วันนี้ อยากจะมาชวนคุยสำหรับคนที่อยากจะออมเงินโดยการลงทุนในหุ้น หรือ กองทุนรวม แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี เก็บแบบไหนดี
บางคนก็บอกให้กระจายการลงทุนบ้างละ บางคนก็ใหัลงในทรัพย์สินความเสี่ยงสูงบ้าง โดยอ้างว่า hight risk hi return บ้าง ระยะเวลาช่วยลดทอนความเสี่ยงลงบ้าง การกระจายการลงทุน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของการลงทุนบ้าง ซึ่งทุกๆอย่างที่กล่าวมา มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆนั่นแหละครับ สำคัญที่ว่า เราเข้าใจการลงทุนของเราแค่ไหน หรือแค่ลงตามเค้าว่า หรือลงเพราะอยากได้ผลตอบแทนสูงๆ โดยเบื้องหลังของการลงทุนนั้น เราไม่ได้ศึกษาให้ดีจริง
ผมขอสรุปคร่าวๆไว้แบบนี้นะครับ
การลงทุนเพื่อการออม ปัจจัยหลักๆนอกจากจำนวนเงิน ก็คือ
1. เงินที่เรานำมาลงทุน เรามีเวลาใส่ใจมันมากน้อยแค่ไหน
หมายถึงว่า สมมุติคุณเอาเงินมาลงทุน 100,000.- ใจอยากจะลงทุนในหุ้น เพราะหวังได้ผลกำไรจาก cappital gain(ส่วนต่างของราคา) และ เงินปันผล แต่เราไม่มีเวลามาดูแล มาศึกษา เพียงแค่เค้าบอกว่า หุ้นตัวนี้ดี ปัจจัยพื้นฐานดี หุ้นมีอนาคต financial ratio ดีมาก บลาๆ แล้วท่านก็เคลิ้มเอาเงินมาลงไปกับเค้าด้วย ปรากฎว่า หุ้นตัวนี้ก๊ดีอย่างเค้าว่าละครับ แรกๆ ราคาก็ขึ้นเอาๆ เราก็ยิ้มกริ่มเลยว่า รวยแน่นอนคราวนี้ แต่แล้ววันดีคืนดี เกิดข่าวไม่ดี หรือ ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลง บรรดาเซียนทั้งหลายที่เฝ้ากระดานอยู่ ณ เวลานั้นได้กลิ่นและเทขาย เรียบร้อยแล้ว ส่วนเรามารู้อีกที ตอนราคาลง คนอื่นเทขายไปก่อนแล้ว คราวนี้ทำไงละ ลงทุนไปแล้ว จะขายก็เสียดาย ขาดทุน ติดดอย บลาๆ
ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเราใส่ใจมันมากพอ กลับมาที่คำถามว่า เรามีเวลาใส่ใจมันไหม หรือรักที่จะใส่ใจหรือเปล่า มันก็ไม่ได้ต้องใช้เวลาอะไรมากมายหรอกครับ แต่จะมีสักกี่คน ที่อ่านข่าว เศรษฐกิจทุกวัน ตามข่าวหุ้นตลอด ติดตามราคาหุ้นทุกๆวัน ติดตามข่าวสารมันบ่อยๆ ช่องทางมันมีเยอะให้ตามครับ คำถามคือ คุณพร้อมไหมที่จะใส่ใจมันขนาดนี้
ถ้าพร้อม คุณก็พร้อมจะลงในหุ้นแล้ว 1 ส่วน ถ้าไม่พร้อม คุณน่าจะต้องตัดสินใจเหลียวตาไปมอง กองทุนรวมบ้าง
เหตุผลที่กองทุนรวมตอบโจทย์คุณมากกว่า เพราะกองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนและทีมงานที่คอยดูแล ติดตามข่าวสารแทนเรา และคอยซื้อขายสลับหุ้นให้เรา ภายใต้เงื่อนไขที่เราต้องการ เช่น ลงทุนในหุ้นที่มีเงินปันผล ความเสี่ยงมาก-น้อย ระยะเวลาในการลงทุน ต่างๆนาๆ
2.ระยะเวลาในการออมเงิน
ถ้าเรานำเงินเราไปออมโดยการฝากเงิน ข้อนี้จะไม่มีประเด็นอะไรเลย แต่การที่คุณนำเงินมาลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวม เรื่องนี้โคตรจะมีผลเลย เพราะว่า ระยะเวลาในการออมเงิน มันจะบอกถึง ความเสี่ยงที่คุณรับได้ / ผลตอบแทนที่คุณอยากได้กับผลตอบแทนที่ควรจะได้ / เรื่องจริงกับความฝัน
