ปัญหาระยะสั้น ก็แค่1 ช่วงอายุคนโดยประมาณ ชอบเอามาขู่กันจัง
1.ช่วงแรก ปัญหาของประชากรน้อยลงที่เห็นได้ชัดที่สุดน่าจะเป็นเศรษฐกิจ ประชากรน้อยลง หมายถึง จำนวนผู้บริโภคน้อยลง ผู้บริโภคน้อยลงก็หมายถึงรายได้ของบริษัทน้อยลง เช่น บ้านขายยากขึ้น รถยนตร์ขายยากขึ้น คนเดินห้างน้อยลง ฯ เมื่อรายได้ของทุกบริษัทน้อยลง ก็จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย พอเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตลาดหุ้นตกลง การลงทุนจากนักลงทุนก็ลดน้อยลงไปด้วย คนรวยก็จะรวยน้อยลง สิ่งที่อาจตามมาก็คือจะเกิดการจ้างงานที่ต่ำลง และ มีคนตกงานมากขึ้น คนทั่วโลกจะอยู่อาศัยแบบภาวะซบเซา การดิ้นรนคิด้นวิจัยก็น้อยลง การเติบโตทางเทคโนโลยีก็น้อยลง เหตุผลที่จะไปสร้างอาณานิคมบนดาวอังคารอาจแทบไม่เหลือ
2.ช่วงแรกการที่ประชากรในประเทศมีอายุสูงขึ้น จนทำให้คนทำงานต้องเสียภาษีมากขึ้นเพื่อเลี้ยงดูประชากรผู้สูงอายุ ประชาชนวัยหนุ่มสาว ต้องแบกภาระในการเลี้ยงดูผู้สูงอายุจำนวนมาก
3.แนวโน้มประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อคนรุ่นนี้มีลูกน้อยลง รุ่นถัดไปและถัดไป ก็จะพบรักและมีลูกกันน้อยลงต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ
4.อื่นๆ
เหตุผลที่เอามาขู่ๆกันจังก็ประมาณนี้ ในแง่บุคคลมันมีอะไรเสียหายร้ายแรงเหรอ แค่คนรวยรวยน้อยลง ตลาดหุ้นเล็กลุง เศรษฐกิจซบเซา คนตกงาน ฯ
แต่มันก็แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ ?
1.เศรษฐกิจเล็กลง ก็เล็กไปซิ ในแง่ปัจเจก ปลา 1 ตัว จะว่ายน้ำในบึง หรือ ว่ายน้ำในทะเล ก็เป็นแค่ปลา 1 ตัว ขนาดบ่อจะใหญ่จะเล็กไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตปลา 1 ตัวอยู่แล้ว เพราะปลาธรรมดาตัวนึงที่ไม่ใช่มหาเศรษฐี ใช้ชีวิตไม่ได้กอบโกยอะไรได้มากมายขนาดนั้น ห้างร้านซบเซา เทคโนโนโลยีพัฒนาช้าลง ชีวิตสโลไลฟ์มากขึ้น ถึงจุดๆหนึ่งมันก็ไปสู่สมดุลของชีวิตรูปแบบใหม่ ที่ในมุมมองทางเศรษฐกิจเรียกว่าซบเซา แต่ในมุมมองการใช้ชีวิต มันอาจเรียกว่าสมดุล ดิ้นรนน้อยลง มีความสุขมากขึ้นก็ได้ ใครจะไปรู้
2.คนรุ่นหนุ่มสาวต้องแบกภาระคนแก่มากขึ้น ก็ใช่ แต่มันก็แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นมั๊ยอะ พอคนแก่ที่ว่าเยอะๆ รุ่นนั้นตายหมดไป คนหนุ่มสาวที่มีจำนวนน้อยกลายเป็นคนแก่ ก็กลายเป็นคนแก่ที่จำนวนน้อย คนหนุ่มสาวรุ่นหลังจากนั้นก็ไม่ต้องมาแบกภาระอะไรกันอีก คำขู่นี้มันก็แค่เรื่องชั่วคราวแค่ 1 ชั่วอายุคน เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นแน่ แต่ก็หายไปเองแน่ๆเหมือนกัน
3. แนวโน้มประชากรลดลงต่อเนื่อง คนจับคู่กันน้อยลง แล้วไม่ดีเหรอ ทรัพยากรเท่าเดิม ผู้บริโภคน้อยลง มันก็เหลือ การบุกรุกป่าหาที่ทำกิน ฯลฯ อะไรพวกนี้ก็ลดน้อยลง ก็ที่มันเหลือๆ ใครจะไปถางป่า สัตว์น้ำก็ถูกจับมาบริโภคน้อยลง สิ่งแวดล้อมดีขึ้น โลกก็ฟื้นฟู มันอาจเป็นเรื่องดีก็ได้นะ
