คิดอยู่หลายวันอยากหาที่บ่นในชีวิต อยากมาเล่าความอึดอัดในชีวิตบ้างไม่ค่อยได้เล่าเลยเพราะคนไม่ค่อยกล้าเปิดใจรับฟังกันมากเท่าไหร่ เพราะคนอื่นเขาจะมองว่าคิดลบหวะ จริงๆชีวิตเรามันเจอขนาดนี้ ไม่คิดลบนี่ต้องโลกสวยขนาดไหน ก็คิดไม่ออกนะเหมือนกันนะ มันไม่ใช่ทุกคนจะสมหวังหรือได้มาง่ายๆ แต่จะไม่ให้คิดลบเลยคงเป็นไปไม่ได้ แค่เรามีวิธีจัดการความคิดในแบบของเรา
พอถึงเวลาวาเลนไทน์กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วสำหรับความโสด คือตอนพ้นช่วงนี้ไปเราก็จะลืมๆแล้วเหม่อๆกลับไปใช้ชีวิตตัวคนเดียวเป็นเดือนๆแบบลืมๆ ผ่านไปนานๆ โห โสดนานถึง 3 ปีเลยนะ โหยหานะ แต่ไม่ได้แบบต้องดิ้นรนพยายามหาอย่างเป็นบ้าเหมือนแต่ก่อน เพราะให้เวลากับตัวเองจนสร้าง comfort zone ที่เราทำมาไว้ให้ตัวเองอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ จนรู้สึกไม่ได้มองหาคนคบหาจริงๆ
หลังจากหมกตัวใช้ชีวิตเยียวยาตัวเองให้รู้สึกสู้ต่อไปได้ ปีกว่าๆเลย เพราะผมเจอคนเยอะเกินไป จนเก็บมาคิดมาก พยายามปรับเปลี่ยนตัวเอง เข้าใจคนแบบนั้น นิสัยแบบนี้มากเกินไป จนกลายเป็นว่า มันวิ่งกลับมาตีหน้าตัวเอง เหมือนเราได้แค่พยายามเข้าใจคนอื่นฝ่ายเดียว แต่คิดดีๆแล้ว เอาจริงๆไม่มีใครพยายามเข้าใจ คนสไตล์เราเลยจริงๆ เป็นเพียงซัมวันที่ พยายามเข้ามาเปลี่ยนเราก็เพื่อผลประโยชน์ของเขาสะส่วนมากกว่า มีคนแนะนำว่าอาจจะเพราะใช้ชีวิตดูรวยเกินหน้าเกินตาไง ต้องปิดๆบ้างผมก็คิดว่างั้นมั้งเลยต้องหมกโปรไฟล์ตัวเองบ้าง ไม่ขายเยอะพยายามทำตัวเงียบๆ ก็กลายเป็นเมินกันไปเลย555 คิดว่าเป็นพวกธรรมดาๆ
พอปรับมากๆก็ติดกับดัก "ปรับตัวตามคนอื่นจนท้อแท้จนไม่อยากจะสนใจมนุษย์อีกแล้ว" คิดงี้เป็นปีๆเลยนะครับ เจอคิดแบบนี้อีกแล้ว อีกแล้ว เจอมากๆ เบื่อครับ มันน่าเบื่อเกินไป ผมก็เลยหายตัวไปจากหลายๆที่ ประกอบ โควิดมันหนัก แล้วชีวิตก็วิ่งเข้าสู่การ WFH ตลอดไป จังหวะมันดีจริงๆ ก็หายออกจากวงโคจรไปเลย
พอถึงวัย 28 แล้ว มันไม่ตลกเลยหละเอาจริงเมื่อพอโควิดซา หลายๆอย่างเริ่มจะ กลับมาปกติ แพลนแต่งงานรอบๆตัวก็ ผุดกันรัวๆ บนหน้าโซเชียลผมก็ทุกเดือนแล้วนะ บางคนลูก 1 จะเข้าอนุบาลได้แล้วนะ ตอนนี้มานั่งดูรายชื่อคนที่เรารู้จักเขา เขารู้จักเรา เป็นสาวโสด อยู่ใกล้ๆกัน ตอนนี้เหลือแบบที่ รวมนิ้วมือและเท้าก็พอจะนับได้ แล้วไม่ใช่สเปคเราทุกคน 555 สรุปคือ ช่องทางโซเชียลส่วนตัว ตอนนี้ปิดเงียบเป็นป่าช้าไปแล้ว เอาไว้ตามข่าวเศรษฐกิจ หนัง และ เกมส์ อย่างเดียว แทบไม่ได้แอดหรือรู้จักใครเพิ่มอีกแล้ว ช่องทางนี้ก็เลยใช้ไม่ได้อีกแล้วเหมือนแต่ก่อน
ตอนนี้คิดว่าพร้อมแหละนะ พักนี้ผมพยายามเปิดใจ ลองออกไปตามหาอีกครั้ง แบบระวังตัวกว่าแต่ก่อนเยอะเลย ไม่ไปหนักสุ่มๆแล้ว
ก็เลยลองคิดลองรีเสริชดูแล้วก็ออกค้นหา เพราะได้ยินพรายกระซิบว่า chilling house coco walk จะเป็นร้านที่คนสไตล์นี้ๆไปกัน แต่พอถึงหน้าร้านจริงๆ
