ประสบการณ์ตรงจากอาการถอนยาต้านซึมเศร้า

เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงกันมากเท่าไหร่แม้กระทั่งในต่างประเทศเลยอยากจะมารีวิวประสบการณ์ตรงของตัวเองให้ฟัง หวังว่าอย่างน้อยก็น่าจะเป็นกำลังใจให้คนที่ประสบปัญหาอยู่และกำลังฟื้นตัวได้ไม่มากก็น้อยนะคะ

เราอยู่ต่างประเทศมา 6 ปีกว่าแล้ว ทานยามาทั้งหมดรวม 4 ปีเศษๆ เราเคยเขียนกระทู้เกี่ยวกับซึมเศร้าอยู่แล้วก็หยุดเล่นพันทิปไปนานมากเพราะไม่มีเวลา 2 ปีที่ผ่านมาถือว่าหนักมากสำหรับเราเพราะโดนเลย์ออฟจากสถานการณ์โควิดแล้วว่างงานหนึ่งปี ช่วงหนึ่งปีที่ว่างงานก็ใช้เวลากับหมาแมวที่บ้านค่ะ ไปเดินป่า ฝึกหมา ชีวิตมีแต่หมาแมวเลยช่วงนั้น แล้วเราก็เจอจิตแพทย์ตลอด พยายามแก้ปัญหาไปเรื่อยๆจนถึงจุดนึงที่คิดว่าควรกลับไปทำงานได้แล้ว การหางานที่นี่ไม่ง่ายค่ะยิ่งเราพูดภาษาเค้าไม่คล่องด้วย แต่พอหางานได้กลับเจอเจ้าของบริษัทเอาเปรียบพนักงาน เอาจริงๆก็กลัวว่าอาการจะแย่ลงแต่ตอนนั้นคือต้องการเงินเลยตัดสินใจทำงานที่นั่น เป็นช่วงที่ทำให้เรารู้ตัวว่าเรามาไกลมากแล้วสำหรับโรคซึมเศร้า เราฟื้นตัวเยอะมาก เราสามารถรับมือกับปัญหาได้ดีกว่าปกติ เราลาออกแล้วได้งานใหม่แทบจะทันที ตอนนั้นไปพบหมอเพื่อขอลาป่วยสำหรับบริษัทที่เราเพิ่งยื่นลาออกไป หมอก็ดูประวัติแล้วถามว่าเราอยากหยุดทานยามั้ย หมอคิดว่าเราทานยามานานเกินพอแล้ว ตอนนั้นเรายังไม่ได้ให้คำตอบอะไรไปเพราะแอบกลัวที่จะต้องปรับตัวอีกรอบ เราไม่แน่ใจว่าชีวิตเราจะเป็นยังไงถ้าเราไม่ทานยาบวกกับเรากำลังจะเริ่มงานใหม่ด้วย 

เราเริ่มงานใหม่ช่วงเดือนมิถุนายน ที่นี่จะมีพักร้อนยาวช่วงเดือนกรกฎาคม เราบอกเจ้าของบริษัทกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับอาการซึมเศร้าของเราเพราะยาที่เราทานทำให้เรามีอาการเหนื่อยง่าย ดูง่วงนอนตลอดเวลา บางทีมึนๆคิดอะไรไม่ออก เจ้าของกับเพื่อนร่วมงานก็ดูเข้าใจดีและสนับสนุนให้เราหยุดทานยาตามที่หมอบอก เราเลยตัดสินใจเริ่มหยุดยาช่วงพักร้อนค่ะ 

