันไหมว่า นั้นคือสายธารของกระแสวิบากกรรม สิ่งที่เกิดขึ้นมันมีเหตุผลและจุดประสงค์ในการเกิดอยู่แล้ว เคยลองเข้าไปสืบค้นด้วยจิตที่เปี่ยมไปด้วยปัญญามากกว่าความฉลาดแบบโลกๆกันแล้วหรือยัง? สิ่งหนึ่งที่เมื่อเราลองเข้าไปสืบค้นดูแล้วได้มาคือ การที่เห็นว่า การเนรคุณและ การ ฆ่าล้างครอบครัว คือการตัดวงจรตรงนั้น เพื่อไปยังสายธารใหม่ ให้เขาทั้งสามพ่อแม่ลูก ได้ไปอยู่ในที่ใหม่ ที่วิบากกรรมของเขาได้รับการอนุมัติให้มาไหลอยู่บนสายธารนี้ตามเจตสิกและกรรมของเขาและเข้ากับสายธารผู้อื่นใหม่ที่มีรหัสวิบากกรรมเหมาะจะมารับสายธารนี้ต่อไปเป็นทอดๆ
ยกตัวอย่างเช่นเราเห็นลูกฆ่าพ่อ หรือ ฆ่าแม่ แม่ฆ่าลูก เพราะไม่อยากเลี้ยง เราผู้พบเห็นต่างก็คิดไปในทางเดียวกันว่า 'มันเลวจริงๆ' 'ชั่วจริงๆ' แต่ไม่เคยมีคนเคยคิดอย่างท่านพุทธทาสเลยว่า มันก็เป็นเช่นนั้นเอง (อิทัปปัจจยตา) หรืออย่างท่าน ว.วชิรเมธีที่ว่า 'ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน' มันเป็นการปรับตัวของสายธารกรรมที่มันพันกันอยู่ให้มันเข้าที่และไหลไปได้ลื่นขึ้น และมันเป็นแค่การไหลของเส้นชะตา ที่เราไม่คุ้นตา จนต้องด่าและสาปแช่งมัน จนเป็นการกระโดดเข้าไปร่วมรับกรรมตรงนั้นจากการที่เอาอารมณ์และพลังลบไปเกี่ยวข้องและเกิดเป็นกรรมบันทึกอยู่ในเจตสิกเพื่อมาไหลบนเส้นทางนี้ต่อ
ถามว่า ถ้าไม่มีคนทำผิดแบบนี้ ตำรวจจะมีงานทำไหม? ตำรวจคงไม่มียศ มีตำแหน่ง หรือผลงานเลื่อนขั้นไปอวดเบ่งเซ้นไหว้ มอบหมายภาระ ยกย่องชื่อชั้นกันอย่างที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้ คงจะมีก็แต่ตำรวจจราจร เช่นกัน ทุกอย่างมันอยู่ได้เพราะมันมีคู่ ความดีจะอยู่ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีความเลว ทั้งสองจับคู่เกี่ยวก้อยกันมาอย่างยาวนาน การจะไปหลับหูหลับตาแยกทั้งสองออกจากกันดูจะเป็นเรื่องที่ทุกข์ใจดูไม่ใช่น้อยเลยใช่ไหมละ? นี่แหละที่วาทกรรมคำว่า 'รู้เท่าทัน' จึงมีบังเกิด คือปล่อยสายธารที่มันไหลอยู่นั้น ให้มันไหลไปอย่างรู้เท่าทันดีกว่าไหม? ให้ชาวโลกเขาจัดการไปตามสมมุติสัจจะ ผิดก็ว่าไปตามกฏ เข้าไปรับกรรมตามกฏหมายทางโลก ที่ก็ไม่ใช่อะไรนอกจากสายธารหนึ่งที่ไหลมาอย่างมีเหตุผลและไหลไปเพื่อให้รหัสวิบากกรรมมันมีที่ลงและไปต่อตามรหัสแต่ละอันเท่านั้นเอง แต่กฏแห่งกรรมนั้นจะว่ามีอยู่จริง ก็จริงๆก็ไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างมันไหลไปตามสายธารแห่งเส้นชะตา ที่หาต้นต่อและปลายสุดไม่ได้
ท่านเลี้ยงดูเราด้วยความรัก นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ที่จริงกว่าคือ ท่านถูกกิเลสความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ครอบงำ กลายเป็นกรรมของเผ่าพันธุ์และตระกูลไป
