เนื่องมาจากเคสดาราสาวไต้หวันที่เป็นข่าว

เห็นมีประเด็นหนึ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุคือ ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า
ที่เป็นส่วนหนึ่งในการใช้อำนาจตามกฎหมายเรียกรับผลประโยชน์ไม่พึงได้ ของข้าราชการขี้ฉ้อบางคน

เท่าที่จำได้น่าจะเริ่มมาจากประกาศของกท.สาธารณสุขสมัย พล.อ.ไพบูลย์ ที่ปรับสูงสุดถึง 1 แสนบาท (โทษจำคุกไม่แน่ใจ)
ทั้งผู้ขาย ผู้ครอบครอง ผู้ใช้ รวมถึงสารเคมีและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

กัญชายังประกาศเสรี ยาบ้า 1 เม็ด ก็ยังให้เป็นผู้ค้า บุหรี่มวนก็ยังขายกันเกลื่อน (รวมถึงบุหรี่หนีภาษีด้วย)

เคยอ่านข้อมูลดู โทษของการเสพก็ไม่ได้มีมากกว่าบุหรี่ที่ขายตามร้านสะดวกซื้อ
ควันที่ออกมาก็เป็นไอน้ำ ไม่ใช่ควันจากการเผาไหม้ สร้าง P.M 2.5 ก็น้อยกว่า กลิ่นก็ไม่ได้แย่กว่า
จะติดก็ตรงเคยเห็นเขาสูบกันแล้วปล่อยควัน(ไอน้ำ) ออกมาเป็นโขมงเลย

แต่ก็มีบางรายงานบอกว่า
จะทำให้คนสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น เพราะกลิ่นและโทษจากการเสพน้อยกว่าบุหรี่มวนที่สูบแบบเผาไหม้ รวมถึงเลือกความเข้มของนิโคตินได้

ถ้าติดปัญหาเรื่องปริมาณนิโคตินที่เป็นโทษหรือสารให้โทษอื่น
ก็น่าจะจำกัดกรอบให้แคบไว้แค่เรื่องปริมาณนิโคติน สารให้โทษนั้น หรืออายุของผู้เสพ ผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้ผลิต ฯ

หลายประเทศก็ไม่มีกฎหมายห้ามนะ บางประเทศอย่างอังกฤษเคยอ่านผ่านตาว่า อนุญาตให้สูบในอาคารและที่ปิดได้ด้วยซ้ำ(นิโคตินเป็นศูนย์)
ในขณะที่หลายประเทศกำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย

กฎหมายในบางเรื่องที่ลงโทษหนักรุนแรง แต่เลือกใช้กับคนบางกลุ่ม แล้วเอาไปใช้ข่มขู่ หรือเรียกร้องสิ่งที่ไม่พึงได้
น่าจะแก้ไขหรือยกเลิกได้แล้ว เพื่อทำให้กฏหมายดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น อย่าเตะหมูเข้าปากหม...เลย

ก็เราไม่ชอบเรื่อง ขาใหญ่ ใช้เส้นสาย อุปถัมภ์พวกเดียวกัน ที่ใช้บังคับคนอื่นแต่ไม่ใช้บังคับกับพวกตัวเองไม่ใช่หรือ
ประเภท ยืนสูบในวงพวกกันเอง หรือตั้งขายข้างสถานีตำรวจ หรือออนไลน์ที่ตำรวจไทยมองไม่เห็น จะได้ไม่เป็นข้อครหาอีก