‘โทนี่’ เชื่อปล่อย ‘เพื่อไทย’ แลนด์สไลด์ ปี 70 ขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 600 บาท ยังน้อยไป
https://www.matichon.co.th/politics/news_3788055
‘โทนี่’ เชื่อปล่อย ‘เพื่อไทย’ แลนด์สไลด์ ปี 70 ขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 600 บาท ยังน้อยไป
เมื่อช่วงค่ำวันที่ 24 มกราคม เฟซบุ๊ก
CARE • แคร์ คิด เคลื่อน ไทย ได้ไลฟ์สด การพูดคุยกับ
โทนี่ วู้ดซัม หรือ นาย
ทักษิณ ชินวัตร ในหัวข้อ มีเรื่องคาใจ ก็ถามมาเลอ!
โดยช่วงหนึ่ง นาย
ทักษิณ กล่าวว่า วันนี้เรื่องของการลดช่องว่างในประเทศไทยเป็นปัญหาใหญ่ ต้องทำด่วน โดยการลดช่องว่างทำได้หลายแบบ อันหนึ่งคือการให้โอกาสคนตัวเล็ก ให้โอกาสคนชั้นกลาง นั่นก็คือการ Break monopoly ทั้งหลาย ให้บริษัทเล็กๆ กลางๆ มีโอกาสได้เกิด ได้เติบโต ได้มีช่องทางมากขึ้น ไม่ใช่ช่องทางที่ปิดให้เฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ไม่กี่บริษัท ซึ่งเท่าที่ฟังทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย เขาคิดแบบนั้น
อันที่ 2 คือ ระบบ Capitalism ระบบทุนนิยม คือไม่มีทุนก็ไม่โต ต้องมีทุน เพราะฉะนั้นการกระจายทุนเข้าไปสู่คน ซึ่งมีกำลังน้อย หรือเข้าหาแหล่งทุนได้น้อย จะเป็นช่องทางหนึ่งที่เปิดโอกาสให้คนได้มีโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจได้ แต่อันที่ชอบมาก แม้จะเป็น Appetizer ของพรรคเพื่อไทย คือ การที่จะสร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง คือมี 20 ล้านครอบครัว เขาพยายามจะนำ 1 คนในครอบครัว มาเพิ่มความชำนาญที่เขามีอยู่แล้ว เพื่อจะได้มีรายได้หลักในการดูแลครอบครัวได้ ซึ่งจะทำให้คนๆ นี้ มีรายได้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อปี ซึ่งก็พอดูแลครอบครัวได้ และหากเศรษฐกิจดี ทุกคนก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย
“
นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ ของพรรคเพื่อไทย เป็นเพราะต้องการยกระดับเศรษฐกิจ อย่าตกใจ ที่บอกว่าจ่าย 600 บาทนั้น เพราะที่จริงแล้วเมื่อถึงปี 2570 ผมดูแล้ว 600 บาทอาจเอาไม่อยู่ด้วย เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นกว่านั้น ถ้าปล่อยให้เพื่อไทยเขาแลนด์สไลด์ เขาทำได้แน่” นาย
ทักษิณกล่าว
‘เผ่าภูมิ’ ชูโมเดลภาคบริการ 2570 คู่ขนานท่องเที่ยวแบบเดิม ดันเขตธุรกิจใหม่ 4 ภาคเป็นศูนย์กลาง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3788345
‘เผ่าภูมิ’ ชูโมเดลภาคบริการ 2570 คู่ขนานท่องเที่ยวแบบเดิม ดันเขตธุรกิจใหม่ 4 ภาคเป็นศูนย์กลาง
เมื่อวันที่ 25 มกราคม นาย
เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) และผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพรรค พท. กล่าวถึงแนวคิดการสร้างภาคบริการ 2570 ว่า วันนี้ภาคบริการของโลกขยายตัวทวีคูณ แต่ไม่ใช่จากการท่องเที่ยว กว่าทศวรรษที่ไทยใช้การท่องเที่ยวเป็นหัวหอกเพื่อเข็นเศรษฐกิจประเทศ ท่องเที่ยวของไทยเป็นภาคบริการยุคเก่า ใช้ทะเล ภูเขา ธรรมชาติ และสิ่งปลูกสร้าง เป็นจุดขาย จะได้เงินกันต้องเจอหน้ากัน สร้างมูลค่าต่ำ มีผลิตภาพแรงงานต่ำ ผันผวนตามเศรษฐกิจโลก และเป็นการท่องเที่ยวเน้นปริมาณก่อนคุณภาพมาโดยตลอด