ผมว่าระบบทุนนิยม ชอบเอาความจริงครึ่งเดียวมาปั่นหัวคนนะ ว่า โลกจะเลวร้ายลงแน่ๆ ถ้าประชากรลด ทั้งที่ ไม่ได้มองมิติอื่นๆด้วยซ้ำ มองเงินและเศรษฐกิจเป็นหลักอย่างเดียวเป็นหลักเลย
โดยไม่ยอมมองว่าปัญหานี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ ค่าใช้จ่าย ความเครียดในหน้าที่การงาน และ ปัญหาทางสังคม ความเหลื่อมล้ำ ทุนใหญ่กินรวย รวยกระจุก จนกระจาย ทุนใหญ่ยิ่งร่วย ทุนน้อยยิ่งจน สิ่งเหล่านี้เป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้คนมีลูก แต่ถ้าจะแก้ไขมันอาจจะต้องเปลี่ยนระบบทางเศรษฐกิจใหม่ให้มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น ให้มีความเสรีภาพมากขึ้น แต่พูดกันแต่ปากเท่านั้นแหละ ถึงเวลาก็มือใครยาว มือใครใหญ่ก็โกยได้โกยเอา ไม่มีคำว่าแบ่งปันหรือแข่งขันอย่างยุติธรรมในระบบทุนนิยมเสรีอยู่แล้ว
ทีนี้ เมื่อคนตัวเล็กเขารู้สึกลึกๆว่าต้องตอบโต้ ตัวเขาโตมาสภาพนี้แล้ว เป็นแค่ฟืนดุ้นเล็กๆมาเติมไฟเพื่อความโชติช่วงชัชวาลของคนที่เขามีความสามารถในการกอบโกยได้มากกว่า เผาผลาญตัวเองให้เขาเสร็จแล้วก็ตายไป ผ่อนบ้านผ่อนรถหมดก็แทบเหนียงยานแล้ว ยังแทบไม่ได้ใช้ชีวิต เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว เขาจะไม่ยอมให้ลูกๆของเขาต้องโตมาสภาพนี้อีกก็คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่คนตัวเล็กๆจะทำอะไรได้ ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ บางคนก็เลือกตัดวงจรมันเสียเลย คือให้มันจบที่รุ่นตัวเอง ไม่แต่งงานมีลูก หรือ ทุ่มทรัพยากรทุกอย่างที่มีลงไปที่ลูกแค่คนเดียว หรือสองคน เพื่อให้เขาได้มีทางเลือกชีวิตที่ดีขึ้น มีบ้าน มีที่ดิน มีการศึกษาดีๆ เตรียมไว้พร้อม ดีกว่ากระจายไปที่ลูกหลายคนเพื่อให้เขาไร้ทางเลือกอีก หรือถ้าคิดแล้วว่าเตรียมพร้อมให้เขาไม่ได้ ไม่มีปัญญา ก็ตัดวงจรไม่มีมันเสียเลย
ยกตัวอย่างคนยุค Baby Boom รุ่นตาผม มีที่ดิน 100 ไร่ แต่ดันมีลูกตั้ง 8 คน หารกันแล้วรุ่นลูกได้คนละ 12 ไร่ ถ้ารุ่นหลานมีบ้านละ 3 คนหารแล้วก็เหลือแค่คนละ 4 ไร่ ไม่พอทำกินกันละ ต้องดิ้นร้นไปทำอย่างอื่น แต่ถ้าตัดกรรมซะ รุ่นหลาน 3 คน พากันไม่มีลูก หรือทั้ง 3 บ้านมีแค่บ้านเดียวที่มีลูก 12 ไร่นี้ก็จะตกอยู่ในมือเหลนคนเดียว เขาก็มีโอกาสที่ดีกว่า เป็นต้น
ชีวิตคนไม่มีลูก มีลูกน้อย ไม่แต่งงาน หลายครั้งถูกตีตราประหนึ่งไม่สร้างประโยชน์แก่มนุษยชาติ ซะงั้น เอ่อ เอาดีๆ การที่เขาไม่สืบพันธุ์เนี่ย มันอาจแค่ไม่สร้างเม็ดเงินในกระเป๋านายทุนให้เติบโตขึ้นไปอีก ทำให้เศรษฐกิจไม่โต หุ้นร่วง แค่นั้นก็ได้มั้ง แต่ในแง่โทษ หรือ ข้อเสียด้านอื่นๆ
ผมว่าแทบไม่มี ทำไมชอบขู่ หรือ ทำให้รู้สึกผิดกันจัง