พอเรามอง target จริงๆ โอเครหน้าตาโหงวเฮ้ง บางอย่าง น่าจะใช่แบบที่พรายกระซิบบอก แนวคิดน่าจะได้ แต่ผมรู้สึกว่า มันไม่ใช่ไม่ได้ดีแบบที่คิดหลอก 555 อย่าไปยุ่งกับไฟไรงี้ เพลอๆ นี่ยังไม่นับผู้ชายรอบๆร้านที่ผมมองก็รู้ว่ามันมาเพื่ออะไรเวลาเดินผ่าน ผมสังเกตุแค่ eye contract มองดูโต๊ะข้างๆ รอบๆ เป้าหมายในใจเรา ผมรู้เลยว่า เนี้ยมันมีคนคิดไม่ซื่ออยู่นะนะ 555 ถึงจะมองว่ามันก็อาจจะมาหาเหมือนกันไง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดแบบนี้ จากการแต่งตัว การวางมาด การเหล่บ่อย ชัดสุดคือสกิดแขนเพื่อนแล้วมองชี้บอกเพื่อนว่าดูๆ ผมรู้จากการกระทำพวกนี้หละ เขารอแค่จังหวะ สบตากลับกันว่า เอ้ยผมสนใจคุณนะแล้วสบตากลับแปลว่า มันต้องบวกแล้วไหมหละ ก็อยู่ที่ว่าใจพอไหม 555 ก็อาจจะได้คอนเน็คชั่นกลับบ้านแหละ
ผมชอบใช้ eye contact ตลอด ตั้งแต่ทำกิจกรรมมหาลัยจนถึงเวลาออกไปเข้าสังคม เวลาเป็นคนจัดงานแบบเป็นหัวหน้าคุมน้องๆ แล้วยืนดูความเรียบร้อยงาน สิ่งนี้คือสำคัญมากๆ มันจะทำให้เรารับรู้อะไรหลายๆอย่างได้ไว เร็ว แล้วจะวิ่งเข้าชาร์จปัญหาได้ไวกว่า ทุกวันนี้สกิลนี้ถือว่าเป็น soft skill สำคัญในการทำงานด้วย
พยายามจะไปบ่อยขึ้นนะ ก็กลับมาเหมือนเดิม แต่ผมไปคนเดียวครับ เพื่อนๆไม่ใช่สายดิ้งค์แบบนี้ก็เลยต้องไปคนเดียว บวกคนเดียวโดยที่ไม่ได้ชวนเพื่อนคนอื่นอีกแล้ว บ่อยมาก ตามเล้าท์ ตามผับไหนก็ตามที่เราจะรู้ว่า มันมีโซนส่วนตัว หน้าเค้าเตอร์ ให้เรานั่งคนเดียวได้ไม่เบียดใคร เราจะไปของเราคนเดียว เพื่อนถึงกับถามไปกับใครวะ กับสาวแน่ๆ ก็บอกไปตรงๆว่า ไปคนเดียวจริงๆ ดูรูปไหมหละ ถ่ายส่งเลยตอนนั้น มันบอกกลับ สุดเกิน ใจแม้งดิบเกินไป ทุกคนจะชอบเข้าใจเราผิดๆกัน คิดว่าเราไปเดทแน่ๆกับสาวๆ ไปกับคนนั้นคนนี้ ความเป็นจริงอะครับมันง่ายกว่าที่คิด มันมีคนบ้าๆแบบผมนี่หละเขาไปไม่คิดกันหลอกว่าต้องไปกับใคร ใจมันอยากไปบ่นในใจก็ไป ไปนั่งร้านเหล้าคนเดียวเราจะมีโอกาศได้คิด ได้ทบทวนตัวเองเยอะครับ พร้อมกับให้คุณได้มองคนรอบข้าง ได้ศึกษา ได้เงียหูฟังเรื่องราวชาวบ้าน ได้เปิดโอกาศว่าเพื่อมันจะเจอคนมานั่งข้างๆที่มันก็เป็น SOLO เหมือนกัน จะมานั่งคุยกันเป็นเพื่อนกันได้
จริงๆ มีนะคนคุยจีบๆจากร้านเหล้ากลับมานะจากการนั่งแบบนี้ แต่มันไม่บ่อยนัก แต่พอได้คอนแทรคกลับมาคุยจริงๆ มันก็ไม่ได้คลิ๊กหรืออยากเจอหน้าอยากชวนเราออกไปขนาดนั้น เพราะเราก็ introvert ใช่ว่าจะไปได้ทุกที่ก็ปฏิเสธตรงๆ ไปแค่ที่เราชอบจริงๆถึงจะไป ประกอบกับดู extrovert มากๆ เวลาคุยกันไปไหนมาไหนเขาก็ กินหรู อยู่แพง กินดื่มในชีวิตก็ ออกที 2000 - 6000 พัน เสมอ เดือนๆหนึ่งใช้เงินราวๆ 3-4 หมื่นบาท หมดไปกับการเที่ยวนี่หละ
