มรสุมชีวิต! ผัวเมียเครียดหนี้รุม ปลิดชีพฝ่ายหญิง 1 วัน ก่อนผูกคอตายตาม
https://www.dailynews.co.th/news/1956737/
ผัวเมียรุ่นใหญ่เมืองนนทบุรี ครองรักขายกาแฟเลี้ยงชีพ ระยะหลังขายไม่ออก ไม่มีค่าเช่าห้อง-ร้าน เครียดหนี้กองโต คาดสามีปลิดชีพภรรยาก่อนจัดแจงศพ 1 วัน แล้วค่อยผูกคอตายตาม
เมื่อช่วงค่ำวันที่ 2 ก.พ. ตำรวจ สภ.บางกรวย จ.นนทบุรี รับแจ้งพบผู้เสียชีวิต 2 ศพ ภายในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในซอยอุบลทิพย์ ต.บางกรวย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยแพทย์จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุเป็นอาคารสูง 4 ชั้น บริเวณห้องเลขที่ 9 ชั้น 3 พบผู้เสียชีวิตเป็นชายอายุ 68 ปี สภาพใช้ผ้าขาวม้าผูกคอตัวเองกับขื่อประตูห้องน้ำ เริ่มขึ้นอืด คาดเสียชีวิตมาประมาณ 24 ชั่วโมง ส่วนบนที่นอนพบศพหญิงอายุ 62 ปี สภาพนอนหงายขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็น ไม่สามารถตรวจสอบบาดแผลได้เนื่องจากสภาพศพเน่าเปื่อย คาดเสียชีวิตมาประมาณ 2 วัน และจากการตรวจสอบภายในห้องไม่พบร่องรอยการต่อสู้ จึงนำศพทั้งสองส่งชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้ง
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ทั้งสองเป็นชาว จ.นนทบุรี เป็นสามีภรรยากันมานานมีอาชีพขายกาแฟและน้ำปั่นอยู่ละแวกที่พัก ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันต่างคนต่างรักและดูแลกันและกันมาอย่างดีตลอด ก่อนเกิดเหตุ 2 วัน ฝ่ายชายเครียดระยะหลังขายของไม่ค่อยได้ไม่มีรายได้ ต้องเสียค่าเช่าห้อง ค่าเช่าร้าน จนต้องไปขอยืมเงินผู้ดูแลอพาร์ตเมนต์ ก่อนเกิดเหตุทั้งสองหายไปไม่มาขายกาแฟประมาณ 2 วัน กระทั่งมาพบเป็นศพเสียชีวิตดังกล่าว
เบื้องต้นสันนิษฐานว่า ทั้งสองเครียดเรื่องเงินทองหนี้สิน จึงตัดปัญหาชีวิตด้วยกัน คาดว่าฝ่ายชายอาจบีบคอหรืออุดจมูกฝ่ายหญิงจนเสียชีวิตก่อนและนั่งเฝ้าหรือจัดแจงศพก่อนประมาณ 1 วัน ก่อนจะใช้เชือกผูกคอตายตาม ส่วนสาเหตุที่แท้จริงอยู่ระหว่างสอบสวนและรอผลชันสูตรศพอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป.