ปัญหาของการที่ประชากรลดลงคืออะไรเหรอ ขู่กันจัง ? ระยะยาวถึงจุดๆหนึ่งมันควรจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ
1.ช่วงแรก ปัญหาของประชากรน้อยลงที่เห็นได้ชัดที่สุดน่าจะเป็นเศรษฐกิจ ประชากรน้อยลง หมายถึง จำนวนผู้บริโภคน้อยลง ผู้บริโภคน้อยลงก็หมายถึงรายได้ของบริษัทน้อยลง เช่น บ้านขายยากขึ้น รถยนตร์ขายยากขึ้น คนเดินห้างน้อยลง ฯ เมื่อรายได้ของทุกบริษัทน้อยลง ก็จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย พอเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตลาดหุ้นตกลง การลงทุนจากนักลงทุนก็ลดน้อยลงไปด้วย คนรวยก็จะรวยน้อยลง สิ่งที่อาจตามมาก็คือจะเกิดการจ้างงานที่ต่ำลง และ มีคนตกงานมากขึ้น คนทั่วโลกจะอยู่อาศัยแบบภาวะซบเซา การดิ้นรนคิด้นวิจัยก็น้อยลง การเติบโตทางเทคโนโลยีก็น้อยลง เหตุผลที่จะไปสร้างอาณานิคมบนดาวอังคารอาจแทบไม่เหลือ
2.ช่วงแรกการที่ประชากรในประเทศมีอายุสูงขึ้น จนทำให้คนทำงานต้องเสียภาษีมากขึ้นเพื่อเลี้ยงดูประชากรผู้สูงอายุ ประชาชนวัยหนุ่มสาว ต้องแบกภาระในการเลี้ยงดูผู้สูงอายุจำนวนมาก
3.แนวโน้มประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อคนรุ่นนี้มีลูกน้อยลง รุ่นถัดไปและถัดไป ก็จะพบรักและมีลูกกันน้อยลงต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ
4.อื่นๆ
เหตุผลที่เอามาขู่ๆกันจังก็ประมาณนี้ ในแง่บุคคลมันมีอะไรเสียหายร้ายแรงเหรอ แค่คนรวยรวยน้อยลง ตลาดหุ้นเล็กลุง เศรษฐกิจซบเซา คนตกงาน ฯ
แต่มันก็แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ ?
1.เศรษฐกิจเล็กลง ก็เล็กไปซิ ในแง่ปัจเจก ปลา 1 ตัว จะว่ายน้ำในบึง หรือ ว่ายน้ำในทะเล ก็เป็นแค่ปลา 1 ตัว ขนาดบ่อจะใหญ่จะเล็กไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตปลา 1 ตัวอยู่แล้ว เพราะปลาธรรมดาตัวนึงที่ไม่ใช่มหาเศรษฐี ใช้ชีวิตไม่ได้กอบโกยอะไรได้มากมายขนาดนั้น ห้างร้านซบเซา เทคโนโนโลยีพัฒนาช้าลง ชีวิตสโลไลฟ์มากขึ้น ถึงจุดๆหนึ่งมันก็ไปสู่สมดุลของชีวิตรูปแบบใหม่ ที่ในมุมมองทางเศรษฐกิจเรียกว่าซบเซา แต่ในมุมมองการใช้ชีวิต มันอาจเรียกว่าสมดุล ดิ้นรนน้อยลง มีความสุขมากขึ้นก็ได้ ใครจะไปรู้
2.คนรุ่นหนุ่มสาวต้องแบกภาระคนแก่มากขึ้น ก็ใช่ แต่มันก็แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นมั๊ยอะ พอคนแก่ที่ว่าเยอะๆ รุ่นนั้นตายหมดไป คนหนุ่มสาวที่มีจำนวนน้อยกลายเป็นคนแก่ ก็กลายเป็นคนแก่ที่จำนวนน้อย คนหนุ่มสาวรุ่นหลังจากนั้นก็ไม่ต้องมาแบกภาระอะไรกันอีก คำขู่นี้มันก็แค่เรื่องชั่วคราวแค่ 1 ชั่วอายุคน เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นแน่ แต่ก็หายไปเองแน่ๆเหมือนกัน
3. แนวโน้มประชากรลดลงต่อเนื่อง คนจับคู่กันน้อยลง แล้วไม่ดีเหรอ ทรัพยากรเท่าเดิม ผู้บริโภคน้อยลง มันก็เหลือ การบุกรุกป่าหาที่ทำกิน ฯลฯ อะไรพวกนี้ก็ลดน้อยลง ก็ที่มันเหลือๆ ใครจะไปถางป่า สัตว์น้ำก็ถูกจับมาบริโภคน้อยลง สิ่งแวดล้อมดีขึ้น โลกก็ฟื้นฟู มันอาจเป็นเรื่องดีก็ได้นะ