นอกนั้นคือคนอกหักมาหวังพึ่งร้านเหล้าเหม่อๆ ใจไม่แข็งเหมือนกันก็ไม่มาหลอก แล้วก็ไม่ได้เปิดใจไปก็ไม่ได้คุยยาวนานสนิทใจขนาดนั้น สุดท้ายก็หายเงียบๆ โผล่มาอีกทีในสตอรี่ เปิดตัวแต่งงานเฉย งงดี้ 555 แปลว่ามีคนในใจแหละ ดีละที่คิดไว้ว่าเขาไม่ได้ชอบเราจริงๆหลอก ไม่งั้นคงทักมาบ่อยกว่านี้ เขามีซัมวันในใจมาแล้ว แค่มาพึ่งสถานที่ฮีลเงียบๆเฉยๆ
นอกนั้นมีคนบอกให้เรียนโท เพื่อหาแฟน หาคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ผมก็ห๊ะๆ เอางั้นเลยหรอ แต่ยอมรับจริงไม่เถียงแล้ว คนได้เรียนโทมหาลัยดีๆ โปรไฟล์ก็ดีจริงสมราคาค่าเทอมเลย และการจบสูงเลย ถึงขั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าไม่ได้มาเรียนเพื่อเอาคอนเน็คชั่น อย่าเรียน มีโอกาศได้รู้จักจากเพื่อนนะ แต่ก็เป็นคนไฮแพสชั่นเหมือนกัน มีโอกาศได้รู้จักจากเพื่อนนะ ถ้าสเปคไม่ตรงก็ไม่คบง่ายหลอก เตาะไปก็เสียเวลาเลยหละ ส่วนใหญ่ก็หาคนฐานะเดียวกันกับเขา ก็นักธุรกิจหนะครับ เราโปรไฟล์บ้านๆเกินไปสำหรับเขา ถึงแม้เงินเดือนจะดูสูงกว่าปกติหน่อยนะแต่ก็ยังน้อยกว่าที่เขาคาดหวังอยู่ดี แถมโปรไฟล์คนมาเตาะก็ดูดีเยอะมาก ก็คนจากคอนเน็คชั่น ป.โท เขานั่นแหละครับ พอมาเจอกันโปรไฟล์ดีฐานะดีมีตังเรียน ป.โทได้ มันก็จะดึงคนฐานะเท่ากันมาใกล้กันมากขึ้น แต่ก็ยากเหมือนกัน พอเราเป็นคนนอกที่ไม่ได้เรียนโท การจะทำโปรไฟล์ให้วิ่งเข้าไปมีคอนเน็คชั่นได้เนี้ย ยากนะครับ เพราะคนเรียนโท มันจะยุ่งจนไม่ค่อยว่าง บ้างก็มีแฟนแล้วแต่หมางเมินเพราะว่าเรียน + ทำงานมันยุ่ง
มันเลยไม่มีช่องให้เข้าได้ง่ายๆอย่างที่คิด ถ้าไม่มีคนพาเข้า แล้วเราก็มีคนรู้จักที่เรียนยัน ป.เอก แค่คนเดียวก็ไม่ได้สนิทถึงขั้น แนะนำให้ได้ขนาดนั้น เพราะเพื่อนก็คิดเหมือนกันว่า ถ้าแนะนำไปแล้วมันไม่คลิ๊ก มันจะเหม็นหน้ากัน ระหว่างเพื่อนในชั้นเรียน ผมก็อืม makesense ไม่เถียง ก็จริงแหละ ผมเลยก็หงอยๆหน่อย
ส่วนพวก app หาคู่ tinder kooup omi ผมไม่เชียร์มันละ พอมิจฉาชีพมันระบาด + กับกลิ่นหลายๆอย่างมันเหม็นทำให้แอปพวกนี้ไม่ใช่ช่องทางที่ดีในการหาคนคบหาแล้วครับช่วงนี้ กลับเจอพวกหาอย่างว่าถ้าเป็นฝั่งผู้ชาย กระเทยสาวสองนัด...ระบาดหนักแบบรู้สึกว่า หนักกว่าก่อนเยอะครับ ถึงขั้นไม่เข้าเลยเป็นเดือนสองเดือน สมัคเสียตังไว้ มันไม่มีคนกดไลค์เลยนะ คงเพราะนิสัยถ่ายรูปตัวเองไม่เป็น ประกอบโปรไฟล์ไม่ว้าวพอ เท่าพวกมิจฉาชีพ และ นักล่าคู่นอน มันก็เลยไม่มีใครคลิ๊ก ปกติแหละ
ร้านบอร์ดเกมส์ หรือ สถานที่ปาร์ตี้แบบ เรียกว่าไง กิจกรรมแบบพวก ต้องมาเป็นกลุ่มๆ จริงๆมันมีนะครับ แต่ 555 การที่คุณจะเข้าไปบวกตรงๆหรืออ้อมๆ โดยที่ target ที่เราคิดว่าชอบแหละ แต่เขามากับเพื่อน การบวกตรงๆไม่ใช่อะไรที่ดีอย่างที่หลายๆคนคิด เพราะว่าบรรยากาศมันจะอึมคึมทันทีถ้าคุณเข้าไม่ถูกต้อง เพราะมันจะมีการเม้ามอยซุบซิบแบบ งงงง คนนั้นเขามาขอไลน์แหละเอาไงดีวะ ให้ดีไหม แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่า การจะใช้สถานที่ open แบบนี้ ถ้าเบ้าหน้าไม่เจ๋งจริง จังหวะไม่อำนวย อย่าเด็ดขาด แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้นะเดยลองแล้วแต่ยังไม่เวริค แล้วจังหวะก็ยากจริงๆ นั่ง eye contact วนไปครับ มุขนี้ใช้เช็คได้เสมอ