'เพื่อไทย' หวั่นดอกเบี้ยขาขึ้น หนี้เสียพุ่ง บาทแข็ง ฉุดเศรษฐกิจไทยทรุด
https://voicetv.co.th/read/APBbi7sDX
“เพื่อไทย” หวั่นดอกเบี้ยขาขึ้น หนี้เสียพุ่ง บาทแข็ง ฉุดเศรษฐกิจไทยทรุด ชี้รีดไถนักท่องเที่ยว ดัชนีทุจริต ฝุ่น PM 2.5 ตอกย้ำความล้มเหลว แนะแก้ปัญหาไม่ได้ ต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่
จุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตสาทร บางรัก ปทุมวัน และ โฆษกคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ขยับขึ้นเป็น 4.50%-4.75% และยังมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก เพื่อหยุดยั้งอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐที่ยังคงสูงอยู่ที่ 6.5% ในเดือนธันวาคม โดยจะพยายามทำให้เงินเฟ้อลดลงเหลือเพียง 2% ในขณะที่ในประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ก่อนหน้านี้เช่นกัน โดยขึ้นจาก 1.25% เป็น 1.50% และยังมีแนวโน้มที่จะต้องขึ้นอีกหลายครั้งในปีนี้
อัตราดอกเบี้ยของไทยจะที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนี้เพราะหนี้สาธารณะของไทยอยู่ในระดับสูงกว่า 10 ล้านล้านบาท เฉพาะดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 1% รัฐต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มถึงปีละ 1 แสนล้านบาทโดยอาจจะต้องตัดจากงบประมาณแผ่นดิน และเอกชนก็ต้องแบกภาระดอกเบี้ยเพิ่มจากหนี้ครัวเรือนประมาณ 15 ล้านล้านบาท และ หนี้ธุรกิจในธนาคาร รวมไปถึงหนี้เสียและหนี้สงสัยจะเสียจำนวนหลายล้านล้านบาทที่จะต้องแบกรักภาระดอกเบี้ยสูงขึ้น นอกจากนี้ ดอกเบี้ยของไทยที่จะขึ้นอาจจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทก็แข็งค่าอยู่แล้วอยู่ที่ 32 บาทกว่า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกที่ทำท่าจะย่ำแย่ และ อาจจะติดลบในปีนี้ หลังจากที่การส่งออกติดลบติดกันใน 3 เดือนสุดท้ายของปีที่แล้ว โดยการส่งออกเดือนธันวาคมติดลบถึง - 14.6%
นอกจากปัญหาดอกเบี้ยแล้วปัญหาการรีดไถนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะข่าวที่ตำรวจไทยรีดไถดาราสาวชาวไต้หวันได้กระจายไปทั่วโลกทำความเสื่อมเสียให้ประเทศไทยอย่างมาก หลังจากตำรวจไทยไปให้บริการนักท่องเที่ยวจีนจากสนามบินและมีรถตำรวจนำหน้าพาเที่ยว แถมยังมีโฆษณาในเว็ปท่องเที่ยวของจีนเลย ซึ่งไทยกลายเป็นประเทศตัวตลกของโลกไปแล้ว โดยข่าวการรีดไถนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะเรื่องบุหรี่ไฟฟ้ามีขึ้นจำนวนมากและกลายเป็นการบ่อนทำลายการท่องเที่ยวของไทยไปแบบไม่รู้ตัว และอาจจะทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนใจไม่มาไทย เศรษฐกิจก็จะยิ่งย่ำแย่ เพราะการท่องเที่ยวน่าจะเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ หลังจากไม่สามารถจะพึ่งส่งออกได้แล้วในปีนี้ เพราะการส่งออกทำท่าจะติดลบแน่ในปีนี้ แถมรัฐบาลยังจะไปเก็บค่าเหยียบแผ่นดินเพิ่มภาระให้นักท่องเที่ยวอีก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคแทนที่จะส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเข้ามามากๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอันดับการทุจริตของไทยในปีนี้จะดีขึ้นมาอยู่ที่ 101 จาก 180 ประเทศ แต่ในความรู้สึกของประชาชนกลับคิดว่าการทุจริตของไทยเพิ่มขึ้นมาก จากข่าวคราวที่ปรากฎมาตลอด อีกทั้งดัชนีทุจริตไทยยังอยู่อันดับที่แย่กว่าประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก นอกจากปัญหาการทุจริตแล้วปัญหาฝุ่น PM 2.5 ก็ยังเป็นปัญหาของรัฐบาลมาตลอด 8 ปี ที่ไม่ได้มีการแก้ไขเลย และ เลวร้ายขึ้นเรื่อยจน กทม. ติดอันดับ 4 ของโลก ที่ต้องงดให้ประชาชนจัดกิจกรรมกลางแจ้งกันแล้ว