ผมว่าระบบทุนนิยม ชอบเอาความจริงครึ่งเดียวมาปั่นหัวคนนะ ว่า โลกจะเลวร้ายลงแน่ๆ ถ้าประชากรลด ทั้งที่ ไม่ได้มองมิติอื่นๆด้วยซ้ำ มองเงินและเศรษฐกิจเป็นหลักอย่างเดียวเป็นหลักเลย
โดยไม่ยอมมองว่าปัญหานี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ ค่าใช้จ่าย ความเครียดในหน้าที่การงาน และ ปัญหาทางสังคม ความเหลื่อมล้ำ ทุนใหญ่กินรวย รวยกระจุก จนกระจาย ทุนใหญ่ยิ่งร่วย ทุนน้อยยิ่งจน สิ่งเหล่านี้เป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้คนมีลูก แต่ถ้าจะแก้ไขมันอาจจะต้องเปลี่ยนระบบทางเศรษฐกิจใหม่ให้มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น ให้มีความเสรีภาพมากขึ้น แต่พูดกันแต่ปากเท่านั้นแหละ ถึงเวลาก็มือใครยาว มือใครใหญ่ก็โกยได้โกยเอา ไม่มีคำว่าแบ่งปันหรือแข่งขันอย่างยุติธรรมในระบบทุนนิยมเสรีอยู่แล้ว
ทีนี้ เมื่อคนตัวเล็กเขารู้สึกลึกๆว่าต้องตอบโต้ ตัวเขาโตมาสภาพนี้แล้ว เป็นแค่ฟืนดุ้นเล็กๆมาเติมไฟเพื่อความโชติช่วงชัชวาลของคนที่เขามีความสามารถในการกอบโกยได้มากกว่า เผาผลาญตัวเองให้เขาเสร็จแล้วก็ตายไป ผ่อนบ้านผ่อนรถหมดก็แทบเหนียงยานแล้ว ยังแทบไม่ได้ใช้ชีวิต เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว เขาจะไม่ยอมให้ลูกๆของเขาต้องโตมาสภาพนี้อีกก็คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่คนตัวเล็กๆจะทำอะไรได้ ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ บางคนก็เลือกตัดวงจรมันเสียเลย คือให้มันจบที่รุ่นตัวเอง ไม่แต่งงานมีลูก หรือ ทุ่มทรัพยากรทุกอย่างที่มีลงไปที่ลูกแค่คนเดียว หรือสองคน เพื่อให้เขาได้มีทางเลือกชีวิตที่ดีขึ้น มีบ้าน มีที่ดิน มีการศึกษาดีๆ เตรียมไว้พร้อม ดีกว่ากระจายไปที่ลูกหลายคนเพื่อให้เขาไร้ทางเลือกอีก หรือถ้าคิดแล้วว่าเตรียมพร้อมให้เขาไม่ได้ ไม่มีปัญญา ก็ตัดวงจรไม่มีมันเสียเลย
ยกตัวอย่างคนยุค Baby Boom รุ่นตาผม มีที่ดิน 100 ไร่ แต่ดันมีลูกตั้ง 8 คน หารกันแล้วรุ่นลูกได้คนละ 12 ไร่ ถ้ารุ่นหลานมีบ้านละ 3 คนหารแล้วก็เหลือแค่คนละ 4 ไร่ ไม่พอทำกินกันละ ต้องดิ้นร้นไปทำอย่างอื่น แต่ถ้าตัดกรรมซะ รุ่นหลาน 3 คน พากันไม่มีลูก หรือทั้ง 3 บ้านมีแค่บ้านเดียวที่มีลูก 12 ไร่นี้ก็จะตกอยู่ในมือเหลนคนเดียว เขาก็มีโอกาสที่ดีกว่า เป็นต้น
ชีวิตคนไม่มีลูก มีลูกน้อย ไม่แต่งงาน หลายครั้งถูกตีตราประหนึ่งไม่สร้างประโยชน์แก่มนุษยชาติ ซะงั้น เอ่อ เอาดีๆ การที่เขาไม่สืบพันธุ์เนี่ย มันอาจแค่ไม่สร้างเม็ดเงินในกระเป๋านายทุนให้เติบโตขึ้นไปอีก ทำให้เศรษฐกิจไม่โต หุ้นร่วง แค่นั้นก็ได้มั้ง แต่ในแง่โทษ หรือ ข้อเสียด้านอื่นๆ
ผมว่าแทบไม่มี ทำไมชอบขู่ หรือ ทำให้รู้สึกผิดกันจัง