ความเสี่ยงที่คุณรับได้ ==> ระยะเวลาในการลงทุนมีผลในเรื่องของความเสี่ยงของการลงทุน เพราะถ้าคุณลงทุนได้ในระยะสั้น แต่อยากได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ มันก็คงเป็นไปได้ยาก และหลายๆคนก็ยังมีความกหวังแบบนั้น เช่น อยากเอาเงินมาลงทุนในทองคำ 1 ปี อยากได้ผลตอบแทน 10%
ตรงนี้ คงต้องทำความเข้าใจเรือง ผลตอบแทนกับความเสี่ยง ว่า การลงทุนนั้น ผลตอบแทน แปนผันตาม กับความเสี่ยง และความเสี่ยงลดทอนลงได้ด้วยเวลา ยกตัวอย่างง่ายๆ ลงทุนในทองคำ 10 ปี ยังไงราคาก็ขึ้นเห็นๆ แต่ในช่วง 10 ปีนั้นมันผันผวนมาก ถ้าเงินคุณไม่เย็นพอ และมีความจำเป็นต้องถอนออกไปใช้จ่ายในช่วงที่ราคามันลงรุนแรง นั่นก็แปลว่า คุณจะขาดทุนหนัก แต่ในทางกลับกัน ถ้าเงินคุณเย็นพอ ทิ้งไว้ 10 ปีในทองคำ ยังไงก็กำไรเห็นๆ เพราะฉนั้น ระยะเวลาในการลงทุน มีผลและมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณควรจะเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับระยะเวลาที่คาดหวัง เช่น 1 ปี ก็อาจจะเป็นพันธบัตร ตลาดเงิน
2-5 ปี อาจจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ มากกว่า 10 ปี อาจจะลงในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็อย่าลิมที่จะกระจายการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ทตัวเอง ไม่ใช่ว่า ถือได่เกิน 10 ปี ก็จะลงทองคำ น้ำมัน หมด แบบนั้นก็เจ๊งได้เช่นกันครับ อย่างที่เค้ากล่าวว่า อย่าใส่ไข่ในตระกร้าใบเดียว
ผลตอบแทนที่คุณอยากได้ / ผลตอบแทนที่ควรจะได้ ===> เหมือนที่ผมบอก คือ อยากได้ผลตอบแทนสูงๆในเวลาสั้นๆ ยากครับ ยากพอๆกับซื้อหวย คือ โอกาสก็มีครับ แต่ส่วนตัวผมมองว่า ถ้าทำแบบนั้น มันคือการพนันไม่ใช่การลงทุนครับ
เรื่องจริงกับความฝัน ==> อยากจะบอกว่า ก่อนการตัดสินใจลงทุน อย่าฟังคนที่แนะนำมากครับ เค้าพูดถูก พูดจริง แต่ไม่หมด แต่เงินเราอาจจะลดลงครับ ฟัง พินิจ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม แล้วค่อยเชื่อครับ
ในหัวข้อนี้ ระยะเวลาในการออม การลงทุนในหุ้น เราควรศึกษาตลาดว่า เป็นขาขึ้น หรือขาลง หุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นแบบไหน หุ้นวัฏจักรหรือเปล่า หรือหุ้นเทค ที่อนาคตเติบโต ระยะเวลาในการเติบโต นานไหม งบการเงินเป็นอย่างไร แล้วจึงพิจารณาเข้า ซื้อ ขาย เพราะถ้าเราเข้าผิด เช่นเข้าตรงยอดดอย แล้วต้องรอรอบมันขึ้นอีกที เราก็จะมีสิทธิ์ต้องขายขาดทุนได้ เช่นเดียวกัน ถ้าเป็นกองทุนรวม คุณควรศึกษาว่าเค้าเอาเงินลงไปกับหุ้นตัวไหน ระยะเวลาคืนทุนนานไหม เหมาะสมกับเงินเราไหม อย่าอยากได้ผลตอบแทนสูงๆอย่างเดียวครับ แล้วมาเสียดายทีหลัง ว่ารู้งี้...