นอกนั้นสถานที่อื่นเหมือนกำดวงอย่างเดียวสภาพไม่ค่อยแตกต่างจากร้านบอร์ดเกมส์ ชีวิตมันก็มีเรื่องยุ่งยากเสมอเนอะครับมันจะเจออะไรแบบนี้ซ้ำๆบ่อยมากๆจนบางทีก็ทำให้เรากลับไปปิดใจ เก็บตัวบ่อยครั้ง
ผมก็ยังคงเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกปกติของคนอื่นเท่าไหร่หลอก ถึงจะมองว่าออกไปใช้ชีวิตมาหลากหลายมากๆ ทุกวันนี้ใช้ความเข้าใจแบบมีหลักการมีเหตุผลว่า ถ้าเป็นเขาก็คงรู้สึกประมาณแบบนี้มั้ง แค่นั้นจริงๆ แต่กับเราก็ไม่ได้รู้สึกเท่าคนพวกนั้นจริงๆ เพราะเราก็ไม่ได้คิดเหมือนคนปกติเหมือนเดิม แต่ยังคงเป็นคอมพิวเตอร์เวอร์ชั่นมนุษย์นี่หละ มันก็ไม่ใช่ว่าเราจะคุยกับใครแล้วคบเลยแบบสมมุติเจอคนแบบ ก็โปรไฟล์บ้านๆที่เราเจอได้ง่ายเวลาไปทำงานออฟฟิศ เช่น แผนกเล็กๆ เงินเดือน 1-2 หมื่น ชอบกินเที่ยวช็อปใช้ดื่ม หวังแค่รอคนมาเติมเต็ม แต่ตัวเองกับไม่พัฒนาอะไรเพื่อให้เจอคนนั้นเลย ผมรู้สึกมันไม่ได้น่าสนใจอะไรเลย ผมมองแล้วเหมือนมองอากาศ มองแบบคอมพิวเตอร์ทันที
เพราะผมติดนิสัยเวลาผมอยากเจอคนแบบไหน ผมจะพยายามทำตัวให้ดีขึ้นๆ เรื่อยๆ ถึงเราจะยังไม่มีเป้าหมายในชีวิตว่าคนๆคือใคร แต่ก็จะทำเพื่อตัวเองเอาไว้ก่อนอย่างน้อยมันก็ดีกับตัวเอง มีเงินมีนั่นนี่ใช้ไม่ขาด มีอนาคตของตัวเองถึงจะอยู่คนเดียวจริงๆ ก็อยู่ได้สบายๆ จนวันหนึ่งเราก็ทำมันจนชินจนลืม เราก็อยู่สูงกว่าคนปกติไปเลยจริงๆ เคยถามเพื่อนๆว่า จริงๆตัวเมิงตอนนี้อะ เทียบกับคนอื่นคือ มาไกลเกินนะ เงินเดือนก็มากกว่า 2-3 เท่า โปรไฟล์ไม่ใช่ว่าจะหาแฟนยากเลย แต่ก็เข้าใจความคิดเมิงนะ เป็นกุถ้ามันเจอตัวปัญหาเราก็ไม่อยากได้เหมือนกัน คบแล้วเลิก แล้วเลิก วนไป พึ่งจะมาปรับตัวกันแบบ จากที่ไม่เคยดีอะไรเลยแล้วค่อยมาตามบ่นตามปรับกันหลังคบ มันก็เหนื่อย คิดง่ายๆ แค่ในมุมมองเขาแต่เป็นตัวเราคิดแทน มันก็เหมือนเราพยายามบีบบังคับคนอื่นให้เปลี่ยนอะครับ ก็เหมือนกับเราที่โดนคนอื่นพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นตามที่เขาต้องการ แต่กับตัวเรามันอาจจะเปลี่ยนนิดเดียว กับเขานี่อาจจะเรื่องใหญ่เลย เพราะเราเตรียมตัวมาพร้อมกว่าคนปกติเยอะมากๆ
มันก็ makesense พอคิดงี้ทีไรผมก็จะรู้สึกปลงแล้วไม่ได้ซีเรียสกับคนเหล่านี้ มีแต่ผมและผมในสมองเสมอที่ยังติดนิสัยปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นเสมอ
มันเหนื่อยนะครับถึงจะมองว่าชีวิตดูสบายดูง่ายๆชิวๆก็จริง ดูน่าอิจฉา มันก็ไม่ได้ราบรื่นหลอกในปัญหาที่เราเองก็ยังจนปัญญาจะจัดการ มันมีหลายๆด้านที่ไม่ใช่เรื่องเงินทองหรืองานเหมือนคนอื่นเขา แต่เป็นปัจจัยภายนอกเท่านั้นที่เราจัดการไม่ได้ เราแค่โฟกัสแค่ไม่กี่เรื่องลดน้อยลงเรื่อยๆกว่าแต่ก่อน เพราะเราไม่ใช่คนที่จะนิ่งแล้วอยู่กับ comfort zone ไปตลอด ก็ยังรุ้สึกว่าเหมือนติดกับดักอยู่บางอย่าง