"
ปัญหาต่างๆเหล่านี้ ไม่ได้มีแนวทางแก้ไขสภาผู้แทนที่เป็นปากเสียงของประชาชนก็ล่มตลอด เพราะ ส.ส. ย้ายพรรคเพื่อเตรียมพร้อมการเลือกตั้ง หากสภาพเป็นแบบนี้ น่าจะต้องยุบสภาและเลือกตั้งใหม่จะดีกว่า ประชาชนจะได้มีโอกาสเลือกรัฐบาลใหม่ที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้มากกว่า"
จุฑาพร ระบุ
กกต.เร่งแบ่ง 400 เขต ยึดตาม กม. ชี้จังหวัด ส.ส.1 คนใช้รูปแบบเดิม แต่ต้องเปิดฟังความเห็น
https://www.matichon.co.th/politics/news_3804337
กกต.เร่งแบ่ง 400 เขตเลือกตั้ง ยึดแนวทางตามกฎหมาย ชี้จังหวัด ส.ส.1 คนใช้รูปแบบเดิม แต่ต้องเปิดรับฟังความเห็น
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารชี้แจงหลังออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 และประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง จำนวน ส.ส.และเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัดในการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไปครั้งแรก โดยให้สำนักงาน กกต.ประจำจังหวัดดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งจังหวัดที่มีจำนวน ส.ส.มากกว่า 1 คน ให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจัดทำรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้งภายใน 3 วัน โดยต้องแบ่งพื้นที่ของเขตเลือกตั้งแต่ละเขตให้ติดต่อกัน และต้องจัดให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้งใกล้เคียงกัน แล้วประกาศรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้งอย่างน้อย 3 รูปแบบ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของพรรคการเมืองและประชาชนในจังหวัดเป็นเวลา 10 วัน
แต่ละรูปแบบต้องประกอบด้วย รายละเอียดเกี่ยวกับอำเภอ หรือตำบล หรือเขตพื้นที่ที่อยู่ในเขตเลือกตั้งแต่ละเขต จำนวนราษฎรของแต่ละเขตเลือกตั้ง และผลต่างของของจำนวนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้งจากจำนวนเฉลี่ยราษฎรต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คนในจังหวัดนั้น
ทั้งนี้ ผลต่างของจำนวนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้งไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของจำนวนเฉลี่ยต่อสมาชิกสภาผุ้แทนราษฎร 1 คนในจังหวัดนั้น เว้นแต่เป็นกรณีมีความจำเป็นเพื่อให้ราษฎรในชุมชนเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันสามารถเดินทางได้โดยสะดวก นอกจากนี้ ต้องมีเหตุผลประกอบการเสนอแนะการแบ่งเขตเลือกตั้ง แผนที่แสดงรายละเอียดของพื้นที่ที่ประกอบเป็นเขตเลือกตั้งแต่ละเขตเลือกตั้ง
ทั้งนี้ กรณีที่จังหวัดใดมีจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขต เท่ากับจำนวน ส.ส.ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2562 และมีผลต่างของจำนวนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้งจากจำนวนเฉลี่ยราษฎรต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนึ่งคนในจังหวัดนั้น ไม่เกินจำนวนผลต่างที่กำหนดไว้ ให้จัดทำรูปแบบการแบ่งเขตที่ใช้ในการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปเมื่อปี 2562 และประกาศรับฟังความคิดเห็นในการแบ่งเขตเลือกตั้งในครั้งนี้ด้วย
และดำเนินการปิดประกาศรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้ง ไว้ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ สำนักงานเทศบาล ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล รวมถึงศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขต และศาลาว่าการเมืองพัทยา และให้เผยแพร่ในเว็บไซต์ของสำนักงาน กกต.ประจำจังหวัด รวมทั้งประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองและประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
ส่วนกรณีจังหวัดที่มีจำนวนสมาชิก ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 1 คน ให้ดำเนินการปิดประกาศเขตเลือกตั้ง ที่สำนักงาน กกต.ประจำจังหวัด ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ สำนักงานเทศบาล ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล และให้เผยแพร่ ในเว็บไซต์ของสำนักงาน กกต. ประจำจังหวัด รวมทั้งประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ
JJNY : ผัวเมียเครียดหนี้รุม│'เพื่อไทย'หวั่น หนี้เสียพุ่ง│กกต.เร่งแบ่ง 400 เขต ยึดตาม กม.│สลดสถานการณ์คุณธรรมคนไทยดิ่ง
https://www.dailynews.co.th/news/1956737/
ผัวเมียรุ่นใหญ่เมืองนนทบุรี ครองรักขายกาแฟเลี้ยงชีพ ระยะหลังขายไม่ออก ไม่มีค่าเช่าห้อง-ร้าน เครียดหนี้กองโต คาดสามีปลิดชีพภรรยาก่อนจัดแจงศพ 1 วัน แล้วค่อยผูกคอตายตาม
เมื่อช่วงค่ำวันที่ 2 ก.พ. ตำรวจ สภ.บางกรวย จ.นนทบุรี รับแจ้งพบผู้เสียชีวิต 2 ศพ ภายในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในซอยอุบลทิพย์ ต.บางกรวย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยแพทย์จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุเป็นอาคารสูง 4 ชั้น บริเวณห้องเลขที่ 9 ชั้น 3 พบผู้เสียชีวิตเป็นชายอายุ 68 ปี สภาพใช้ผ้าขาวม้าผูกคอตัวเองกับขื่อประตูห้องน้ำ เริ่มขึ้นอืด คาดเสียชีวิตมาประมาณ 24 ชั่วโมง ส่วนบนที่นอนพบศพหญิงอายุ 62 ปี สภาพนอนหงายขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็น ไม่สามารถตรวจสอบบาดแผลได้เนื่องจากสภาพศพเน่าเปื่อย คาดเสียชีวิตมาประมาณ 2 วัน และจากการตรวจสอบภายในห้องไม่พบร่องรอยการต่อสู้ จึงนำศพทั้งสองส่งชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้ง
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ทั้งสองเป็นชาว จ.นนทบุรี เป็นสามีภรรยากันมานานมีอาชีพขายกาแฟและน้ำปั่นอยู่ละแวกที่พัก ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันต่างคนต่างรักและดูแลกันและกันมาอย่างดีตลอด ก่อนเกิดเหตุ 2 วัน ฝ่ายชายเครียดระยะหลังขายของไม่ค่อยได้ไม่มีรายได้ ต้องเสียค่าเช่าห้อง ค่าเช่าร้าน จนต้องไปขอยืมเงินผู้ดูแลอพาร์ตเมนต์ ก่อนเกิดเหตุทั้งสองหายไปไม่มาขายกาแฟประมาณ 2 วัน กระทั่งมาพบเป็นศพเสียชีวิตดังกล่าว
เบื้องต้นสันนิษฐานว่า ทั้งสองเครียดเรื่องเงินทองหนี้สิน จึงตัดปัญหาชีวิตด้วยกัน คาดว่าฝ่ายชายอาจบีบคอหรืออุดจมูกฝ่ายหญิงจนเสียชีวิตก่อนและนั่งเฝ้าหรือจัดแจงศพก่อนประมาณ 1 วัน ก่อนจะใช้เชือกผูกคอตายตาม ส่วนสาเหตุที่แท้จริงอยู่ระหว่างสอบสวนและรอผลชันสูตรศพอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป.
