JJNY : เพื่อไทยบุกภาคกลาง│คนกท.เห็นพ้องเจน Z เลิกบังคับเกณฑ์ทหาร│นิด้าโพลเผยผลสำรวจพปชร.-รทสช.│ส่งออกถุงมือยางหืดจับ

เพื่อไทย บุกภาคกลางครั้งแรก ประเดิมกาญจนบุรี อัครนันท์ เชื่อคนอยากเปลี่ยน รบ.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3795608

เพื่อไทย บุกภาคกลางครั้งแรก ประเดิมกาญจนบุรี อัครนันท์ เชื่อคนอยากเปลี่ยน รบ.

เมื่อวันที่ 29 มกราคม นายอัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี เขต 1 พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงเวทีปราศรัยในช่วงเย็นวันนี้ (29 มกราคม) ที่ จ.กาญจนบุรี ว่า เวลา 15.30 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย จะเดินทางไปสักการะศาลหลักเมืองกาญจนบุรีก่อนเป็นลำดับแรก ซึ่งจุดนี้เป็นธรรมเนียมของทุกพรรคการเมืองที่เวลามากาญจนบุรีจะต้องมาสักการะที่นี่ก่อน เพราะเชื่อว่าจะได้รับชัยชนะ

จากนั้นเวลา 15.45 น. น.ส.แพทองธาร จะนำคณะพรรคเพื่อไทย (พท.) พบปะ และแลกเปลี่ยนกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวของ จ.กาญจนบุรี โดยพรรค พท.ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว การมาพบปะผู้ประกอบการครั้งนี้จะนำไปสู่การจัดทำเป็นนโยบายในอนาคต ต่อมาเวลา 17.30 น. น.ส.แพทองธารจะนำคณะพรรคพทงขึ้นปราศรัยใหญ่

เมื่อถามว่า หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า พรรค พท.เปลี่ยนสาขาพรรคประจำภาคกลาง จากเดิมที่อยู่ จ.นนทบุรี มาเป็น จ.กาญจนบุรี แทน เพราะหวังกวาดเก้าอี้ ส.ส.กาญจนบุรีทั้ง 5 เขต นายอัครนันท์ กล่าวว่า สมัยเป็นพรรคไทยรักไทย จ.กาญจนบุรี เคยกวาด ส.ส.ได้ทั้ง 5 ที่นั่ง เรามีทั้งฐานของคนเสื้อแดง และฐานของคนที่รักพรรค พท. จึงไม่แปลกที่การเลือกตั้งรอบนี้ เราจะหวังแลนด์สไลด์ใน จ.กาญจนบุรี เพราะการเลือกตั้งเราไม่ได้ ส.ส.จากเหตุการณ์ทางการเมืองหลายอย่าง

นายอัครนันท์ กล่าวอีกว่า ความสำคัญของการปราศรัยครั้งนี้ที่ จ.กาญจนบุรี คือ จะเป็นการปราศรัยครั้งแรกของภาคกลาง ในนามพรรค พท. ดังนั้นจะเห็นว่าพรรคมุ่งมั่นกับ จ.กาญจนบุรีมาก นี่คือการจุดพลุแลนด์สไลด์ภาคกลางด้วย ซึ่งประชาชนก็ให้การตอบรับที่จะมาเข้าร่วมฟังการปราศรัยกว่า 10,000 คน เชื่อว่าจะเป็นการปราศรัยที่คนมาฟังเยอะที่สุดในรอบหลายสิบปีของจ.กาญจนบุรี นี่คือปรากฎการณ์ที่เราไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว
 
หากไม่มีการใช้อำนาจรัฐของคู่แข่ง เรามั่นใจว่าเราจะชนะการเลือกตั้งได้ เพราะทุกวันนี้ประชาชนตื่นตัวในการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งมาก เพราะประชาชนทนอยู่แบบนี้มากว่า 8 ปีแล้ว ผมเชื่อว่าประชาชนมีคำตอบในใจแล้ว วันนี้ คนไม่ได้อยากเพียงเปลี่ยน ส.ส.ในเมืองกาญเท่านั้น แต่คนอยากเปลี่ยนรัฐบาล และมั่นใจว่า ประชาชนจะร่วม เปลี่ยนคน เปลี่ยนเมืองกาญฯ แล้วเปลี่ยนรัฐบาลไปด้วยกัน” นายอัครนันท์ กล่าว




ผลวิจัยชี้ คนกรุงเทพเห็นพ้องเจน Z ต้องเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร เหตุ หมดยุค-กองทัพไทยใหญ่เกินจำเป็น
https://www.matichon.co.th/politics/news_3795614

คนกรุงเทพฯ ร้อยละ 66.50 เห็นว่า ต้องยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร
 
เมื่อวันที่ 29 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รองศาสตราจารย์ ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต ผลแพร่ผลการศึกษาจากการเก็บข้อมูลคนกรุงเทพฯ (อายุ 18 ปีขึ้นไป มี 4.48 ล้านคน ประชากรกรุงเทพฯ 5.52 ล้านคน) เก็บแบบสอบถามจำนวน 1,200 คน โดยมีข้อคำถามว่า “ท่านคิดว่า ต้องมี หรือ ต้องยกเลิก การบังคับเกณฑ์ทหาร โดยใช้การสมัครใจเป็นพลทหารอาชีพแทน