โลกข้างนอกจริงๆไม่ได้ใจดีกับคนสาย introvert ขนาดนั้นจริงๆ
มาเล่าเรื่องราวความ "เหนื่อย" ของตัวเองก่อนวาเลนไทน์ครับ
พอถึงเวลาวาเลนไทน์กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วสำหรับความโสด คือตอนพ้นช่วงนี้ไปเราก็จะลืมๆแล้วเหม่อๆกลับไปใช้ชีวิตตัวคนเดียวเป็นเดือนๆแบบลืมๆ ผ่านไปนานๆ โห โสดนานถึง 3 ปีเลยนะ โหยหานะ แต่ไม่ได้แบบต้องดิ้นรนพยายามหาอย่างเป็นบ้าเหมือนแต่ก่อน เพราะให้เวลากับตัวเองจนสร้าง comfort zone ที่เราทำมาไว้ให้ตัวเองอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ จนรู้สึกไม่ได้มองหาคนคบหาจริงๆ
หลังจากหมกตัวใช้ชีวิตเยียวยาตัวเองให้รู้สึกสู้ต่อไปได้ ปีกว่าๆเลย เพราะผมเจอคนเยอะเกินไป จนเก็บมาคิดมาก พยายามปรับเปลี่ยนตัวเอง เข้าใจคนแบบนั้น นิสัยแบบนี้มากเกินไป จนกลายเป็นว่า มันวิ่งกลับมาตีหน้าตัวเอง เหมือนเราได้แค่พยายามเข้าใจคนอื่นฝ่ายเดียว แต่คิดดีๆแล้ว เอาจริงๆไม่มีใครพยายามเข้าใจ คนสไตล์เราเลยจริงๆ เป็นเพียงซัมวันที่ พยายามเข้ามาเปลี่ยนเราก็เพื่อผลประโยชน์ของเขาสะส่วนมากกว่า มีคนแนะนำว่าอาจจะเพราะใช้ชีวิตดูรวยเกินหน้าเกินตาไง ต้องปิดๆบ้างผมก็คิดว่างั้นมั้งเลยต้องหมกโปรไฟล์ตัวเองบ้าง ไม่ขายเยอะพยายามทำตัวเงียบๆ ก็กลายเป็นเมินกันไปเลย555 คิดว่าเป็นพวกธรรมดาๆ
พอปรับมากๆก็ติดกับดัก "ปรับตัวตามคนอื่นจนท้อแท้จนไม่อยากจะสนใจมนุษย์อีกแล้ว" คิดงี้เป็นปีๆเลยนะครับ เจอคิดแบบนี้อีกแล้ว อีกแล้ว เจอมากๆ เบื่อครับ มันน่าเบื่อเกินไป ผมก็เลยหายตัวไปจากหลายๆที่ ประกอบ โควิดมันหนัก แล้วชีวิตก็วิ่งเข้าสู่การ WFH ตลอดไป จังหวะมันดีจริงๆ ก็หายออกจากวงโคจรไปเลย
พอถึงวัย 28 แล้ว มันไม่ตลกเลยหละเอาจริงเมื่อพอโควิดซา หลายๆอย่างเริ่มจะ กลับมาปกติ แพลนแต่งงานรอบๆตัวก็ ผุดกันรัวๆ บนหน้าโซเชียลผมก็ทุกเดือนแล้วนะ บางคนลูก 1 จะเข้าอนุบาลได้แล้วนะ ตอนนี้มานั่งดูรายชื่อคนที่เรารู้จักเขา เขารู้จักเรา เป็นสาวโสด อยู่ใกล้ๆกัน ตอนนี้เหลือแบบที่ รวมนิ้วมือและเท้าก็พอจะนับได้ แล้วไม่ใช่สเปคเราทุกคน 555 สรุปคือ ช่องทางโซเชียลส่วนตัว ตอนนี้ปิดเงียบเป็นป่าช้าไปแล้ว เอาไว้ตามข่าวเศรษฐกิจ หนัง และ เกมส์ อย่างเดียว แทบไม่ได้แอดหรือรู้จักใครเพิ่มอีกแล้ว ช่องทางนี้ก็เลยใช้ไม่ได้อีกแล้วเหมือนแต่ก่อน
ตอนนี้คิดว่าพร้อมแหละนะ พักนี้ผมพยายามเปิดใจ ลองออกไปตามหาอีกครั้ง แบบระวังตัวกว่าแต่ก่อนเยอะเลย ไม่ไปหนักสุ่มๆแล้ว
ก็เลยลองคิดลองรีเสริชดูแล้วก็ออกค้นหา เพราะได้ยินพรายกระซิบว่า chilling house coco walk จะเป็นร้านที่คนสไตล์นี้ๆไปกัน แต่พอถึงหน้าร้านจริงๆ