'เพื่อไทย' หวั่นดอกเบี้ยขาขึ้น หนี้เสียพุ่ง บาทแข็ง ฉุดเศรษฐกิจไทยทรุด
https://voicetv.co.th/read/APBbi7sDX
“เพื่อไทย” หวั่นดอกเบี้ยขาขึ้น หนี้เสียพุ่ง บาทแข็ง ฉุดเศรษฐกิจไทยทรุด ชี้รีดไถนักท่องเที่ยว ดัชนีทุจริต ฝุ่น PM 2.5 ตอกย้ำความล้มเหลว แนะแก้ปัญหาไม่ได้ ต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่
จุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตสาทร บางรัก ปทุมวัน และ โฆษกคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ขยับขึ้นเป็น 4.50%-4.75% และยังมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก เพื่อหยุดยั้งอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐที่ยังคงสูงอยู่ที่ 6.5% ในเดือนธันวาคม โดยจะพยายามทำให้เงินเฟ้อลดลงเหลือเพียง 2% ในขณะที่ในประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ก่อนหน้านี้เช่นกัน โดยขึ้นจาก 1.25% เป็น 1.50% และยังมีแนวโน้มที่จะต้องขึ้นอีกหลายครั้งในปีนี้
อัตราดอกเบี้ยของไทยจะที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนี้เพราะหนี้สาธารณะของไทยอยู่ในระดับสูงกว่า 10 ล้านล้านบาท เฉพาะดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 1% รัฐต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มถึงปีละ 1 แสนล้านบาทโดยอาจจะต้องตัดจากงบประมาณแผ่นดิน และเอกชนก็ต้องแบกภาระดอกเบี้ยเพิ่มจากหนี้ครัวเรือนประมาณ 15 ล้านล้านบาท และ หนี้ธุรกิจในธนาคาร รวมไปถึงหนี้เสียและหนี้สงสัยจะเสียจำนวนหลายล้านล้านบาทที่จะต้องแบกรักภาระดอกเบี้ยสูงขึ้น นอกจากนี้ ดอกเบี้ยของไทยที่จะขึ้นอาจจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทก็แข็งค่าอยู่แล้วอยู่ที่ 32 บาทกว่า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกที่ทำท่าจะย่ำแย่ และ อาจจะติดลบในปีนี้ หลังจากที่การส่งออกติดลบติดกันใน 3 เดือนสุดท้ายของปีที่แล้ว โดยการส่งออกเดือนธันวาคมติดลบถึง - 14.6%
นอกจากปัญหาดอกเบี้ยแล้วปัญหาการรีดไถนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะข่าวที่ตำรวจไทยรีดไถดาราสาวชาวไต้หวันได้กระจายไปทั่วโลกทำความเสื่อมเสียให้ประเทศไทยอย่างมาก หลังจากตำรวจไทยไปให้บริการนักท่องเที่ยวจีนจากสนามบินและมีรถตำรวจนำหน้าพาเที่ยว แถมยังมีโฆษณาในเว็ปท่องเที่ยวของจีนเลย ซึ่งไทยกลายเป็นประเทศตัวตลกของโลกไปแล้ว โดยข่าวการรีดไถนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะเรื่องบุหรี่ไฟฟ้ามีขึ้นจำนวนมากและกลายเป็นการบ่อนทำลายการท่องเที่ยวของไทยไปแบบไม่รู้ตัว และอาจจะทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนใจไม่มาไทย เศรษฐกิจก็จะยิ่งย่ำแย่ เพราะการท่องเที่ยวน่าจะเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ หลังจากไม่สามารถจะพึ่งส่งออกได้แล้วในปีนี้ เพราะการส่งออกทำท่าจะติดลบแน่ในปีนี้ แถมรัฐบาลยังจะไปเก็บค่าเหยียบแผ่นดินเพิ่มภาระให้นักท่องเที่ยวอีก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคแทนที่จะส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเข้ามามากๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอันดับการทุจริตของไทยในปีนี้จะดีขึ้นมาอยู่ที่ 101 จาก 180 ประเทศ แต่ในความรู้สึกของประชาชนกลับคิดว่าการทุจริตของไทยเพิ่มขึ้นมาก จากข่าวคราวที่ปรากฎมาตลอด อีกทั้งดัชนีทุจริตไทยยังอยู่อันดับที่แย่กว่าประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก นอกจากปัญหาการทุจริตแล้วปัญหาฝุ่น PM 2.5 ก็ยังเป็นปัญหาของรัฐบาลมาตลอด 8 ปี ที่ไม่ได้มีการแก้ไขเลย และ เลวร้ายขึ้นเรื่อยจน กทม. ติดอันดับ 4 ของโลก ที่ต้องงดให้ประชาชนจัดกิจกรรมกลางแจ้งกันแล้ว
"ปัญหาต่างๆเหล่านี้ ไม่ได้มีแนวทางแก้ไขสภาผู้แทนที่เป็นปากเสียงของประชาชนก็ล่มตลอด เพราะ ส.ส. ย้ายพรรคเพื่อเตรียมพร้อมการเลือกตั้ง หากสภาพเป็นแบบนี้ น่าจะต้องยุบสภาและเลือกตั้งใหม่จะดีกว่า ประชาชนจะได้มีโอกาสเลือกรัฐบาลใหม่ที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้มากกว่า" จุฑาพร ระบุ