ผลการวิจัยพบว่า
​1.คนกรุงเทพฯ เห็นว่า ต้องยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร จำนวน 798 คน คิดเป็นร้อยละ 66.50 คนกรุงเทพฯเห็นว่า ยังต้องมีบังคับเกณฑ์ทหาร 188 คน คิดเป็นร้อยละ 15.67 ส่วนไม่แสดงความเห็น 214 คน คิดเป็นร้อยละ 17.83
.
2. ทัศนคติคนกรุงเทพฯ มีทิศทางไปทางเดียวกับทัศนคติคน Gen Z ทั้งประเทศ ที่ส่วนใหญ่เห็นว่า ต้องยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร ร้อยละ 84.7 คน Gen Z ที่เห็นว่า ยังต้องมีบังคับเกณฑ์ทหาร ร้อยละ 5.7 ส่วนไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 9.6
.
​3. จากการเก็บข้อมูลเชิงลึก คนกรุงเทพฯที่เห็นว่า ต้องยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร นั้นมีคำอธิบายในแนวทางเดียวกันกับของคน Gen Z เช่น มีทหารไปทำไม, กองทัพไทยมีขนาดใหญ่เกินกว่าความจำเป็นของประเทศ, หมดยุคทหารเกณฑ์, คนทุกคนไม่ได้เกิดมาเพื่อมีร่างกายจิตใจเป็นทหาร, เสียเวลาของชีวิตเยาวชน, เยาวชนเสียเวลาไปเปล่าๆ, ควรให้เยาวชนเอาเวลาไปสร้างสรรค์ชีวิตทางสังคมเศรษฐกิจ, การรักชาติร่วมสร้างชาตินั้นไปทำอาชีพใดๆ ก็ได้, คนมีความหลากหลายจึงมีความสามารถและรสนิยมที่แตกต่างกันไป, เยาวชนต้องมีความทรงจำที่เจ็บปวด, กองทัพไทยถึงยุคต้องจิ๋วแต่แจ๋ว, ศตวรรษนี้เป็นยุคไฮเทคโนโลยีไม่ใช่ยุคทหารเกณฑ์, สิทธิเสรีภาพของคนไทยเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด, ทหารเกณฑ์คือช่องคอรัปชั่นของนายทหารในกองทัพ, ทหารเกณฑ์ไม่ใช่แรงงานฟรีแบบไพร่ทาสของนายทหาร, เกณฑ์ทหารเพื่อไปถูกฝึกซ้อมจนบาดเจ็บล้มตายไปทำไม, ต้องเลิก ร.ด. ด้วย
.
​สำหรับคนกรุงเทพฯ ฝ่ายที่ยังต้องให้มีการบังคับเกณฑ์ทหาร ให้คำอธิบายว่า ชาติต้องการทหารไว้ปกป้องประเทศ, ทหารเกณฑ์มีไว้เพื่อความมั่นคงของชาติ, การเกณฑ์ทหารเป็นหน้าที่ของคนไทย, ไม่มีทหารเกณฑ์แล้วกองทัพจะอยู่ได้อย่างไร, ต้องมีทหารเกณฑ์ไว้เป็นแรงงานในการช่วยเหลือบ้านเมืองยามมีภัยพิบัติธรรมชาติ, ทหารเกณฑ์เพื่อช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัย, การเกณฑ์ทหารทำให้คนไทยมีระเบียบวินัย, ทหารเกณฑ์คือการบ่มเพาะให้คนไทยรู้รักสามัคคี, เกณฑ์ทหารคือการสร้างสำนึกในการรักชาติ, เกณฑ์ทหารทำให้เยาวชนไทยมีความกล้าหาญอดทน, ชาติไทยต้องการให้คนไทยมีการฝึกเพื่อความพร้อมในการปกป้องประเทศชาติยามถูกข้าศึกรุกราน, อาจมีสงคราม เราจึงต้องเตรียมพร้อมด้านกำลังพล ดูตัวอย่างการเสียกรุงศรีอยุธยา
.
​ข้อมูลพื้นฐาน
​งานวิจัยทัศนคติของคนกรุงเทพต่อสังคมการเมืองไทยนี้ เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 3-18 ธันวาคม 2565 รวม 1,200 คน โดยเก็บแบบสอบถามจาก กลุ่มเขตกรุงเทพเหนือ (เขตลาดพร้าว เขตหลักสี่ เขตจตุจักร เขตบางซื่อ เขตสายไหม เขตบางเขน และเขตดอนเมือง) กลุ่มเขตกรุงเทพกลาง (เขตสัมพันธวงศ์ เขตดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตพญาไท เขตราชเทวี เขตดินแดง เขตวังทองหลาง และเขตห้วยขวาง) กลุ่มเขตกรุงธนใต้ (เขตภาษีเจริญ เขตบางแค เขตหนองแขม เขตราษฎร์บูรณะ เขตทุ่งครุ เขตบางขุนเทียน และเขตบางบอน)
​เพศของผู้ตอบแบบสอบถาม : หญิง 483คน (40.25%) ชาย 546 คน (45.50%) เพศหลากหลาย 171 คน (14.25%)
​อายุของผู้ตอบแบบสอบถาม: Gen Z (18-25 ปี) 377 คน (31.42%), Gen Y (26-42 ปี) 549 คน (45.75%), Gen X (43-57 ปี) 167 คน (13.93%), Gen Baby boomer (58 ปีขึ้นไป) 107 คน (8.92%)
​อาชีพหลักของผู้ตอบแบบสอบถาม: นักเรียนนักศึกษา 193 คน (16.08%) พนักงานเอกชน 461 คน (38.42%) รับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน 143 คน (11.92%) เจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ 186 คน (15.50%) ข้าราชการ/พนักงานของรัฐ/รัฐวิสาหกิจ 115 คน (9.58%) พ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน 93 คน (7.75%) อื่นๆ 9 คน (0.75%)
​รายได้ต่อเดือนของผู้ตอบแบบสอบถาม: ไม่มีรายได้ 109 คน (9.08%) รายได้ไม่เกิน 10,000 บาท 128 คน (10.67%) รายได้ 10,001-20,000 บาท 262 คน (21.83%) รายได้ 20,001-30,000 บาท 403 คน (33.58%) รายได้ 30,001- 40,000 บาท 198 คน (16.51%) รายได้ 40,001 บาทขึ้นไป 100 คน (8.33%)
​ทีมผู้ช่วยวิจัย : นายสหรัฐ เวียงอินทร์ นายชนวีย์ กฤตเมธาวี นายศุภกาญจน์ เป็งเมืองมูล นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต



นิด้าโพลเผยผลสำรวจพลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ หลังเลือกตั้งครั้งหน้าไม่แตกกัน มีโอกาสสูงจับมือตั้งรัฐบาล
https://siamrath.co.th/n/418721

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ปะทะ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)” ทำการสำรวจระหว่าง วันที่ 23-25 มกราคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมืองระหว่าง รองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนต่อการแข่งขันทางการเมืองระหว่าง รองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ กับนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ พบว่า 
ตัวอย่าง ร้อยละ 46.56  ระบุว่า พลเอกประวิตร กับ พลเอกประยุทธ์ ไม่ได้แตกกัน เป็นเพียงแค่การแข่งขันทางการเมือง 
รองลงมา ร้อยละ 28.93 ระบุว่า การเมืองไม่มีมิตรแท้และศรัตรูที่ถาวร 
ร้อยละ 20.53 ระบุว่า เป็นสีสันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย 
ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พลเอกประยุทธ์ เป็นอิสระมากขึ้นในการตัดสินใจทางการเมืองและการบริหารประเทศ 
ร้อยละ 10.76 ระบุว่า การแข่งขันกันจะทำให้ทั้งสองพรรคได้ ส.ส. รวมกันแล้วน้อยกว่าจำนวน ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งปี 2562 
ร้อยละ 9.01 ระบุว่า พลเอกประวิตร กับ พลเอกประยุทธ์แตกกันอย่างแน่นอน 
ร้อยละ 8.78 ระบุว่า พลเอกประวิตร และ พรรคพลังประชารัฐ เป็นอิสระมากขึ้น สามารถร่วมรัฐบาลกับฝั่งไหนก็ได้ หลังการเลือกตั้ง 
ร้อยละ 6.56 ระบุว่า การแข่งขันกันจะทำให้ทั้งสองพรรคได้ ส.ส. รวมกันแล้วมากกว่าจำนวน ส.ส. พรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งปี 2562 
ร้อยละ 6.34 ระบุว่า ผู้ที่เคยสนับสนุน พลเอกประยุทธ์ แต่ไม่ชอบ พรรคพลังประชารัฐ จะกลับมาสนับสนุนพลเอกประยุทธ์มากขึ้น 
และร้อยละ 3.05 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 
 
ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อจำนวน ส.ส. ระหว่าง พรรคพลังประชารัฐ และ พรรครวมไทยสร้างชาติ ภายหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 42.75 ระบุว่า ทั้งสองพรรค จะได้จำนวน ส.ส. เท่าๆกัน 
รองลงมา ร้อยละ 25.73 ระบุว่า พรรคพลังประชารัฐของพลเอกประวิตร จะได้จำนวน ส.ส. มากกว่า 
ร้อยละ 24.73 ระบุว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ ของพลเอกประยุทธ์ จะได้จำนวน ส.ส. มากกว่า 
และร้อยละ 6.79 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ  

เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อความเป็นไปได้ที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะจับมือกันในการจัดตั้งรัฐบาล ภายหลังการเลือกตั้งสมัยหน้า พบว่า 
ตัวอย่าง ร้อยละ 38.40 ระบุว่า เป็นไปได้มาก 
รองลงมา ร้อยละ 30.07 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ 
ร้อยละ 18.32 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย 
ร้อยละ 11.76 ระบุว่า ไม่ค่อยเป็นไปได้ 
และร้อยละ 1.45 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.55 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 18.01 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.44 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.74 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.71 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่