พอเรามอง target จริงๆ โอเครหน้าตาโหงวเฮ้ง บางอย่าง น่าจะใช่แบบที่พรายกระซิบบอก แนวคิดน่าจะได้ แต่ผมรู้สึกว่า มันไม่ใช่ไม่ได้ดีแบบที่คิดหลอก 555 อย่าไปยุ่งกับไฟไรงี้ เพลอๆ นี่ยังไม่นับผู้ชายรอบๆร้านที่ผมมองก็รู้ว่ามันมาเพื่ออะไรเวลาเดินผ่าน ผมสังเกตุแค่ eye contract มองดูโต๊ะข้างๆ รอบๆ เป้าหมายในใจเรา ผมรู้เลยว่า เนี้ยมันมีคนคิดไม่ซื่ออยู่นะนะ 555 ถึงจะมองว่ามันก็อาจจะมาหาเหมือนกันไง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดแบบนี้ จากการแต่งตัว การวางมาด การเหล่บ่อย ชัดสุดคือสกิดแขนเพื่อนแล้วมองชี้บอกเพื่อนว่าดูๆ ผมรู้จากการกระทำพวกนี้หละ เขารอแค่จังหวะ สบตากลับกันว่า เอ้ยผมสนใจคุณนะแล้วสบตากลับแปลว่า มันต้องบวกแล้วไหมหละ ก็อยู่ที่ว่าใจพอไหม 555 ก็อาจจะได้คอนเน็คชั่นกลับบ้านแหละ
ผมชอบใช้ eye contact ตลอด ตั้งแต่ทำกิจกรรมมหาลัยจนถึงเวลาออกไปเข้าสังคม เวลาเป็นคนจัดงานแบบเป็นหัวหน้าคุมน้องๆ แล้วยืนดูความเรียบร้อยงาน สิ่งนี้คือสำคัญมากๆ มันจะทำให้เรารับรู้อะไรหลายๆอย่างได้ไว เร็ว แล้วจะวิ่งเข้าชาร์จปัญหาได้ไวกว่า ทุกวันนี้สกิลนี้ถือว่าเป็น soft skill สำคัญในการทำงานด้วย
พยายามจะไปบ่อยขึ้นนะ ก็กลับมาเหมือนเดิม แต่ผมไปคนเดียวครับ เพื่อนๆไม่ใช่สายดิ้งค์แบบนี้ก็เลยต้องไปคนเดียว บวกคนเดียวโดยที่ไม่ได้ชวนเพื่อนคนอื่นอีกแล้ว บ่อยมาก ตามเล้าท์ ตามผับไหนก็ตามที่เราจะรู้ว่า มันมีโซนส่วนตัว หน้าเค้าเตอร์ ให้เรานั่งคนเดียวได้ไม่เบียดใคร เราจะไปของเราคนเดียว เพื่อนถึงกับถามไปกับใครวะ กับสาวแน่ๆ ก็บอกไปตรงๆว่า ไปคนเดียวจริงๆ ดูรูปไหมหละ ถ่ายส่งเลยตอนนั้น มันบอกกลับ สุดเกิน ใจแม้งดิบเกินไป ทุกคนจะชอบเข้าใจเราผิดๆกัน คิดว่าเราไปเดทแน่ๆกับสาวๆ ไปกับคนนั้นคนนี้ ความเป็นจริงอะครับมันง่ายกว่าที่คิด มันมีคนบ้าๆแบบผมนี่หละเขาไปไม่คิดกันหลอกว่าต้องไปกับใคร ใจมันอยากไปบ่นในใจก็ไป ไปนั่งร้านเหล้าคนเดียวเราจะมีโอกาศได้คิด ได้ทบทวนตัวเองเยอะครับ พร้อมกับให้คุณได้มองคนรอบข้าง ได้ศึกษา ได้เงียหูฟังเรื่องราวชาวบ้าน ได้เปิดโอกาศว่าเพื่อมันจะเจอคนมานั่งข้างๆที่มันก็เป็น SOLO เหมือนกัน จะมานั่งคุยกันเป็นเพื่อนกันได้
จริงๆ มีนะคนคุยจีบๆจากร้านเหล้ากลับมานะจากการนั่งแบบนี้ แต่มันไม่บ่อยนัก แต่พอได้คอนแทรคกลับมาคุยจริงๆ มันก็ไม่ได้คลิ๊กหรืออยากเจอหน้าอยากชวนเราออกไปขนาดนั้น เพราะเราก็ introvert ใช่ว่าจะไปได้ทุกที่ก็ปฏิเสธตรงๆ ไปแค่ที่เราชอบจริงๆถึงจะไป ประกอบกับดู extrovert มากๆ เวลาคุยกันไปไหนมาไหนเขาก็ กินหรู อยู่แพง กินดื่มในชีวิตก็ ออกที 2000 - 6000 พัน เสมอ เดือนๆหนึ่งใช้เงินราวๆ 3-4 หมื่นบาท หมดไปกับการเที่ยวนี่หละ
นอกนั้นคือคนอกหักมาหวังพึ่งร้านเหล้าเหม่อๆ ใจไม่แข็งเหมือนกันก็ไม่มาหลอก แล้วก็ไม่ได้เปิดใจไปก็ไม่ได้คุยยาวนานสนิทใจขนาดนั้น สุดท้ายก็หายเงียบๆ โผล่มาอีกทีในสตอรี่ เปิดตัวแต่งงานเฉย งงดี้ 555 แปลว่ามีคนในใจแหละ ดีละที่คิดไว้ว่าเขาไม่ได้ชอบเราจริงๆหลอก ไม่งั้นคงทักมาบ่อยกว่านี้ เขามีซัมวันในใจมาแล้ว แค่มาพึ่งสถานที่ฮีลเงียบๆเฉยๆ