นาย
เผ่าภูมิ กล่าวต่อว่า ต่อมาไทยก็กลับมานั่งคิดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวมากแต่มีรายได้ต่อหัวต่ำนั้นไม่ใช่คำตอบ ต้องเป็นนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง รายได้ต่อหัวสูง อยู่ในไทยนานๆ เน้นนักท่องเที่ยวจากยุโรป เอเชียเหนือ เอเชียใต้ แต่ก็ยังไม่พอ วันนี้ประเทศรายได้สูง รวมทั้งอินเดีย กำลังโกยเงินมหาศาลจากภาคบริการรูปแบบใหม่ (Modern Services) ที่สร้างรายได้จากการขายบริการในรูปแบบใหม่ ไม่ต้องมาเจอหน้ากัน ก็หาเงินจากการขายบริการได้ ผ่าน Online Outsourcing ข้ามชาติ โดยใช้เทคโนโลยีสื่อสารเป็นตัวกลาง เช่น การบริการด้านบัญชีและกฎหมาย การบริการด้านธุรกิจการเงิน การบริการด้านวิศวกรรมและสถาปนิก การบริการแฟลตฟอร์ม การบริการด้านการศึกษา การบริการซอฟต์แวร์และ IT การบริการด้านการแพทย์ เป็นต้น
นาย
เผ่าภูมิ กล่าวด้วยว่า เหล่านี้คือการหารายได้จากภาคบริการข้ามชาติรูปแบบใหม่ ซึ่งกำลังขยายตัวสูงมาก มีผลิตภาพแรงงานสูงกว่าถึง 6-12 เท่าตัว โกยเงินเข้าประเทศในต้นทุนที่ถูกกว่า แต่ไทยมีภาคบริการรูปแบบใหม่นี้เพียง 14% ของ GDP ขณะที่ สหรัฐอเมริกา 38% สิงค์โปร์ 33% ฟิลิปปินส์ 19% มาเลเซีย 19% ทำให้ไทยเป็นประเทศท้ายๆ ของอาเซียน และไร้การสนับสนุนและทิศทางจากภาครัฐ
นาย
เผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า พรรค พท.ปักธงตั้งเป้าสร้างภาคบริการรูปแบบใหม่ภายในปี 2570 คู่ขนานกับท่องเที่ยวแบบเดิม ซึ่งต้องใช้ทั้งทักษะวิชาชีพด้านวิศวกรรม บัญชี การแพทย์ ซึ่งไม่น่าห่วง ผนวกกับทักษะดิจิทัล ซึ่งตรงนี้น่าห่วงมาก ต้องยกเครื่องทั้งคนและโครงสร้างด้านดิจิทัล โดยพรรค พท.ตั้งเป้าตอก 2 เสาเข็ม เศรษฐกิจ ดิจิทัลให้กับประเทศสร้างคนให้รู้ สร้างโครงสร้างให้พร้อม โดยเฉพาะในเขตธุรกิจใหม่ทั้ง 4 ภาค ซึ่งจะเป็นแหล่งบ่มเพาะทักษะดิจิทัล แหล่งสร้างงานยุคใหม่ โดยสร้างกฎหมายธุรกิจชุดใหม่ดึงดูดและเอื้อต่อโมเดลภาคบริการยุคใหม่จากต่างชาติให้มาลงทุนในไทย รื้อกฏระเบียบการเคลื่อนย้ายแรงงานจากต่างชาติ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้เอื้อต่อภาคบริการรูปแบบใหม่ ทลายข้อจำกัดในระบบการเงินด้วย CBDC และดึงดูด Digital Nomad จากต่างประเทศเข้าพักในไทย โดยใช้ 4 เขตธุรกิจใหม่เป็นศูนย์กลาง เพราะวันนี้เราถึงทางตันของรายได้แบบเก่า รายได้รูปแบบใหม่ เครื่องยนต์ตัวใหม่จึงต้องถูกสร้างขึ้น
ส่งออกเดือน ธ.ค.หดตัวแรง 14.6% ฉุดทั้งปีขยายตัว 5.5% Krungthai COMPASS คาดส่งออกปี 66 โต 0.7%
https://siamrath.co.th/n/417621
มูลค่าส่งออกเดือน ธ.ค.อยู่ที่ 21,719 ล้านดอลลาร์ฯ หดตัวต่อเนื่องที่ 14.6%YoY จากเดือนก่อนหน้าที่หดตัว 6.0%YoY โดยการส่งออกสินค้าทุกหมวดหดตัวได้แก่ สินค้าเกษตรกรรม สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมจากผลกระทบของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคอ่อนแอ และผลของฐานเดือน ธ.ค.ในปี 2564 ที่สูง สำหรับการส่งออกทองคำเดือนนี้หดตัวต่อเนื่องที่ -80.5% ทำให้เมื่อหักทองคำแล้ว มูลค่าส่งออกเดือนนี้หดตัว 13.9%YoY ทั้งนี้การส่งออกทั้งปี 2565 ขยายตัวที่ 5.5%