อาการตอนแรกๆคือรู้สึกเมาตลอดเวลา ถ้าให้เทียบก็เหมือนตอนดื่มเหล้าแล้วกำลังกรึ่มๆ แต่สมองแจ่มใสมากขึ้น รู้สึกดีค่ะช่วงเดือนแรก เราทานยาที่ 20mg แล้วเริ่มลดยาเหลือ 15mg สามอาทิตย์ติดต่อกัน จากนั้นลดเหลือ 10mg แล้วก็ 5mg จนไม่ต้องทานต่อ รวมแล้วใช้เวลา 9 อาทิตย์เพื่อหยุดทานยา จริงๆแล้วระหว่างนั้นหมอจะต้องเช็คอาการเราตลอด ถ้าเรามีอาการแย่ลงก็ต้องปรับยาเพิ่มแล้วทานต่อไปอีก 2-3 อาทิตย์ก่อนลดลงอีกครั้ง กรณีเราติดต่อหมอไปเพราะเราเริ่มมีอาการทางร่างกาย เช่น เวียนหัว อยากอาเจียน ความดันต่ำ เริ่มนอนไม่หลับแต่หมอไม่ติดต่อเรากลับ เราก็เอาวะ มาได้ครึ่งทางแล้วตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราเลยศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับวิตามินที่ช่วยลดอาการข้างเคียงเหล่านี้ ถามว่าช่วยมั้ยก็ช่วยอยู่ค่ะ พอเวลาผ่านไปอาการหลายๆอย่างก็ดีขึ้นแต่มันก็กระทบกับงานและชีวิตส่วนตัวเยอะมาก เราทานวิตามินบีรวมซึ่งช่วยเรื่องนอนหลับ ทานน้ำมันตับปลาช่วยเรื่องสมอง ทำให้มึนงงน้อยลง มีสมาธิมากขึ้น กินน้ำขิงเข้มข้นวันละช็อตแก้อาการเวียนหัว คลื่นไส้ หลังจากหยุดยาอาการพวกนี้ก็หายไปด้วย แต่อย่าดีใจไปเพราะอาการใหม่มาอีก เรามีปัญหาเรื่องความจำค่ะ ปกติคนป่วยซึมเศร้าจะมีอาการความทรงจำขาดๆหายๆอยู่แล้ว แต่อันนี้มาแบบจำอะไรไม่ได้เลยระหว่างวัน รู้ว่าไปทำงานแต่รู้ตัวอีกทีคือเลิกงานแล้วแต่ตอนนั้นก็กัดฟันพยายามทำงานให้ดีที่สุด เอาเรื่องงานมาก่อนชีวิตส่วนตัวเพราะไม่อยากทำให้เจ้าของและเพื่อนร่วมงานผิดหวัง แต่ช่วงนั้นก็มีปัญหาอื่นๆด้วย มีการฟ้องร้องระหว่างเรากับบริษัทเก่าเพราะเขาไม่อยากจ่ายเงินชดเชยเราตามกฎหมาย ส่วนบริษัทใหม่ที่เราทำงานนั้นเป็นบริษัทเล็ก เพื่อนร่วมงานค่อนข้างไม่มีมารยาท ชอบข้ามเส้นบ่อยซึ่งเราก็พยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเอง บริษัทเองก็ไม่มีระบบเท่าไหร่ ช่วงนั้นคือสับสนเพราะจากที่เจ้าของกับเพื่อนร่วมงานที่ดูจะสนับสนุนเราในตอนแรกเริ่มเปลี่ยนท่าที มีหลายๆอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเค้าไม่เข้าใจอาการของโรคและอาการจากการถอนยา เหมือนเค้าเข้าใจว่าถ้าหยุดทานยาแล้วเราจะหายภายในไม่กี่อาทิตย์ซึ่งนั่นก็เป็นข้อมูลจากบริษัทที่ผลิตยาเขียนไว้บนเว็บไซต์เลยว่าประมาณสองอาทิตย์อาการทั้งหมดจะหายไป (ขอแก้ไขนะคะ อันนี้เราน่าจะจำสลับกับเว็บยาอื่นเพราะเราอ่านหลายเว็บมาก คิดว่าบางเว็บน่าจะให้ข้อมูลไม่ครบแล้วเราจำผิดเป็นเว็บบริษัทยาค่ะ) เราก็เฮ้ย มันสองอาทิตย์ยังไงวะ นี่ผ่านมาสองเดือนแล้วยังมีอาการอยู่ ตอนนั้นเราก็เริ่มเครียดค่ะ เริ่มงงว่านี่มันอาการหยุดยาหรือเรากลับไปเป็นซึมเศร้าอีกรอบ เริ่มเห็นวี่แววว่าไม่น่าจะผ่านโปรทดลองงาน แต่จะให้กลับไปกินยาเราก็ไม่อยากเพราะเราสู้มาเยอะแล้ว เลยหาข้อมูลปรึกษาคนที่เคยผ่านการหยุดยามาก่อน ปรากฎว่าอาการพวกนี้ใช้เวลาเกินปีถึงจะหายเราเลยค่อยโล่งใจหน่อย