บางทีผู้เข่นฆ่าผู้อื่นนั้นอาจจะเป็นฮีโร่ที่มาช่วยให้ตระกูลเขาหลุดจากวิบากตรงนี้ เพื่อให้เข้าสู่เส้นทางใดทางหนึ่งอันเอื่อต่อการรับการมาจุติใหม่ของท่านศากยมุนีองค์ถัดไปก็เป็นได้ ใครจะรู้ หรือไปรู้ละ แค่เข้าใจไว้ว่า 'มันเป็นเช่นนั้นเอง' และปล่อยให้สมมุติสัจจะทางโลกไหลไปอย่างธรรมดาโดยไม่เอาอารมณ์อันเกลียดชัง โดยการพยายามแยกความดีและเลวออกจากกัน ดีก็อยู่ส่วนดี เลวก็อยู่ส่วนเลว มันเป็นเรื่องที่ยากและทุกข์ใจ เราก็แค่มองว่า มันไม่มีความดีและเลว 'ทุกอย่างเป็นแค่ปรากฏการณ์ที่อยู่ในการไหลเลื่อนเคลื่อนตัวอยู่ตลอดของปัจจัยและปรากฏการณ์ต่างๆของสายธารแห่งจิต'
ทั้งหมดทั้งมวลคือแค่จะให้รู้ทันเหตุการณ์และเข้าใจว่า 'มันเป็นเช่นนั้นเอง' ได้ง่ายขึ้นอีก 0.9%
การได้ดวงตาเห็นธรรมไม่จำเป็นต้องเห็นแบบนี้ แต่นี่คือหนึ่งในมโนจิตที่ได้มาจากจิตอันสงบและเป็นธรรมะ ธรรมชาติ เท่านั้น เท่านี้ ก็ เช่นนี้ เช่นนั้นเอง
ถ้าเราเห็นว่าธรรมมะข้อนี้สวยงามน่ายกย่อง = ไม่เห็น
ถ้าเราเห็นว่าธรรมมะข้อนี้เลอะเทอะ เป็นภัย = ไม่เห็น
ถ้าเราไม่เห็นว่าธรรมมะข้อนี้นั้นมันมีสาระสำคัญหรือมองไม่เห็นว่ามันมีตัวตนอย่างที่มันมีแบบโลกๆ = เห็น
เมื่อไม่เห็น ก็ จะเห็น
พ่อแม่ไม่ใช่ผู้มีพระคุณ
ถ้ามองแบบนักปราชญ์ พ่อแม่ก็ยังคงเป็นผู้มีพระคุณ
แต่ถ้ามองแบบ 'เนี้ยะ' มันเป็นอีกแบบที่เจตสิกคุณจะสืบค้นหาต้นต่อ ของความเรียบง่ายรายว้นนี้ ซึ่งบางรายก็ไม่เรียบง่าย เห็นแล้วเลยว่า ไม่ว่าคุณจะได้ชื่อหรือได้รับการติดป้ายยอมรับว่าเป็นพ่อแม่บังเกิดเกล้าผู้อุปการะเลี้ยงดูลูก ชีวิตครอบครัวพ่อแม่ก็ไม่ได้เรียบง่ายและราบรื่นในความสัมพันธ์สักเท่าไหร่นัก บางราย และหลายรายถึงกับแย่ ไปจนถึงแย่ที่สุด ถึงขั้นจ้องจะเอาชีวิตกันก็มากมาย
ถ้าเราลองสืบค้นด้วยจิตที่นิ่ง กึ่งวิเคราะห์ดู เราจะเห็นว่าพ่อแม่ก็คือเรา เราก็คือพ่อแม่ พ่อแม่ให้กำเนิดเรามา ไม่ใช่เพราะเราอยากเกิด หรือเรามาอ้อนวอนขอท่านเกิด หรือเราไปมาหลายที่แล้ว แต่มีพ่อแม่คู่นี้เท่านั้นที่ให้เราได้มาเกิด
เคยตั้งคำถามกันไหมว่า พ่อแม่ที่ให้กำเนิดเรามานั้น ให้กำเนิดด้วยความเมตตาโพธิสัตว์ที่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือเพราะกิเลส การอุปโลกณ์ การตั้งความหวัง การอยากได้ อยากมี อยากเป็น บนฐานของอกุศลมูลกันแน่เอ่ย? และหลายรายไม่ได้ตั้งใจจะมีลูก และพอออกมาก็ไม่อยากจะรับผิดชอบใช่ไหม? แต่ต้องทำเพราะเกรงกลัวกฏหมาย และ อำนาจอะไรบางอย่างที่คอยคุมพฤติกรรมเราอยู่ข้างหลังเราอย่างนั้นใช่ไหม? ก็เลยต้องทำ ต้องทำเพราะพลังอำนาจของหน้าที่ของความเป็นผู้ให้กำเนิดมันบังคับ
การที่พ่อแม่ให้กำเนิดเรามา มันเป็นเพราะหน้าที่และผลของกิเลส มันเป็นสิ่งที่ 'ต้อง' รับผิดชอบอยู่โดยชาติกำเนิดและสายพันธ์ุอยู่แล้วใช่หรือไม่?