ด้านการส่งออกรายสินค้าส่วนใหญ่หดตัวต่อเนื่อง
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ -15.7%YoY หดตัวมากขึ้นจากเดือนก่อนที่หดตัว 5.1%YoY จากการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ (-17.1%) และอัญมณีและเครื่องประดับ (-12.4%) ที่กลับมาหดตัว สินค้าที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำมัน (-25.7%) หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลง สินค้าเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (-24.3%) หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 อย่างไรก็ดีสินค้าบางชนิดยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง เช่น เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+65.6%) และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด (+83.7%) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ (+8.1%) เป็นต้น สำหรับการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ปี 2565 ขยายตัว 4.4%
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ -11.2%YoY หดตัวมากขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนที่หดตัว 2.0%YoY โดยผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (-12.4%) และน้ำตาลทราย (-45.4%) กลับมาหดตัว ขณะที่การส่งออกข้าว (-4.1%) ยางพารา (-47.7%) และผลไม้กระป๋องและแปรรูป (-20.5%) หดตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี สินค้าบางชนิดยังขยายตัวดี ได้แก่ ผลไม้สด/แช่เย็น/แช่แข็ง/แห้ง (+21.6%) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (+1.5%) และไก่สดแช่เย็น/แช่แข็ง (+22.8%) เป็นต้น สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ปี 2565 ขยายตัว 8.8%
ด้านการส่งออกรายตลาดส่วนใหญ่หดตัว
สหรัฐฯ : กลับมาหดตัวที่ -3.9%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ เป็นต้น ขณะที่สินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องโทรสารและโทรศัพท์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เป็นต้น (ส่งออกปี 2565 ขยายตัว 13.4%)
จีน : หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ที่ -20.8%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพารา และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ ผลไม้สด/แช่เย็น/แช่แข็ง/แห้ง และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น (ส่งออกปี 2565 หดตัว -7.7%)
ญี่ปุ่น : หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ที่ -13.7%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ ไก่แปรรูป และเครื่องโทรสารและโทรศัพท์ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เป็นต้น (ส่งออกปี 2565 หดตัว -1.3%)
EU27 : กลับมาหดตัวที่ -4.9%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และหม้อแปลงไฟฟ้า เป็นต้น (ส่งออกปี 2565 ขยายตัว 5.2%)