3. เรามีความรู้ในการลงทุนแค่ไหน
ข้อนั คืออยากให้ทุกคนพัฒนาตัวเองเพื่อให้มีความรู้พิ้นฐานในการลงทุนในแบบที่ตัวเองชอบ
1. ชอบหุ้น
ต้องเข้าใจว่า การลงทุนในตลาดหุ้น เราต้องลงทุนผ่าน broker ซึ่งปัจจุบัน ง่ายและผ่านแอปได้ แต่อย่างไรเราก็ต้องเข้าใจมันอยู่ดี
เราต้องไปสมัครเป็นสมาชิกของ broker เพื่อให้ได้ user / pass มาเข้าสู่ กระดานเทรดหุ้น เช่น streaming เมื่อเราเข้ามาได้แล้ว เราก็ต้องมีพื้นฐานการใช้งาน ว่า ซื้อ ขาย ยังไง ตั้งราคาแบบไหน โอนเงินเข้าออกยังไง แอปมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกมากมาย คัดหุ้นมาให้เราแล้วก็เยอะ ต้องเข้าไปศึกษาแอปให้ดี แล้วเริ่มซื้อขายได้ พอเราซื้อขายเป็น เราก็มาถึงขึ้นตอนการเลือกหุ้น ว่าเลือกหุ้นแบบไหน มันก็จะมีหลายแบบ หุ้น growth หุ้น ปันผล หุ้นเข้าใหม่
แต่ละประเภทหุ้นก็จะให้ผลตอบแทน และความเสี่ยงแตกต่างกัน ต้องเข้าไปศึกษาและเลือกหุ้นแต่ละตัว บลาๆๆ ง่ายๆเลย ศึกษาจาก youtube ฟังบทวิเคราะห์ แนวโน้ม อันนี้พื้นฐานคร่าวๆ
2. ชอบกองทุน
อันนี้ก็มีข้อดีตรงที่ว่ามีคนคอยดูแลให้เรา แต่เงินเรายังไงเราก็ต้องเลือกก่อนไหมครับ เลือกอะไรละ เลือกว่าอยากได้แบบไหน กองในประเทศ กองต่างประเทศ กอง passive/ active กองhealth กองtech เยอะแยะไปหมด เมื่อเราเลือกที่เราสนใจได้ เราก็มาเลือกต่ออีกว่า กองที่เราอยากได้ เช่น กองทุนหุ้นเทคโนโลยี มีให้เลือกกี่กอง ผลตอบแทน/ค่าธรรมเนียม เปรียบเทียบแต่ละกอง ต้องอ่าน fundfact sheet เป็น (สำคัญมาก) เมื่อเราได้กองทุนแล้ว เราก็เลือกที่ซื้อ ปัญหาที่เคยเจอคือ สมัครแอปของที่นี้ ซื้อกองอีกที่ไม่ได้ เลยต้องไปสมัครเพิ่ม รุงรังมาก ผมแก้ปัญหาโดยการสมัครซื้อกองผ่าน บุคคลที่ 3 ที่ไม่ใช้ bank เช่น finomena เพราะมันจะซื้อได้ทุกกอง ทุกแบงค์ เมื่อเราซื้อกองทุนแล้ว เราก็ต้องหมั่นตรวจสอบว่า มีผลกำไรขาดทุนยังไง ควรเปลี่ยนไหม หรือถือยาว หรือถือเพื่อผลประโยชน์อื่น เช่น ลดหย่อนภาษีด้วย ออมด้วยลืมๆไปเลย เป็นต้น
เท่านี้ก็น่าจะพอประมาณแล้วครับสำหรับการตัดสินใจเบื้องต้นว่าจะลงทุนแบบไหนดี หรือจะลงดีหรือไม่ดี เหมาะกับเราไหม หรือยังไงก็ลงแล้ว เพราะผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก ก็คงต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมไปเรื่อยๆทีละเล็กทีละน้อย
การจัดพอร์ทการลงทุน
การกระจายความเสี่ยง
ส่วนเผื่อความปลอดภัย (MOs)
ความเสียงการลงทุน
ความเสี่ยงของตลาด
ความเสี่ยงที่ยอมรับได้
และอื่นๆ อีกมากมาย
ขอให้สนุกกับการลงทุน ครับ
อยากลงทุน ในหุ้น ในกองทุน แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง แบบไหนดี มาดูกัน