สรุปไม่ผ่านโปรทดลองงานค่ะ เจ้าของบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดีและอาการหยุดยาของเราทำให้มีความผิดพลาดในงานเยอะซึ่งเราก็อธิบายไปว่าบางอย่างมันไม่ได้มาจากเราแต่มันมาจากเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเพื่อนร่วมงานคนนี้มักจะหายหัวเวลาเค้าทำอะไรผิด ตอนคุยก็ร้องไห้นะเพราะรู้สึกเสียใจสับสันว่าถ้าเราเลิกที่จะไม่หยุดยาเราจะยังมีงานทำมั้ย มีความคิดโทษตัวเองเล็กน้อย ใช้เวลาประมาณอาทิตย์นึงเราถึงรู้สึกดีขึ้น ระหว่างนั้นมีอาการแพนิคเวลาคิดถึงตอนคุยกับเจ้าของบริษัท แต่หลังจากนั้นก็มานั่งนึกว่าเรามีความสุขมั้ยตอนทำงานที่นั่น คำตอบคือมีแต่น้อยกว่าที่คาดหวังไว้และถ้าเราไม่หยุดยาตอนนั้นเราก็ต้องหยุดในอนาคตอยู่ดี สถานการณ์เราคงไม่เปลี่ยนไปมาก พอคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกดีขึ้นเยอะและให้โอกาสตัวเองได้พักบ้าง

เราหยุดยามาได้ประมาณ 4 เดือนแล้ว อาการข้างเคียงก็ยังมีอยู่ค่ะ บางวันรู้สึกเหนื่อยแบบไม่อยากทำอะไร ปวดขาเวลานอน รู้สึกหดหู่ โมโห เหวี่ยงแบบไม่มีเหตุผล มีอาการเซนซิทีฟบางครั้ง เช่น รู้สึกไม่สบายตัว จมูกไว ปวดหัวเวลาได้ยินเสียงดัง อย่างตอนนี้คือเมื่อยกรามมาก แต่เนื่องจากมีหมาที่บ้านเลยต้องบังคับตัวเองออกไปข้างนอก ท่องในใจเสมอว่าหมามาก่อน เราเดินออกกำลังกายกับหมาวันละประมาณ 6-7 กิโล ได้ออกไปเจอคนบ้างเวลาพาหมาไปวิ่งเล่น ออกไปสูดอากาศอากาศบริสุทธิ์ เมื่ออาทิตย์ก่อนเราเจอกลุ่มให้กำลังใจคนหยุดยาในเฟซบุค ช่วยได้เยอะมากค่ะเพราะมันทำให้รู้ว่าเราไม่ได้เผชิญปัญหาอยู่คนเดียว อาการที่เรามีอยู่เราไม่ได้คิดไปเอง พอเทียบกับคนอื่นแล้วอาการเราค่อนข้างเบาด้วยซ้ำ บางคนมีความคิดอยากทำร้ายตัวเองซึ่งมาจากผลข้างเคียงของยา เอาตามตรงเราคิดว่าโรคนี้บางทีหมอเองยังไม่เข้าใจเลยค่ะ มันก็ยากที่คนที่ไม่เคยเป็นเองจะเข้าใจ 