ASEAN5 : หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ -24.2%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ขณะที่สินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ น้ำมันดิบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น (ส่งออกปี 2565 ขยายตัว 9.5%)
มูลค่าการนำเข้าเดือน ธ.ค. อยู่ที่ 22,753 ล้านดอลลาร์ฯ กลับมาหดตัว 12.0%YoY จากเดือนก่อนที่ขยายตัว 5.6%YoY จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง โดยการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงกลับมาหดตัว (-13.2%YoY) ขณะที่การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (-17.1%YoY) สินค้าทุน (-8.6%YoY) สินค้าอุปโภคบริโภค (-7.5%YoY) หดตัวต่อเนื่อง การนำเข้าปี 2565 ขยายตัว 13.6% ด้านดุลการค้าเดือน ธ.ค. ขาดดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ที่ระดับ -1,034 ล้านดอลลาร์ฯ โดยดุลการค้าปี 2565 ขาดดุล -16,123 ล้านดอลลาร์ฯ
การส่งออกที่หดตัวในระยะหลังเป็นผลของการส่งออกเชิงปริมาณที่หดตัวเป็นสำคัญ มูลค่าการส่งออกสินค้าที่กลับมาหดตัวตั้งแต่เดือน ต.ค. 65 เนื่องจากการส่งออกเชิงปริมาณที่หดตัวในเดือน ต.ค. (-6.5%YoY) และเดือน พ.ย. (-8.2%YoY) จากอุปสงค์ของประเทศตลาดหลักที่ชะลอลง เช่น สหรัฐฯ จากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวด และจีนจากการดำเนินมาตรการ zero-covid เป็นต้น และในระยะข้างหน้าปริมาณการส่งออกยังมีแนวโน้มชะลอตัวจากเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ด้านราคาส่งออก แม้ว่ายังขยายตัวได้จากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อส่งผลให้ระดับราคาสินค้ายังอยู่ในระดับสูง แต่คาดว่าอัตราการขยายตัวได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและมีแนวโน้มชะลอลง
Krungthai COMPASS ประเมินมูลค่าการส่งออกในปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตได้ที่ 0.7% คาดการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคของจีนจะช่วยสนับสนุนภาคการผลิตและการส่งออกในระยะข้างหน้าให้เติบโตได้ หลังจากทางการจีนผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID ในเดือนมกราคม 2566 ส่งผลให้แนวโน้มการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศของจีนจะทยอยฟื้นตัว และภาคการผลิตของจีนที่จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติจะช่วยให้แนวโน้มปัญหา supply chain disruption คลี่คลายมากขึ้น ซึ่งคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีน
JJNY : ‘โทนี่’เชื่อ ปี70 ขึ้นค่าแรง 600 ยังน้อยไป│‘เผ่าภูมิ’ ชูโมเดลภาคบริการ│ส่งออกเดือน ธ.ค.หดตัวแรง│สงครามเดือดระอุ!
https://www.matichon.co.th/politics/news_3788055
‘โทนี่’ เชื่อปล่อย ‘เพื่อไทย’ แลนด์สไลด์ ปี 70 ขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 600 บาท ยังน้อยไป
เมื่อช่วงค่ำวันที่ 24 มกราคม เฟซบุ๊ก CARE • แคร์ คิด เคลื่อน ไทย ได้ไลฟ์สด การพูดคุยกับ โทนี่ วู้ดซัม หรือ นายทักษิณ ชินวัตร ในหัวข้อ มีเรื่องคาใจ ก็ถามมาเลอ!