นอกนั้นมีคนบอกให้เรียนโท เพื่อหาแฟน หาคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ผมก็ห๊ะๆ เอางั้นเลยหรอ แต่ยอมรับจริงไม่เถียงแล้ว คนได้เรียนโทมหาลัยดีๆ โปรไฟล์ก็ดีจริงสมราคาค่าเทอมเลย และการจบสูงเลย ถึงขั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าไม่ได้มาเรียนเพื่อเอาคอนเน็คชั่น อย่าเรียน มีโอกาศได้รู้จักจากเพื่อนนะ แต่ก็เป็นคนไฮแพสชั่นเหมือนกัน มีโอกาศได้รู้จักจากเพื่อนนะ ถ้าสเปคไม่ตรงก็ไม่คบง่ายหลอก เตาะไปก็เสียเวลาเลยหละ ส่วนใหญ่ก็หาคนฐานะเดียวกันกับเขา ก็นักธุรกิจหนะครับ เราโปรไฟล์บ้านๆเกินไปสำหรับเขา ถึงแม้เงินเดือนจะดูสูงกว่าปกติหน่อยนะแต่ก็ยังน้อยกว่าที่เขาคาดหวังอยู่ดี แถมโปรไฟล์คนมาเตาะก็ดูดีเยอะมาก ก็คนจากคอนเน็คชั่น ป.โท เขานั่นแหละครับ พอมาเจอกันโปรไฟล์ดีฐานะดีมีตังเรียน ป.โทได้ มันก็จะดึงคนฐานะเท่ากันมาใกล้กันมากขึ้น แต่ก็ยากเหมือนกัน พอเราเป็นคนนอกที่ไม่ได้เรียนโท การจะทำโปรไฟล์ให้วิ่งเข้าไปมีคอนเน็คชั่นได้เนี้ย ยากนะครับ เพราะคนเรียนโท มันจะยุ่งจนไม่ค่อยว่าง บ้างก็มีแฟนแล้วแต่หมางเมินเพราะว่าเรียน + ทำงานมันยุ่ง
มันเลยไม่มีช่องให้เข้าได้ง่ายๆอย่างที่คิด ถ้าไม่มีคนพาเข้า แล้วเราก็มีคนรู้จักที่เรียนยัน ป.เอก แค่คนเดียวก็ไม่ได้สนิทถึงขั้น แนะนำให้ได้ขนาดนั้น เพราะเพื่อนก็คิดเหมือนกันว่า ถ้าแนะนำไปแล้วมันไม่คลิ๊ก มันจะเหม็นหน้ากัน ระหว่างเพื่อนในชั้นเรียน ผมก็อืม makesense ไม่เถียง ก็จริงแหละ ผมเลยก็หงอยๆหน่อย
ส่วนพวก app หาคู่ tinder kooup omi ผมไม่เชียร์มันละ พอมิจฉาชีพมันระบาด + กับกลิ่นหลายๆอย่างมันเหม็นทำให้แอปพวกนี้ไม่ใช่ช่องทางที่ดีในการหาคนคบหาแล้วครับช่วงนี้ กลับเจอพวกหาอย่างว่าถ้าเป็นฝั่งผู้ชาย กระเทยสาวสองนัด...ระบาดหนักแบบรู้สึกว่า หนักกว่าก่อนเยอะครับ ถึงขั้นไม่เข้าเลยเป็นเดือนสองเดือน สมัคเสียตังไว้ มันไม่มีคนกดไลค์เลยนะ คงเพราะนิสัยถ่ายรูปตัวเองไม่เป็น ประกอบโปรไฟล์ไม่ว้าวพอ เท่าพวกมิจฉาชีพ และ นักล่าคู่นอน มันก็เลยไม่มีใครคลิ๊ก ปกติแหละ
ร้านบอร์ดเกมส์ หรือ สถานที่ปาร์ตี้แบบ เรียกว่าไง กิจกรรมแบบพวก ต้องมาเป็นกลุ่มๆ จริงๆมันมีนะครับ แต่ 555 การที่คุณจะเข้าไปบวกตรงๆหรืออ้อมๆ โดยที่ target ที่เราคิดว่าชอบแหละ แต่เขามากับเพื่อน การบวกตรงๆไม่ใช่อะไรที่ดีอย่างที่หลายๆคนคิด เพราะว่าบรรยากาศมันจะอึมคึมทันทีถ้าคุณเข้าไม่ถูกต้อง เพราะมันจะมีการเม้ามอยซุบซิบแบบ งงงง คนนั้นเขามาขอไลน์แหละเอาไงดีวะ ให้ดีไหม แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่า การจะใช้สถานที่ open แบบนี้ ถ้าเบ้าหน้าไม่เจ๋งจริง จังหวะไม่อำนวย อย่าเด็ดขาด แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้นะเดยลองแล้วแต่ยังไม่เวริค แล้วจังหวะก็ยากจริงๆ นั่ง eye contact วนไปครับ มุขนี้ใช้เช็คได้เสมอ