พ่อแม่เลี้ยงดูเราเพราะก็หวัง และอยากได้ อยากครอบครอง ทั้งหมดนี้ก็เป็นหนึ่งในผลพวงที่งอกเงยออกมาจากอกุศลมูลทั้งสิ้น เป็นการต่อยอด วิบากกรรมอันไร้ที่สุดต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้มีบารมีพอจะได้เกิดมาอยู่ในตระกูลหรือสภาพแวดล้อมที่เอื่อต่อการได้ดวงตาเห็นธรรมและเข้าสู่มรรคผลนิพพานหลุดพ้นจากพันธะแบบโลกๆที่มีชื่อยี่ห้อว่า 'พ่อแม่' อันนี้
เราไม่ได้ต้องได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่อย่างเดียว พ่อแม่ก็ต้องถูกเราเลี้ยงดูในยามชราแก่เฒ่าเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความหวังที่ถูกปลูกฝั่งตามๆกันมากลายเป็นสัญชาตญาณแห่งเผ่าพันธ์ุของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต่างอะไรกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก หรือจะเรียกว่ากลายเป็นศรัทธาที่อยู่คู่กันไปอย่างพอดิบพอดีแบบขึ้นๆลงๆ ปลงๆ ชิวๆ ทำใจๆ
เราจะมองไม่ได้หรอว่า เรานี่แหละคือผู้มีพระคุณของพ่อแม่ ที่ยังคงรักษาศรัทธานี่เอาไว้เพื่อจะสานต่อไป ไม่ทิ้งกัน หากเราละทิ้งศรัทธานี้ ชาวโลกก็จะเรียกการละทิ้งศรัทธานี้ว่า 'เนรคุณ' แต่ไม่เคยมีคนมองว่า มันคือการขัดต่อกิเลสความอยากของเราที่อยากให้มันดูดีมีรสนิยมในคราบของความเป็นคนดีเลย
ไม่ลองมองว่ามันคือการตัดวงจรอุบาทธ์นี้ดูกันละ หลายๆครอบครัว ถูกลูกฆ่า ถูกแม่ฆ่า ถูกคนในครอบครัวฆ่า หรือเนรคุณ แต่เราเคยสังเกตกันไหมว่า นั้นคือสายธารของกระแสวิบากกรรม สิ่งที่เกิดขึ้นมันมีเหตุผลและจุดประสงค์ในการเกิดอยู่แล้ว เคยลองเข้าไปสืบค้นด้วยจิตที่เปี่ยมไปด้วยปัญญามากกว่าความฉลาดแบบโลกๆกันแล้วหรือยัง? สิ่งหนึ่งที่เมื่อเราลองเข้าไปสืบค้นดูแล้วได้มาคือ การที่เห็นว่า การเนรคุณและ การ ฆ่าล้างครอบครัว คือการตัดวงจรตรงนั้น เพื่อไปยังสายธารใหม่ ให้เขาทั้งสามพ่อแม่ลูก ได้ไปอยู่ในที่ใหม่ ที่วิบากกรรมของเขาได้รับการอนุมัติให้มาไหลอยู่บนสายธารนี้ตามเจตสิกและกรรมของเขาและเข้ากับสายธารผู้อื่นใหม่ที่มีรหัสวิบากกรรมเหมาะจะมารับสายธารนี้ต่อไปเป็นทอดๆ
ยกตัวอย่างเช่นเราเห็นลูกฆ่าพ่อ หรือ ฆ่าแม่ แม่ฆ่าลูก เพราะไม่อยากเลี้ยง เราผู้พบเห็นต่างก็คิดไปในทางเดียวกันว่า 'มันเลวจริงๆ' 'ชั่วจริงๆ' แต่ไม่เคยมีคนเคยคิดอย่างท่านพุทธทาสเลยว่า มันก็เป็นเช่นนั้นเอง (อิทัปปัจจยตา) หรืออย่างท่าน ว.วชิรเมธีที่ว่า 'ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน' มันเป็นการปรับตัวของสายธารกรรมที่มันพันกันอยู่ให้มันเข้าที่และไหลไปได้ลื่นขึ้น และมันเป็นแค่การไหลของเส้นชะตา ที่เราไม่คุ้นตา จนต้องด่าและสาปแช่งมัน จนเป็นการกระโดดเข้าไปร่วมรับกรรมตรงนั้นจากการที่เอาอารมณ์และพลังลบไปเกี่ยวข้องและเกิดเป็นกรรมบันทึกอยู่ในเจตสิกเพื่อมาไหลบนเส้นทางนี้ต่อ