บางคนก็บอกให้กระจายการลงทุนบ้างละ บางคนก็ใหัลงในทรัพย์สินความเสี่ยงสูงบ้าง โดยอ้างว่า hight risk hi return บ้าง ระยะเวลาช่วยลดทอนความเสี่ยงลงบ้าง การกระจายการลงทุน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของการลงทุนบ้าง ซึ่งทุกๆอย่างที่กล่าวมา มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆนั่นแหละครับ สำคัญที่ว่า เราเข้าใจการลงทุนของเราแค่ไหน หรือแค่ลงตามเค้าว่า หรือลงเพราะอยากได้ผลตอบแทนสูงๆ โดยเบื้องหลังของการลงทุนนั้น เราไม่ได้ศึกษาให้ดีจริง
ผมขอสรุปคร่าวๆไว้แบบนี้นะครับ
การลงทุนเพื่อการออม ปัจจัยหลักๆนอกจากจำนวนเงิน ก็คือ
1. เงินที่เรานำมาลงทุน เรามีเวลาใส่ใจมันมากน้อยแค่ไหน
หมายถึงว่า สมมุติคุณเอาเงินมาลงทุน 100,000.- ใจอยากจะลงทุนในหุ้น เพราะหวังได้ผลกำไรจาก cappital gain(ส่วนต่างของราคา) และ เงินปันผล แต่เราไม่มีเวลามาดูแล มาศึกษา เพียงแค่เค้าบอกว่า หุ้นตัวนี้ดี ปัจจัยพื้นฐานดี หุ้นมีอนาคต financial ratio ดีมาก บลาๆ แล้วท่านก็เคลิ้มเอาเงินมาลงไปกับเค้าด้วย ปรากฎว่า หุ้นตัวนี้ก๊ดีอย่างเค้าว่าละครับ แรกๆ ราคาก็ขึ้นเอาๆ เราก็ยิ้มกริ่มเลยว่า รวยแน่นอนคราวนี้ แต่แล้ววันดีคืนดี เกิดข่าวไม่ดี หรือ ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลง บรรดาเซียนทั้งหลายที่เฝ้ากระดานอยู่ ณ เวลานั้นได้กลิ่นและเทขาย เรียบร้อยแล้ว ส่วนเรามารู้อีกที ตอนราคาลง คนอื่นเทขายไปก่อนแล้ว คราวนี้ทำไงละ ลงทุนไปแล้ว จะขายก็เสียดาย ขาดทุน ติดดอย บลาๆ
ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเราใส่ใจมันมากพอ กลับมาที่คำถามว่า เรามีเวลาใส่ใจมันไหม หรือรักที่จะใส่ใจหรือเปล่า มันก็ไม่ได้ต้องใช้เวลาอะไรมากมายหรอกครับ แต่จะมีสักกี่คน ที่อ่านข่าว เศรษฐกิจทุกวัน ตามข่าวหุ้นตลอด ติดตามราคาหุ้นทุกๆวัน ติดตามข่าวสารมันบ่อยๆ ช่องทางมันมีเยอะให้ตามครับ คำถามคือ คุณพร้อมไหมที่จะใส่ใจมันขนาดนี้
ถ้าพร้อม คุณก็พร้อมจะลงในหุ้นแล้ว 1 ส่วน ถ้าไม่พร้อม คุณน่าจะต้องตัดสินใจเหลียวตาไปมอง กองทุนรวมบ้าง
เหตุผลที่กองทุนรวมตอบโจทย์คุณมากกว่า เพราะกองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนและทีมงานที่คอยดูแล ติดตามข่าวสารแทนเรา และคอยซื้อขายสลับหุ้นให้เรา ภายใต้เงื่อนไขที่เราต้องการ เช่น ลงทุนในหุ้นที่มีเงินปันผล ความเสี่ยงมาก-น้อย ระยะเวลาในการลงทุน ต่างๆนาๆ
2.ระยะเวลาในการออมเงิน
ถ้าเรานำเงินเราไปออมโดยการฝากเงิน ข้อนี้จะไม่มีประเด็นอะไรเลย แต่การที่คุณนำเงินมาลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวม เรื่องนี้โคตรจะมีผลเลย เพราะว่า ระยะเวลาในการออมเงิน มันจะบอกถึง ความเสี่ยงที่คุณรับได้ / ผลตอบแทนที่คุณอยากได้กับผลตอบแทนที่ควรจะได้ / เรื่องจริงกับความฝัน