โดยช่วงหนึ่ง นายทักษิณ กล่าวว่า วันนี้เรื่องของการลดช่องว่างในประเทศไทยเป็นปัญหาใหญ่ ต้องทำด่วน โดยการลดช่องว่างทำได้หลายแบบ อันหนึ่งคือการให้โอกาสคนตัวเล็ก ให้โอกาสคนชั้นกลาง นั่นก็คือการ Break monopoly ทั้งหลาย ให้บริษัทเล็กๆ กลางๆ มีโอกาสได้เกิด ได้เติบโต ได้มีช่องทางมากขึ้น ไม่ใช่ช่องทางที่ปิดให้เฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ไม่กี่บริษัท ซึ่งเท่าที่ฟังทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย เขาคิดแบบนั้น
อันที่ 2 คือ ระบบ Capitalism ระบบทุนนิยม คือไม่มีทุนก็ไม่โต ต้องมีทุน เพราะฉะนั้นการกระจายทุนเข้าไปสู่คน ซึ่งมีกำลังน้อย หรือเข้าหาแหล่งทุนได้น้อย จะเป็นช่องทางหนึ่งที่เปิดโอกาสให้คนได้มีโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจได้ แต่อันที่ชอบมาก แม้จะเป็น Appetizer ของพรรคเพื่อไทย คือ การที่จะสร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง คือมี 20 ล้านครอบครัว เขาพยายามจะนำ 1 คนในครอบครัว มาเพิ่มความชำนาญที่เขามีอยู่แล้ว เพื่อจะได้มีรายได้หลักในการดูแลครอบครัวได้ ซึ่งจะทำให้คนๆ นี้ มีรายได้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อปี ซึ่งก็พอดูแลครอบครัวได้ และหากเศรษฐกิจดี ทุกคนก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย
“นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ ของพรรคเพื่อไทย เป็นเพราะต้องการยกระดับเศรษฐกิจ อย่าตกใจ ที่บอกว่าจ่าย 600 บาทนั้น เพราะที่จริงแล้วเมื่อถึงปี 2570 ผมดูแล้ว 600 บาทอาจเอาไม่อยู่ด้วย เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นกว่านั้น ถ้าปล่อยให้เพื่อไทยเขาแลนด์สไลด์ เขาทำได้แน่” นายทักษิณกล่าว
‘เผ่าภูมิ’ ชูโมเดลภาคบริการ 2570 คู่ขนานท่องเที่ยวแบบเดิม ดันเขตธุรกิจใหม่ 4 ภาคเป็นศูนย์กลาง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3788345
‘เผ่าภูมิ’ ชูโมเดลภาคบริการ 2570 คู่ขนานท่องเที่ยวแบบเดิม ดันเขตธุรกิจใหม่ 4 ภาคเป็นศูนย์กลาง
เมื่อวันที่ 25 มกราคม นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) และผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพรรค พท. กล่าวถึงแนวคิดการสร้างภาคบริการ 2570 ว่า วันนี้ภาคบริการของโลกขยายตัวทวีคูณ แต่ไม่ใช่จากการท่องเที่ยว กว่าทศวรรษที่ไทยใช้การท่องเที่ยวเป็นหัวหอกเพื่อเข็นเศรษฐกิจประเทศ ท่องเที่ยวของไทยเป็นภาคบริการยุคเก่า ใช้ทะเล ภูเขา ธรรมชาติ และสิ่งปลูกสร้าง เป็นจุดขาย จะได้เงินกันต้องเจอหน้ากัน สร้างมูลค่าต่ำ มีผลิตภาพแรงงานต่ำ ผันผวนตามเศรษฐกิจโลก และเป็นการท่องเที่ยวเน้นปริมาณก่อนคุณภาพมาโดยตลอด
นายเผ่าภูมิ กล่าวต่อว่า ต่อมาไทยก็กลับมานั่งคิดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวมากแต่มีรายได้ต่อหัวต่ำนั้นไม่ใช่คำตอบ ต้องเป็นนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง รายได้ต่อหัวสูง อยู่ในไทยนานๆ เน้นนักท่องเที่ยวจากยุโรป เอเชียเหนือ เอเชียใต้ แต่ก็ยังไม่พอ วันนี้ประเทศรายได้สูง รวมทั้งอินเดีย กำลังโกยเงินมหาศาลจากภาคบริการรูปแบบใหม่ (Modern Services) ที่สร้างรายได้จากการขายบริการในรูปแบบใหม่ ไม่ต้องมาเจอหน้ากัน ก็หาเงินจากการขายบริการได้ ผ่าน Online Outsourcing ข้ามชาติ โดยใช้เทคโนโลยีสื่อสารเป็นตัวกลาง เช่น การบริการด้านบัญชีและกฎหมาย การบริการด้านธุรกิจการเงิน การบริการด้านวิศวกรรมและสถาปนิก การบริการแฟลตฟอร์ม การบริการด้านการศึกษา การบริการซอฟต์แวร์และ IT การบริการด้านการแพทย์ เป็นต้น
นายเผ่าภูมิ กล่าวด้วยว่า เหล่านี้คือการหารายได้จากภาคบริการข้ามชาติรูปแบบใหม่ ซึ่งกำลังขยายตัวสูงมาก มีผลิตภาพแรงงานสูงกว่าถึง 6-12 เท่าตัว โกยเงินเข้าประเทศในต้นทุนที่ถูกกว่า แต่ไทยมีภาคบริการรูปแบบใหม่นี้เพียง 14% ของ GDP ขณะที่ สหรัฐอเมริกา 38% สิงค์โปร์ 33% ฟิลิปปินส์ 19% มาเลเซีย 19% ทำให้ไทยเป็นประเทศท้ายๆ ของอาเซียน และไร้การสนับสนุนและทิศทางจากภาครัฐ
นายเผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า พรรค พท.ปักธงตั้งเป้าสร้างภาคบริการรูปแบบใหม่ภายในปี 2570 คู่ขนานกับท่องเที่ยวแบบเดิม ซึ่งต้องใช้ทั้งทักษะวิชาชีพด้านวิศวกรรม บัญชี การแพทย์ ซึ่งไม่น่าห่วง ผนวกกับทักษะดิจิทัล ซึ่งตรงนี้น่าห่วงมาก ต้องยกเครื่องทั้งคนและโครงสร้างด้านดิจิทัล โดยพรรค พท.ตั้งเป้าตอก 2 เสาเข็ม เศรษฐกิจ ดิจิทัลให้กับประเทศสร้างคนให้รู้ สร้างโครงสร้างให้พร้อม โดยเฉพาะในเขตธุรกิจใหม่ทั้ง 4 ภาค ซึ่งจะเป็นแหล่งบ่มเพาะทักษะดิจิทัล แหล่งสร้างงานยุคใหม่ โดยสร้างกฎหมายธุรกิจชุดใหม่ดึงดูดและเอื้อต่อโมเดลภาคบริการยุคใหม่จากต่างชาติให้มาลงทุนในไทย รื้อกฏระเบียบการเคลื่อนย้ายแรงงานจากต่างชาติ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้เอื้อต่อภาคบริการรูปแบบใหม่ ทลายข้อจำกัดในระบบการเงินด้วย CBDC และดึงดูด Digital Nomad จากต่างประเทศเข้าพักในไทย โดยใช้ 4 เขตธุรกิจใหม่เป็นศูนย์กลาง เพราะวันนี้เราถึงทางตันของรายได้แบบเก่า รายได้รูปแบบใหม่ เครื่องยนต์ตัวใหม่จึงต้องถูกสร้างขึ้น
ส่งออกเดือน ธ.ค.หดตัวแรง 14.6% ฉุดทั้งปีขยายตัว 5.5% Krungthai COMPASS คาดส่งออกปี 66 โต 0.7%
https://siamrath.co.th/n/417621
มูลค่าส่งออกเดือน ธ.ค.อยู่ที่ 21,719 ล้านดอลลาร์ฯ หดตัวต่อเนื่องที่ 14.6%YoY จากเดือนก่อนหน้าที่หดตัว 6.0%YoY โดยการส่งออกสินค้าทุกหมวดหดตัวได้แก่ สินค้าเกษตรกรรม สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมจากผลกระทบของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคอ่อนแอ และผลของฐานเดือน ธ.ค.ในปี 2564 ที่สูง สำหรับการส่งออกทองคำเดือนนี้หดตัวต่อเนื่องที่ -80.5% ทำให้เมื่อหักทองคำแล้ว มูลค่าส่งออกเดือนนี้หดตัว 13.9%YoY ทั้งนี้การส่งออกทั้งปี 2565 ขยายตัวที่ 5.5%
ด้านการส่งออกรายสินค้าส่วนใหญ่หดตัวต่อเนื่อง
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ -15.7%YoY หดตัวมากขึ้นจากเดือนก่อนที่หดตัว 5.1%YoY จากการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ (-17.1%) และอัญมณีและเครื่องประดับ (-12.4%) ที่กลับมาหดตัว สินค้าที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำมัน (-25.7%) หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลง สินค้าเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (-24.3%) หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 อย่างไรก็ดีสินค้าบางชนิดยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง เช่น เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+65.6%) และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด (+83.7%) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ (+8.1%) เป็นต้น สำหรับการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ปี 2565 ขยายตัว 4.4%
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ -11.2%YoY หดตัวมากขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนที่หดตัว 2.0%YoY โดยผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (-12.4%) และน้ำตาลทราย (-45.4%) กลับมาหดตัว ขณะที่การส่งออกข้าว (-4.1%) ยางพารา (-47.7%) และผลไม้กระป๋องและแปรรูป (-20.5%) หดตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี สินค้าบางชนิดยังขยายตัวดี ได้แก่ ผลไม้สด/แช่เย็น/แช่แข็ง/แห้ง (+21.6%) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (+1.5%) และไก่สดแช่เย็น/แช่แข็ง (+22.8%) เป็นต้น สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ปี 2565 ขยายตัว 8.8%