คำแนะนำสำหรับคนที่มีคนใกล้ตัวเป็นซึมเศร้า
1. อ่าน ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรค
2. ทำตัวปกติ ไม่ต้องปฏิบัติหรือทำอะไรพิเศษ เราป่วยแต่เราไม่ได้ใกล้ตายค่ะ ยังทำอะไรส่วนมากได้เหมือนคนสุขภาพปกติทั่วไปนอกจากจะเป็นขั้นหนักจริงๆที่ต้องมีแพทย์ดูแลใกล้ชิด ถ้าเป็นคนใกล้ชิดก็ดูแลหรือแสดงความห่วงใยอย่างที่คุณทำกับคนที่รัก ถ้าไม่ใกล้ชิดก็ไม่ต้องทำอะไรแค่อย่าไปพูดกดดันหรือไปว่าเค้าก็พอ
3. บางทีเราไม่ต้องการคำแนะนำค่ะ เราแค่อยากได้ยินว่า “ระบายได้นะ จะรับฟัง” “กินอะไรรึยัง ถ้ายังก็อย่าลืมกินข้าวนะ”  
4. โรคนี้ไม่ต้องอ่อนแอก็เป็นได้ค่ะ เราเองเป็นประเภทที่คนรอบข้างเคยบอกว่าถ้าโลกแตกเราก็ไม่น่าจะตาย แต่เราก็มีปัญหาสะสมจนทำให้ตัวเรามาอยู่จุดนี้ได้ 
5. ถ้าไม่เข้าใจข้อมูลหรืออาการของโรคก็อยู่เฉยๆค่ะ ไม่ต้องไป TED talk ไม่ต้องไปพูดว่าคนป่วยควรจะมองโลกในแง่ดี อยู่เงียบๆดีสุดค่ะ เจ้าของบริษัทเราพูดว่าคนที่ป่วยเป็นเพราะมองโลกแง่ร้าย เรารู้เลยว่าคนๆนี้ไม่มีทางเข้าใจ การจะป่วยเป็นโรคนี้ได้มันมีหลายอย่างผสมกัน 

สำหรับคนที่กำลังจะหยุดยาต้านซึมเศร้า
1. แนะนำให้อ่านเรื่องอาการข้างเคียงจากการหยุดยาค่ะ จะได้เตรียมตัวถูกว่าต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
2. การหยุดยาแล้วต้องเริ่มทานใหม่เป็นเรื่องปกติในการหยุดยา ร่างกายคนเราตอบสนองต่างกันเพราะฉะนั้นระยะเวลาร่างกายปรับตัวย่อมต่างกัน
3. หากลุ่มให้กำลังค่ะ อันนี้กลุ่มที่เราเป็นสมาชิกอยู่ https://www.facebook.com/groups/204732929546136 ของไทยเรายังไม่ได้หา แต่ถ้าหาเจอแล้วจะมาโพสอัพเดทค่ะ เราได้ข้อแนะนำจากกลุ่มนี้เยอะมากเกี่ยวกับอาการของเรา
4. ให้เวลาร่างกายและจิตใจฟื้นตัว อย่าลืมว่าเราใช้เวลานานนะกว่าจะป่วยเพราะฉะนั้นเราก็ต้องให้เวลาตัวเองเพื่อรักษาให้หายป่วยเช่นกัน 

กอดค่ะ

เพิ่มเติมอาการที่เรามีค่ะ
หายใจลำบาก หายใจสั้นคล้ายๆจะมีอาการเแพนิค
หลงลืม
หน้ามืด
เวียนหัว เมารถ 
นอนไม่หลับหรือนอนหลับไปสองสามชั่วโมงแล้วตื่นกลางดึกทุกวัน
ฝันร้ายติดต่อกัน
เครียดหรือรู้สึกกังวลโดยไม่มีสาเหตุ
รู้สึกซึมเศร้าบางครั้ง
เมื่อยกราม
ปวดขาตอนนอน
หูอื้อ
ไม่มีสมาธิ รู้สึกเหมือนสมองไม่ทำงาน
สมองตอบสนองช้า
ไม่สบายตัว
อารมณ์ขึ้นๆลงๆ มีช่วงนึงโมโหมากแต่ไม่รู้ว่าโมโหอะไร
ปวดหัว
สับสนบางครั้ง เช่น อ่านข้อความสั้นๆง่ายๆแต่ไม่เข้าใจ 
ทนเสียงดังหรือกลิ่นฉุนไม่ได้