ความเสี่ยงที่คุณรับได้ ==> ระยะเวลาในการลงทุนมีผลในเรื่องของความเสี่ยงของการลงทุน เพราะถ้าคุณลงทุนได้ในระยะสั้น แต่อยากได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ มันก็คงเป็นไปได้ยาก และหลายๆคนก็ยังมีความกหวังแบบนั้น เช่น อยากเอาเงินมาลงทุนในทองคำ 1 ปี อยากได้ผลตอบแทน 10%
ตรงนี้ คงต้องทำความเข้าใจเรือง ผลตอบแทนกับความเสี่ยง ว่า การลงทุนนั้น ผลตอบแทน แปนผันตาม กับความเสี่ยง และความเสี่ยงลดทอนลงได้ด้วยเวลา ยกตัวอย่างง่ายๆ ลงทุนในทองคำ 10 ปี ยังไงราคาก็ขึ้นเห็นๆ แต่ในช่วง 10 ปีนั้นมันผันผวนมาก ถ้าเงินคุณไม่เย็นพอ และมีความจำเป็นต้องถอนออกไปใช้จ่ายในช่วงที่ราคามันลงรุนแรง นั่นก็แปลว่า คุณจะขาดทุนหนัก แต่ในทางกลับกัน ถ้าเงินคุณเย็นพอ ทิ้งไว้ 10 ปีในทองคำ ยังไงก็กำไรเห็นๆ เพราะฉนั้น ระยะเวลาในการลงทุน มีผลและมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณควรจะเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับระยะเวลาที่คาดหวัง เช่น 1 ปี ก็อาจจะเป็นพันธบัตร ตลาดเงิน
2-5 ปี อาจจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ มากกว่า 10 ปี อาจจะลงในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็อย่าลิมที่จะกระจายการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ทตัวเอง ไม่ใช่ว่า ถือได่เกิน 10 ปี ก็จะลงทองคำ น้ำมัน หมด แบบนั้นก็เจ๊งได้เช่นกันครับ อย่างที่เค้ากล่าวว่า อย่าใส่ไข่ในตระกร้าใบเดียว
ผลตอบแทนที่คุณอยากได้ / ผลตอบแทนที่ควรจะได้ ===> เหมือนที่ผมบอก คือ อยากได้ผลตอบแทนสูงๆในเวลาสั้นๆ ยากครับ ยากพอๆกับซื้อหวย คือ โอกาสก็มีครับ แต่ส่วนตัวผมมองว่า ถ้าทำแบบนั้น มันคือการพนันไม่ใช่การลงทุนครับ
เรื่องจริงกับความฝัน ==> อยากจะบอกว่า ก่อนการตัดสินใจลงทุน อย่าฟังคนที่แนะนำมากครับ เค้าพูดถูก พูดจริง แต่ไม่หมด แต่เงินเราอาจจะลดลงครับ ฟัง พินิจ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม แล้วค่อยเชื่อครับ
ในหัวข้อนี้ ระยะเวลาในการออม การลงทุนในหุ้น เราควรศึกษาตลาดว่า เป็นขาขึ้น หรือขาลง หุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นแบบไหน หุ้นวัฏจักรหรือเปล่า หรือหุ้นเทค ที่อนาคตเติบโต ระยะเวลาในการเติบโต นานไหม งบการเงินเป็นอย่างไร แล้วจึงพิจารณาเข้า ซื้อ ขาย เพราะถ้าเราเข้าผิด เช่นเข้าตรงยอดดอย แล้วต้องรอรอบมันขึ้นอีกที เราก็จะมีสิทธิ์ต้องขายขาดทุนได้ เช่นเดียวกัน ถ้าเป็นกองทุนรวม คุณควรศึกษาว่าเค้าเอาเงินลงไปกับหุ้นตัวไหน ระยะเวลาคืนทุนนานไหม เหมาะสมกับเงินเราไหม อย่าอยากได้ผลตอบแทนสูงๆอย่างเดียวครับ แล้วมาเสียดายทีหลัง ว่ารู้งี้...
