In the memory of Rajesh Khanna
1942 - 2012
ใครที่เคยดูหนังอินเดียโดยเฉพาะในช่วง 40 - 50 ปีก่อน จะจำได้กับหนังอินเดียหลายๆ เรื่องที่เข้ามาฉายในบ้านเรา โดยเฉพาะช้างเพื่อนแก้ว (Haathi Mere Saathi) หรือ โชเล่ย์ (Sholay) จะรู้จักชื่อของ Rajesh Khanna และ Amibath Bachchan ได้
วันนี้ผมแนะนำหนังอินเดีย ลองหาในกลุ่มหนังเก่าเหมือนจะไม่มีฉายในเมืองไทย ซึ่งน่าเสียดายมากๆ เพราะบทหนังซึ้งมาก ไม่ค่อยเล่นใหญ่ เด็กดูได้ ไม่ใช่หนังรัก ไม่ใช่หนังบู๊ และดราม่าน้อยๆ (จริงๆ แอบเศร้าค่อนข้างเยอะ แต่ไปหนักเอาช่วงท้ายเรื่อง แต่แค่พอซึ้งๆ น้ำตารินเบาๆ ไม่ดราม่าหนักหน่วงเกินแบบธรณีกรรแสง) เรื่องนี้นำแสดงโดย Rajesh Khanna และ Amitabh Bachchan
Rajesh Khanna รับบทเป็น อานันท์ (Anand) ชายผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งชนิดหายากมากระยะสุดท้าย (ในหนังระบุว่าเป็น มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในลำไส้) แต่เขาใช้ชีวิตแบบไม่เคยรู้สึกกลัวความตายเลยแม้แต่น้อย และไม่เคยกลัวว่าตัวเองจะตายตอนไหน เวลาใด สิ่งเดียวที่กลัวคือความทุกข์บนใบหน้าผู้คน ส่วน Amitabh Bachchan รับบทเป็น ภาสกร หรือออกสำเนียงอินเดียว่า บาสกะร์ (Bhaskar) นายแพทย์เถรตรงที่อุทิศทั้งชีวิตกับการรักษาคนไข้ยากจนแบบไม่คิดเงิน และไม่เคยคิดจะไปรักษาคนรวยเลย ตัวละครอื่นๆ ที่น่าสนใจ ก็มี นายแพทย์ ประกาศ (Ramesh Deo) เพื่อนของภาสกร ที่เดินทางเดียวกับภาสกร แต่ต่างกันที่ประกาศจะเอาเงินจากคนรวยไปช่วยคนจนมากกว่า พร้อมทั้งภรรยาชื่อ สุมัน (Seema Deo - ชีวิตจริงก็เป็นภรรยาด้วย) และพยาบาลชื่อ มาตรอน เรนุ คนไข้ของภาสกรที่เคยมารักษาปอดบวมและภาสกรแอบหลงรัก (Sumita Sanyal) อิซา หัวหน้าคณะละครคุชราต (Johnny Walker)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เริ่มเรื่อง นายแพทย์ภาสกร ขึ้นรับรางวัลจากหนังสือเล่มแรกที่เขาเขียนถึงชีวิตเพื่อนผู้ล่วงลับที่ชื่อ อานันท์ และเขาได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นมาจากการที่นายแพทย์ประกาศ เพื่อนของเขา รับอานันท์ซึ่งมาจากเดลีเพื่อมารักษาตัวที่บอมเบย์ (เวลานั้นมุมไบยังใช้ชื่อว่าบอมเบย์) นายแพทย์ประกาศบอกว่าเขาเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายและเป็นชนิดหายากมาก นายแพทย์ภาสกรคิดว่าอานันท์ต้องอาการหนักแน่ๆ แต่เมื่อมาถึง เขาพบว่าอานันท์เป็นชายที่ไร้ความทุกข์ใดๆ เหมือนเป็นคนสุขภาพแข็งแรงปกติ ซ้ำยังหยอกล้อและทักทายราวกับพวกเขาเป็นเพื่อนกันด้วย อานันท์ย้ายมาอยู่ที่บอมเบย์และใช้เวลาสร้างความสุขและมิตรภาพกับผู้อื่นอยู่เสมอแม้รู้ว่าเขามีเวลาของชีวิตเหลืออยู่น้อยนิด หนึ่งในสิ่งสำคัญที่เขาทำคือการชักพาให้ภาสกรกับเรนุ คนไข้สาวที่เขาแอบรักได้รักกันและยังเป็นพ่อสื่อถึงขั้นไปหาแม่เรนุเพื่อคุยเรื่องงานแต่งงานให้กับภาสกรและเรนุด้วยซ้ำ อานันท์ เป็นที่รักของทุกคนและไม่เคยห่วงถึงเวลาที่เหลืออยู่ของเขา แม้กระทั่งวาระสุดท้าย เขาก็ยังไม่อยากเห็นเพื่อนของเขาต้องเสียใจกับการจากไปของเขา เขาซื้อที่อัดเสียงมาพร้อมอัดเสียงให้ ก่อนตาย อานันท์บอกให้ช่วยเปิดเทปอัดเสียงที่อัดเสียงภาสกรกับเขาไว้ โดยเทปช่วงแรก เป็นเสียงภาสกรร่ายกลอนความตาย อานันท์ตะโกนเรียกชื่อภาสกรและสิ้นใจลงบนเตียง หลังจากนั้น ภาสกรรีบมาหาอานันท์และพบว่าอานันท์สิ้นใจแล้ว เขาพยายามปลุกอานันท์ให้ตื่นและพบว่าเทปอีกส่วนที่อัดเสียงอานันท์ไว้ก็เล่นในช่วงที่เขาสิ้นใจ ทุกคนเสียใจกับการตายของอานันท์มาก ตอนจบของเรื่องเป็นลูกโป่งลอยขึ้นไปดั่งดวงวิญญาณของอานันท์ได้ขึ้นสวรรค์พร้อมคำโปรยว่า "อานันท์ไม่เคยตาย ความสุขไม่มีวันตาย"