ถามว่า ถ้าไม่มีคนทำผิดแบบนี้ ตำรวจจะมีงานทำไหม? ตำรวจคงไม่มียศ มีตำแหน่ง หรือผลงานเลื่อนขั้นไปอวดเบ่งเซ้นไหว้ มอบหมายภาระ ยกย่องชื่อชั้นกันอย่างที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้ คงจะมีก็แต่ตำรวจจราจร เช่นกัน ทุกอย่างมันอยู่ได้เพราะมันมีคู่ ความดีจะอยู่ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีความเลว ทั้งสองจับคู่เกี่ยวก้อยกันมาอย่างยาวนาน การจะไปหลับหูหลับตาแยกทั้งสองออกจากกันดูจะเป็นเรื่องที่ทุกข์ใจดูไม่ใช่น้อยเลยใช่ไหมละ? นี่แหละที่วาทกรรมคำว่า 'รู้เท่าทัน' จึงมีบังเกิด คือปล่อยสายธารที่มันไหลอยู่นั้น ให้มันไหลไปอย่างรู้เท่าทันดีกว่าไหม? ให้ชาวโลกเขาจัดการไปตามสมมุติสัจจะ ผิดก็ว่าไปตามกฏ เข้าไปรับกรรมตามกฏหมายทางโลก ที่ก็ไม่ใช่อะไรนอกจากสายธารหนึ่งที่ไหลมาอย่างมีเหตุผลและไหลไปเพื่อให้รหัสวิบากกรรมมันมีที่ลงและไปต่อตามรหัสแต่ละอันเท่านั้นเอง แต่กฏแห่งกรรมนั้นจะว่ามีอยู่จริง ก็จริงๆก็ไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างมันไหลไปตามสายธารแห่งเส้นชะตา ที่หาต้นต่อและปลายสุดไม่ได้
ท่านเลี้ยงดูเราด้วยความรัก นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ที่จริงกว่าคือ ท่านถูกกิเลสความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ครอบงำ กลายเป็นกรรมของเผ่าพันธุ์และตระกูลไป
บางทีผู้เข่นฆ่าผู้อื่นนั้นอาจจะเป็นฮีโร่ที่มาช่วยให้ตระกูลเขาหลุดจากวิบากตรงนี้ เพื่อให้เข้าสู่เส้นทางใดทางหนึ่งอันเอื่อต่อการรับการมาจุติใหม่ของท่านศากยมุนีองค์ถัดไปก็เป็นได้ ใครจะรู้ หรือไปรู้ละ แค่เข้าใจไว้ว่า 'มันเป็นเช่นนั้นเอง' และปล่อยให้สมมุติสัจจะทางโลกไหลไปอย่างธรรมดาโดยไม่เอาอารมณ์อันเกลียดชัง โดยการพยายามแยกความดีและเลวออกจากกัน ดีก็อยู่ส่วนดี เลวก็อยู่ส่วนเลว มันเป็นเรื่องที่ยากและทุกข์ใจ เราก็แค่มองว่า มันไม่มีความดีและเลว 'ทุกอย่างเป็นแค่ปรากฏการณ์ที่อยู่ในการไหลเลื่อนเคลื่อนตัวอยู่ตลอดของปัจจัยและปรากฏการณ์ต่างๆของสายธารแห่งจิต'
ทั้งหมดทั้งมวลคือแค่จะให้รู้ทันเหตุการณ์และเข้าใจว่า 'มันเป็นเช่นนั้นเอง' ได้ง่ายขึ้นอีก 0.9%
การได้ดวงตาเห็นธรรมไม่จำเป็นต้องเห็นแบบนี้ แต่นี่คือหนึ่งในมโนจิตที่ได้มาจากจิตอันสงบและเป็นธรรมะ ธรรมชาติ เท่านั้น เท่านี้ ก็ เช่นนี้ เช่นนั้นเอง
ถ้าเราเห็นว่าธรรมมะข้อนี้สวยงามน่ายกย่อง = ไม่เห็น
ถ้าเราเห็นว่าธรรมมะข้อนี้เลอะเทอะ เป็นภัย = ไม่เห็น
ถ้าเราไม่เห็นว่าธรรมมะข้อนี้นั้นมันมีสาระสำคัญหรือมองไม่เห็นว่ามันมีตัวตนอย่างที่มันมีแบบโลกๆ = เห็น
เมื่อไม่เห็น ก็ จะเห็น