3. เรามีความรู้ในการลงทุนแค่ไหน
ข้อนั คืออยากให้ทุกคนพัฒนาตัวเองเพื่อให้มีความรู้พิ้นฐานในการลงทุนในแบบที่ตัวเองชอบ
1. ชอบหุ้น
ต้องเข้าใจว่า การลงทุนในตลาดหุ้น เราต้องลงทุนผ่าน broker ซึ่งปัจจุบัน ง่ายและผ่านแอปได้ แต่อย่างไรเราก็ต้องเข้าใจมันอยู่ดี
เราต้องไปสมัครเป็นสมาชิกของ broker เพื่อให้ได้ user / pass มาเข้าสู่ กระดานเทรดหุ้น เช่น streaming เมื่อเราเข้ามาได้แล้ว เราก็ต้องมีพื้นฐานการใช้งาน ว่า ซื้อ ขาย ยังไง ตั้งราคาแบบไหน โอนเงินเข้าออกยังไง แอปมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกมากมาย คัดหุ้นมาให้เราแล้วก็เยอะ ต้องเข้าไปศึกษาแอปให้ดี แล้วเริ่มซื้อขายได้ พอเราซื้อขายเป็น เราก็มาถึงขึ้นตอนการเลือกหุ้น ว่าเลือกหุ้นแบบไหน มันก็จะมีหลายแบบ หุ้น growth หุ้น ปันผล หุ้นเข้าใหม่
แต่ละประเภทหุ้นก็จะให้ผลตอบแทน และความเสี่ยงแตกต่างกัน ต้องเข้าไปศึกษาและเลือกหุ้นแต่ละตัว บลาๆๆ ง่ายๆเลย ศึกษาจาก youtube ฟังบทวิเคราะห์ แนวโน้ม อันนี้พื้นฐานคร่าวๆ
2. ชอบกองทุน
อันนี้ก็มีข้อดีตรงที่ว่ามีคนคอยดูแลให้เรา แต่เงินเรายังไงเราก็ต้องเลือกก่อนไหมครับ เลือกอะไรละ เลือกว่าอยากได้แบบไหน กองในประเทศ กองต่างประเทศ กอง passive/ active กองhealth กองtech เยอะแยะไปหมด เมื่อเราเลือกที่เราสนใจได้ เราก็มาเลือกต่ออีกว่า กองที่เราอยากได้ เช่น กองทุนหุ้นเทคโนโลยี มีให้เลือกกี่กอง ผลตอบแทน/ค่าธรรมเนียม เปรียบเทียบแต่ละกอง ต้องอ่าน fundfact sheet เป็น (สำคัญมาก) เมื่อเราได้กองทุนแล้ว เราก็เลือกที่ซื้อ ปัญหาที่เคยเจอคือ สมัครแอปของที่นี้ ซื้อกองอีกที่ไม่ได้ เลยต้องไปสมัครเพิ่ม รุงรังมาก ผมแก้ปัญหาโดยการสมัครซื้อกองผ่าน บุคคลที่ 3 ที่ไม่ใช้ bank เช่น finomena เพราะมันจะซื้อได้ทุกกอง ทุกแบงค์ เมื่อเราซื้อกองทุนแล้ว เราก็ต้องหมั่นตรวจสอบว่า มีผลกำไรขาดทุนยังไง ควรเปลี่ยนไหม หรือถือยาว หรือถือเพื่อผลประโยชน์อื่น เช่น ลดหย่อนภาษีด้วย ออมด้วยลืมๆไปเลย เป็นต้น
เท่านี้ก็น่าจะพอประมาณแล้วครับสำหรับการตัดสินใจเบื้องต้นว่าจะลงทุนแบบไหนดี หรือจะลงดีหรือไม่ดี เหมาะกับเราไหม หรือยังไงก็ลงแล้ว เพราะผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก ก็คงต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมไปเรื่อยๆทีละเล็กทีละน้อย
การจัดพอร์ทการลงทุน
การกระจายความเสี่ยง
ส่วนเผื่อความปลอดภัย (MOs)
ความเสียงการลงทุน
ความเสี่ยงของตลาด
ความเสี่ยงที่ยอมรับได้
และอื่นๆ อีกมากมาย
ขอให้สนุกกับการลงทุน ครับ