เรื่องนี้ ถูกระบุว่าได้รับแรงบันดาลใจแบบหลวมๆ มาจากหนังเรื่อง Ikiru ของญี่ปุ่น และใช้เวลาถ่ายทำเพียง 28 วัน แต่ปรากฎว่าหนังเข้าชิงรางวัลใด ก็คว้ารางวัลนั้นได้หมด (พลาดรางวัลเดียว คือ รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมของ Filmfare Award ซึ่งเปรียบได้กับ Oscar ของ Bollywood) เพราะเนื้อหาสุดซึ้งกินใจ และสอนใจผู้คนได้ไปทุกช่วงเวลา
Anand ฉายก่อนช้างเพื่อนแก้ว (ในอินเดีย) ไม่กี่เดือน และเป็นหนังเรื่องแรกที่สร้างชื่อให้กับทั้ง Amitabh Bachchan และ Rajesh Khanna โดยได้ร่วมเล่นอีก 1 เรื่องกับผู้กำกับคนเดียวกับ Anand ก่อนที่ทั้งคู่จะต่างเดินทางแยกและกลายเป็นคู่แข่งกันในเวลาต่อมา (สำหรับคอหนังอินเดีย บอกเลยว่า Rivalry ของคู่นี้ เห็นเขาว่าพอๆ กับ SRK และ Salman Khan เลย) เรื่องน่าเศร้าอีกเรื่องก็คือ 40 ปีต่อมา Rajesh Khanna เองก็เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเหมือนกัน โดยถูกตรวจพบเมื่อปี 2011 แต่ปิดเงียบไว้ไม่ออกสื่อใดจนกระทั่งตอนที่อาการของเขาเริ่มหนักขึ้น การที่เขาเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง ทำให้แฟนหนังหลายคนต้องย้อนกลับไปดู Anand เป็นการอำลาเขาไปเลยในช่วงเวลาที่เขาจากไป ส่วนตัวผมเองก็แอบเสียดายที่ไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้เร็วกว่านี้ เพราะผมเคยเห็นผ่านๆ ครั้งแรกมาตั้งแต่ปี 2016 (2559) แต่ก็ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งอยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกว่ามี "บางอย่าง" อยากให้ผมดูหนังเรื่องนี้ (อย่าเพิ่งคิดไปไกลนะครับ ผมหมายถึงใจผมเองที่นึกถึงหนังเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วรู้สึกตะหงิดๆ ใจว่าต้องไปดูให้ได้)
Production ของหนัง ส่วนตัวคิดว่าลงทุนค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะถ้าเทียบกับโชเล่ย์หรือ Don (1979) เพราะฉากหนังไม่ค่อยไปไหนมาไหนหรือลงทุนอะไรเยอะ (แม้แต่เอฟเฟกต์พิเศษก็แทบไม่มี) จนนึกว่าเป็นหนังสั้นของนักศึกษา หนังเรื่องนี้เป็นดราม่าเบาๆ เด็กดูได้ เพราะเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ไม่ค่อยเครียด แต่แอบเศร้ากับชีวิตของอานันท์นิดๆ เพราะมีหลายช่วงที่พูดถึงชีวิตของอานันท์ โดยช่วงชีวิตก่อนหน้านั้น ระบุไว้เพียงแค่ว่า เขาเป็นเด็กกำพร้าที่จากพ่อแม่ไปในช่วงที่อินเดียเกิดการแบ่งแยกกันและหนีญาติๆ ไป ก่อนพบรักกับสาวเบงกาลี (อันนี้แฟนหนังบางคนแอบแซวว่าอาจจะเป็น Jaya Bachchan ภรรยาของลุง Amitabh) แต่ได้แยกทางกันและแต่งงานไปในช่วงเดียวกับที่อานันท์มาเมืองบอมเบย์ อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ มิตรภาพของอานันท์ ที่ดึงคนทั้งหลายให้มารักเขา ดังจะเห็นได้จากเพื่อนๆ ที่นับถือทั้งศาสนาฮินดู อิสลาม คริสต์ ล้วนสวดมนต์ภาวนาขอให้เขารอดและหายเป็นปกติ ซึ่งลึกๆ ก็สะท้อนความหลากหลายทางศาสนาและเชื้อชาติของอินเดียได้เหมือนกัน
หนังเรื่องนี้ ผมให้ 9/10 หักแค่เรื่อง Production ที่ดูลงทุนน้อยไปหน่อย และตัวละครในเรื่องที่ดูไหลลื่นเกินไป แทบไม่มีอุปสรรคอะไรเลย ซึ่งผมก็ขอย้ำอีกครั้งว่า หนังเรื่องนี้ เป็นหนังดราม่าเบาๆ มีซึ้งมีสงสารเบาๆ ไม่มีบู๊ ไม่มีดราม่าหนักหน่วง ตลกเบาๆ เด็กดูได้ เวลาทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง สำหรับแฟนหนังอินเดีย โดยเฉพาะที่เคยดูช้างเพื่อนแก้วหรือโชเล่ย์มาแล้ว ผมแนะนำเรื่องนี้อย่างสุดๆ ครับ สนุกและซึ้งกินใจแน่นอน แม้เนื้อเรื่องแทบไม่มีอะไร
[Spoil] อานันท์ ความสุขไม่มีวันตาย - หนังอินเดียยุคเก่าที่หลายคนควรดู