นอกนั้นสถานที่อื่นเหมือนกำดวงอย่างเดียวสภาพไม่ค่อยแตกต่างจากร้านบอร์ดเกมส์ ชีวิตมันก็มีเรื่องยุ่งยากเสมอเนอะครับมันจะเจออะไรแบบนี้ซ้ำๆบ่อยมากๆจนบางทีก็ทำให้เรากลับไปปิดใจ เก็บตัวบ่อยครั้ง
ผมก็ยังคงเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกปกติของคนอื่นเท่าไหร่หลอก ถึงจะมองว่าออกไปใช้ชีวิตมาหลากหลายมากๆ ทุกวันนี้ใช้ความเข้าใจแบบมีหลักการมีเหตุผลว่า ถ้าเป็นเขาก็คงรู้สึกประมาณแบบนี้มั้ง แค่นั้นจริงๆ แต่กับเราก็ไม่ได้รู้สึกเท่าคนพวกนั้นจริงๆ เพราะเราก็ไม่ได้คิดเหมือนคนปกติเหมือนเดิม แต่ยังคงเป็นคอมพิวเตอร์เวอร์ชั่นมนุษย์นี่หละ มันก็ไม่ใช่ว่าเราจะคุยกับใครแล้วคบเลยแบบสมมุติเจอคนแบบ ก็โปรไฟล์บ้านๆที่เราเจอได้ง่ายเวลาไปทำงานออฟฟิศ เช่น แผนกเล็กๆ เงินเดือน 1-2 หมื่น ชอบกินเที่ยวช็อปใช้ดื่ม หวังแค่รอคนมาเติมเต็ม แต่ตัวเองกับไม่พัฒนาอะไรเพื่อให้เจอคนนั้นเลย ผมรู้สึกมันไม่ได้น่าสนใจอะไรเลย ผมมองแล้วเหมือนมองอากาศ มองแบบคอมพิวเตอร์ทันที
เพราะผมติดนิสัยเวลาผมอยากเจอคนแบบไหน ผมจะพยายามทำตัวให้ดีขึ้นๆ เรื่อยๆ ถึงเราจะยังไม่มีเป้าหมายในชีวิตว่าคนๆคือใคร แต่ก็จะทำเพื่อตัวเองเอาไว้ก่อนอย่างน้อยมันก็ดีกับตัวเอง มีเงินมีนั่นนี่ใช้ไม่ขาด มีอนาคตของตัวเองถึงจะอยู่คนเดียวจริงๆ ก็อยู่ได้สบายๆ จนวันหนึ่งเราก็ทำมันจนชินจนลืม เราก็อยู่สูงกว่าคนปกติไปเลยจริงๆ เคยถามเพื่อนๆว่า จริงๆตัวเมิงตอนนี้อะ เทียบกับคนอื่นคือ มาไกลเกินนะ เงินเดือนก็มากกว่า 2-3 เท่า โปรไฟล์ไม่ใช่ว่าจะหาแฟนยากเลย แต่ก็เข้าใจความคิดเมิงนะ เป็นกุถ้ามันเจอตัวปัญหาเราก็ไม่อยากได้เหมือนกัน คบแล้วเลิก แล้วเลิก วนไป พึ่งจะมาปรับตัวกันแบบ จากที่ไม่เคยดีอะไรเลยแล้วค่อยมาตามบ่นตามปรับกันหลังคบ มันก็เหนื่อย คิดง่ายๆ แค่ในมุมมองเขาแต่เป็นตัวเราคิดแทน มันก็เหมือนเราพยายามบีบบังคับคนอื่นให้เปลี่ยนอะครับ ก็เหมือนกับเราที่โดนคนอื่นพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นตามที่เขาต้องการ แต่กับตัวเรามันอาจจะเปลี่ยนนิดเดียว กับเขานี่อาจจะเรื่องใหญ่เลย เพราะเราเตรียมตัวมาพร้อมกว่าคนปกติเยอะมากๆ
มันก็ makesense พอคิดงี้ทีไรผมก็จะรู้สึกปลงแล้วไม่ได้ซีเรียสกับคนเหล่านี้ มีแต่ผมและผมในสมองเสมอที่ยังติดนิสัยปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นเสมอ
มันเหนื่อยนะครับถึงจะมองว่าชีวิตดูสบายดูง่ายๆชิวๆก็จริง ดูน่าอิจฉา มันก็ไม่ได้ราบรื่นหลอกในปัญหาที่เราเองก็ยังจนปัญญาจะจัดการ มันมีหลายๆด้านที่ไม่ใช่เรื่องเงินทองหรืองานเหมือนคนอื่นเขา แต่เป็นปัจจัยภายนอกเท่านั้นที่เราจัดการไม่ได้ เราแค่โฟกัสแค่ไม่กี่เรื่องลดน้อยลงเรื่อยๆกว่าแต่ก่อน เพราะเราไม่ใช่คนที่จะนิ่งแล้วอยู่กับ comfort zone ไปตลอด ก็ยังรุ้สึกว่าเหมือนติดกับดักอยู่บางอย่าง
โลกข้างนอกจริงๆไม่ได้ใจดีกับคนสาย introvert ขนาดนั้นจริงๆ