กกต.เร่งแบ่ง 400 เขต ยึดตาม กม. ชี้จังหวัด ส.ส.1 คนใช้รูปแบบเดิม แต่ต้องเปิดฟังความเห็น
https://www.matichon.co.th/politics/news_3804337
กกต.เร่งแบ่ง 400 เขตเลือกตั้ง ยึดแนวทางตามกฎหมาย ชี้จังหวัด ส.ส.1 คนใช้รูปแบบเดิม แต่ต้องเปิดรับฟังความเห็น
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารชี้แจงหลังออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 และประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง จำนวน ส.ส.และเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัดในการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไปครั้งแรก โดยให้สำนักงาน กกต.ประจำจังหวัดดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งจังหวัดที่มีจำนวน ส.ส.มากกว่า 1 คน ให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจัดทำรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้งภายใน 3 วัน โดยต้องแบ่งพื้นที่ของเขตเลือกตั้งแต่ละเขตให้ติดต่อกัน และต้องจัดให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้งใกล้เคียงกัน แล้วประกาศรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้งอย่างน้อย 3 รูปแบบ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของพรรคการเมืองและประชาชนในจังหวัดเป็นเวลา 10 วัน
แต่ละรูปแบบต้องประกอบด้วย รายละเอียดเกี่ยวกับอำเภอ หรือตำบล หรือเขตพื้นที่ที่อยู่ในเขตเลือกตั้งแต่ละเขต จำนวนราษฎรของแต่ละเขตเลือกตั้ง และผลต่างของของจำนวนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้งจากจำนวนเฉลี่ยราษฎรต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คนในจังหวัดนั้น
ทั้งนี้ ผลต่างของจำนวนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้งไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของจำนวนเฉลี่ยต่อสมาชิกสภาผุ้แทนราษฎร 1 คนในจังหวัดนั้น เว้นแต่เป็นกรณีมีความจำเป็นเพื่อให้ราษฎรในชุมชนเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันสามารถเดินทางได้โดยสะดวก นอกจากนี้ ต้องมีเหตุผลประกอบการเสนอแนะการแบ่งเขตเลือกตั้ง แผนที่แสดงรายละเอียดของพื้นที่ที่ประกอบเป็นเขตเลือกตั้งแต่ละเขตเลือกตั้ง
ทั้งนี้ กรณีที่จังหวัดใดมีจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขต เท่ากับจำนวน ส.ส.ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2562 และมีผลต่างของจำนวนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้งจากจำนวนเฉลี่ยราษฎรต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนึ่งคนในจังหวัดนั้น ไม่เกินจำนวนผลต่างที่กำหนดไว้ ให้จัดทำรูปแบบการแบ่งเขตที่ใช้ในการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปเมื่อปี 2562 และประกาศรับฟังความคิดเห็นในการแบ่งเขตเลือกตั้งในครั้งนี้ด้วย
และดำเนินการปิดประกาศรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้ง ไว้ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ สำนักงานเทศบาล ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล รวมถึงศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขต และศาลาว่าการเมืองพัทยา และให้เผยแพร่ในเว็บไซต์ของสำนักงาน กกต.ประจำจังหวัด รวมทั้งประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองและประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
ส่วนกรณีจังหวัดที่มีจำนวนสมาชิก ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 1 คน ให้ดำเนินการปิดประกาศเขตเลือกตั้ง ที่สำนักงาน กกต.ประจำจังหวัด ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ สำนักงานเทศบาล ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล และให้เผยแพร่ ในเว็บไซต์ของสำนักงาน กกต. ประจำจังหวัด รวมทั้งประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