คิดว่ากระทู้นี้น่าจะมีหลายๆท่านที่กำลังสู้อยู่แบบเราเข้ามาอ่านเป็นระยะๆ เลยอยากอัพเดทอาการเราให้ทราบด้วย
ตอนนี้เราหยุดยามาได้ประมาณเจ็ดเดือนกว่า (เกือบสี่เดือนหลังจากโพสกระทู้นี้) เราตัดสินใจกลับไปเรียนภาษาอีกรอบค่ะ ไม่ทำงานแล้วขอพักก่อน
อาการที่มีอยู่ตอนนี้คือ
- อารมณ์ยังขึ้นๆลงๆ ยิ่งช่วงใกล้ประจำเดือนมายิ่งแย่ 
- ยังมีอาการซึมเศร้าบางที เหมือนดิ่งมากๆแต่อย่างมากก็วันนึงค่ะ วันถัดมาอาการก็หายไปเอง
- อาการวิตกกังวลแย่ลงกว่าเดิมเพราะเข้ารับการรักษา trauma ที่เกิดขึ้นช่วงทำงาน แต่ยังพอไหวค่ะ ยังมีชีวิตอยู่รอด
- ไม่อยากคุยกับใครเท่าไหร่ แต่ถ้าเจอก็คุยปกติแต่จะไม่อยากหลังไมค์หรือไปปาร์ตี้ อันนี้คิดว่าเป็นผลข้างเคียงจากการรักษา รู้สึกมีแรงไม่เยอะเลยอยากเก็บแรงไว้สำหรับเรื่องสำคัญจริงๆ เช่น ครอบครัว การเรียน
- อาการทางร่างกายอย่างอื่นที่ยังมี เช่น ทนเสียงดังไม่ได้ ทนกลิ่นแรงๆไม่ได้ มีน้อยลงมาก บางวันที่ไม่ค่อยโอเคก็จะรู้สึกแย่กว่าปกติ
- ตอนทายาทนอาการร้อนไม่ได้ ตอนนี้หนาวแทน บางวันร้อนๆหนาวๆ

อาการที่หายไปก็เกือบทุกอาการที่เคยเขียนไว้เมื่อตอนโพสกระทู้ ไม่ปวดตัวแบบเมื่อก่อน ไม่เวียนหัว นอนหลับดีขึ้น มีสมาธิเยอะขึ้นมากจนน่าตกใจ เหมือนได้สมองใหม่ค่ะ อันนี้คือดีมากๆเพราะเราไม่มีปัญหาเวลาเรียนเลย ไม่เหมือนตอนเลิกทานยาใหม่ๆที่คิดอะไรไม่ออก 
อีกอย่างที่ดีมากๆคือมีแรงออกกำลังกายเหมือนก่อนป่วย ตอนนี้เราวิ่งบวกเดินเร็วกับหมาที่บ้านประมาณสี่สิบนาที อาทิตย์ละสามครั้ง

โดยรวมคือดีขึ้นค่ะ คิดว่าคงใช้เวลาเกินปีกว่าอาการที่เหลือจะหายไป 
ถามว่ายากมั้ย ยากโคตรๆค่ะ ไม่เคยคิดว่ามันจะยากขนาดนี้แต่ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ค่ะ

กอดนะคะ

อัพเดทหลังเลิกกินยามาสิบเดือนครึ่ง
ไม่มีอาการวิตกกังวลแล้วค่ะ ร่างกายปกติดี คิดว่าอาจจะยังอยู่ในช่วงปกติ (window) ไม่แน่ใจว่าจะเข้าช่วงมีอาการข้างเคียง (wave) อีกเมื่อไหร่ค่ะ

อัพเดทหลังผ่านไปหนึ่งปีค่ะ
ยังมีอาการที่เรียกว่า Depersonalisation กับ Derealization แปลเป็นไทยว่า บุคลิกวิปลาสกับบุคลิกภาพแตกแยก (ไม่รู้ใครแปลแต่แปลได้แรงมากแม่)
อาการจะเป็นแบบเหมือนมองผ่านตาคนอื่น เหมือนเราอยู่ในร่างกายคนอื่นค่ะ เวลาหยิบจับอะไรจะควบคุมร่างกายไม่ค่อยได้
มีบางวันที่ไม่มีอารมณ์ในด้านใดทั้งสิ้น แบบที่เค้าเรียกว่าข้างในว่างเปล่า มองนู่นมองนี่แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ 
เวลาทำอาหารก็มีดบาดมือบ่อยมากๆ ตอนนี้ต้องเลิกปอกเปลือกมันฝรั่งแครอทชั่วคราวเพราะบาดมือบ่อยมากจ้า 
เผื่อท่านใดอยากอ่านเพิ่มค่ะ https://www.unlockmen.com/derealization/

จะอัพเดทเรื่อยๆด้านล่างนะคะ พิมพ์เพิ่มในนี้ไม่ได้แล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่