ด้านการส่งออกรายตลาดส่วนใหญ่หดตัว
สหรัฐฯ : กลับมาหดตัวที่ -3.9%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ เป็นต้น ขณะที่สินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องโทรสารและโทรศัพท์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เป็นต้น (ส่งออกปี 2565 ขยายตัว 13.4%)
จีน : หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ที่ -20.8%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพารา และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ ผลไม้สด/แช่เย็น/แช่แข็ง/แห้ง และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น (ส่งออกปี 2565 หดตัว -7.7%)
ญี่ปุ่น : หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ที่ -13.7%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ ไก่แปรรูป และเครื่องโทรสารและโทรศัพท์ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เป็นต้น (ส่งออกปี 2565 หดตัว -1.3%)
EU27 : กลับมาหดตัวที่ -4.9%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และหม้อแปลงไฟฟ้า เป็นต้น (ส่งออกปี 2565 ขยายตัว 5.2%)
ASEAN5 : หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ -24.2%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ขณะที่สินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ น้ำมันดิบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น (ส่งออกปี 2565 ขยายตัว 9.5%)
มูลค่าการนำเข้าเดือน ธ.ค. อยู่ที่ 22,753 ล้านดอลลาร์ฯ กลับมาหดตัว 12.0%YoY จากเดือนก่อนที่ขยายตัว 5.6%YoY จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง โดยการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงกลับมาหดตัว (-13.2%YoY) ขณะที่การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (-17.1%YoY) สินค้าทุน (-8.6%YoY) สินค้าอุปโภคบริโภค (-7.5%YoY) หดตัวต่อเนื่อง การนำเข้าปี 2565 ขยายตัว 13.6% ด้านดุลการค้าเดือน ธ.ค. ขาดดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ที่ระดับ -1,034 ล้านดอลลาร์ฯ โดยดุลการค้าปี 2565 ขาดดุล -16,123 ล้านดอลลาร์ฯ
การส่งออกที่หดตัวในระยะหลังเป็นผลของการส่งออกเชิงปริมาณที่หดตัวเป็นสำคัญ มูลค่าการส่งออกสินค้าที่กลับมาหดตัวตั้งแต่เดือน ต.ค. 65 เนื่องจากการส่งออกเชิงปริมาณที่หดตัวในเดือน ต.ค. (-6.5%YoY) และเดือน พ.ย. (-8.2%YoY) จากอุปสงค์ของประเทศตลาดหลักที่ชะลอลง เช่น สหรัฐฯ จากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวด และจีนจากการดำเนินมาตรการ zero-covid เป็นต้น และในระยะข้างหน้าปริมาณการส่งออกยังมีแนวโน้มชะลอตัวจากเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ด้านราคาส่งออก แม้ว่ายังขยายตัวได้จากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อส่งผลให้ระดับราคาสินค้ายังอยู่ในระดับสูง แต่คาดว่าอัตราการขยายตัวได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและมีแนวโน้มชะลอลง
Krungthai COMPASS ประเมินมูลค่าการส่งออกในปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตได้ที่ 0.7% คาดการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคของจีนจะช่วยสนับสนุนภาคการผลิตและการส่งออกในระยะข้างหน้าให้เติบโตได้ หลังจากทางการจีนผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID ในเดือนมกราคม 2566 ส่งผลให้แนวโน้มการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศของจีนจะทยอยฟื้นตัว และภาคการผลิตของจีนที่จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติจะช่วยให้แนวโน้มปัญหา supply chain disruption คลี่คลายมากขึ้น ซึ่งคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีน