วันที่ฟ้าเปิด The Movie 3

กระทู้คำถาม
บทที่ 3

              ติณณ์โทรมาแจ้งกับรวิดาว่า คณะกรรมการมีความสนใจ อยากจะให้รวิดาเข้าไปนำเสนอเนื้อหานิยายในที่ประชุม ซึ่งมีทั้งหมด 5 คน รวม พลโท อธิชัย และติณณ์ด้วย รวิดาเตรียมเนื้อหานำเสนอในวันจันทร์ที่จะมาถึงนี้ ซึ่งมีทั้งเอกสารและไฟล์นำเสนอผ่านหน้าจอโปรเจคเตอร์ ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่กองทัพจะได้รับจากการประชาสัมพันธ์โดยผ่านภาพยนตร์

 

              พอถึงวันนัด รวิดาสามารถนำเสนอโครงการของเธอได้อย่างดีเยี่ยม และยังตอบข้อซักถามของคณะกรรมการได้ทั้งหมด จนสามารถจูงใจให้คณะกรรมการเชื่อมั่นในตัวเธอได้แม้เธอยังไม่เคยกำกับหนังมาก่อน แต่ก็สั่งสมประสบการณ์และมีทีมงานกองถ่ายที่เข้มแข็ง เคยมีผู้กำกับหน้าใหม่หลายรายที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว เธอหวังว่าจะได้รับโอกาสนี้             

 

              หลังจากการนำเสนอเสร็จสิ้น เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ ติณณ์โทรหารวิดาอีกครั้งเพื่อแจ้งข่าว

              “ผมจะบอกคุณว่า กอ.รมน. มีแผนจะใช้ภาพยนตร์เป็นยุทธศาสตร์ในการประชาสัมพันธ์จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกครั้งครับ เพราะโครงการที่คุณรวิดานำมาเสนอ ช่วยจุดประกายแนวคิดนี้ขึ้นมา”

              “ดีใจจริง ๆ ค่ะ หากนักเขียนนิยายเล่มนี้รู้ เขาคงจะดีใจ” รวิดาตอบด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส เธอนั่งยิ้มหลังสายโทรศัพท์

              "ต้องขอบคุณทั้งคุณรวิดาและนิยายเรื่องนี้ที่จะช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับคนในพื้นที่"

              "แล้วในส่วนของงบประมาณล่ะคะ จะได้รับเต็มตามที่ขอไหมคะ รึว่ามีตัดทอน" รวิดาลองหยั่งเสียง

              ติณณ์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนตอบว่า

              "คิดว่าจะได้ตามที่ขอนะครับ และหวังว่าคุณคงดูแลไม่ให้งบบานปลาย" เขาสำทับ ไม่อยากบอกเลยว่าจำนวนเงินที่รวิดาขอนั้น ไม่ได้มากมายอะไรเลย

              รวิดายิ้ม ความหวังของเธอใกล้ความจริงเข้ามาทุกทีแล้ว

              "ต้องแจ้งให้ทราบไว้อีกอย่างคือ งบราชการค่อนข้างละเอียดจุกจิกอยู่นะครับ เอาไว้เมื่อไหร่ที่คณะกรรมการตอบตกลงรับโครงการของคุณแล้ว เจ้าหน้าที่การเงินของเราจะชี้แจงขั้นตอนเรื่องงวดเงินและรายละเอียดการใช้เงิน รายงานการเงินที่คุณจะต้องทำให้ทราบอีกที"

              "ยังงั้นเลยหรือคะ" รวิดาอุทานออกมากับสิ่งใหม่ที่ได้รับรู้ เธอไม่เคยทำงานกับราชการมาก่อน

              "ไม่ต้องห่วงครับ แค่หาคนทำบัญชีที่เคยทำงานกับภาครัฐมาช่วยก็สบายแล้ว คุณไม่ต้องทำเอง ส่วนเรื่องการถ่ายทำทาง กอ.รมน. จะช่วยอำนวยความสะดวกให้คุณด้วยครับ คือเราไม่อยากให้มีปัญหาเหมือนภาพยนตร์เรื่องที่แล้ว ทำให้ใช้เวลานานในการถ่ายทำ เราอยากให้โครงการไม่ยาวเกินไปครับ”

              “จะมีทหารไปช่วยดูแลกองถ่ายให้หรือคะ น่าตื่นเต้นจัง”

              “ใช่ครับ จะมีนายทหารที่คอยดูแลตลอดทั้งระยะเวลาในการถ่ายทำ เราคิดว่าหากคนของ กอ.รมน. ไปช่วยประสานงาน อาจจะทำให้การถ่ายทำภาพยนตร์เสร็จเร็วขึ้น และเพื่อความปลอดภัยของทีมงานด้วยครับ”

              “ดีจังเลยค่ะ มีทหารมาช่วยอำนวยความสะดวก แล้วต่อไปฉันต้องทำยังไงอีกคะ”

              “รอคณะกรรมการตอบรับ แล้วจากนั้นก็มีการลงนามในสัญญา มีการแถลงข่าว เมื่อนั้นเราจะถือเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ ในระหว่างนี้คุณรวิดาก็ค่อย ๆ เตรียมงานได้เลยครับ เมื่อจัดการเรื่องเอกสารเสร็จ เราก็จะโอนเงินเป็นงวด ๆ ให้คุณรวิดาตามที่คุณเสนอมา”

              “ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ” รวิดาแสดงความขอบคุณผ่านสายโทรศัพท์

 

 

              สัปดาห์ต่อมา รวิดารีบโทร.ไปหาเพื่อนสนิท

“คุณติณณ์เขาบอกว่า กอ.รมน. ตอบตกลงให้เราทำหนังให้เขาแล้ว ต่อไปก็เหลือแค่รอเซ็นสัญญา” รวิดาทำเสียงดีใจเมื่อบอกข่าวดีนี้ให้กับปาริชาติรู้

              “เย้ ๆ ดีใจด้วยนะเธอ คงเป็นเพราะเธอมีฝีมือในการนำเสนอ” ปาริชาติออกความเห็น

              “คงจะโชคดีด้วยน่ะ เพราะทาง กอ.รมน. กำลังมีนโยบายในเรื่องนี้พอดีเลย เขากำลังจะร่างสัญญาให้เราเซ็น ฉันจะให้เพื่อนที่เป็นทนายมาเป็นฝ่ายกฎหมายให้เรา เพื่อดูสัญญาให้”

              “ดีมาก ฝ่ายกฎหมายยังจะดูเรื่องทำสัญญาเช่าลิขสิทธิ์ การเช่าเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ การทำประกันภัย เธอละเอียดรอบคอบดีมาก” ปาริชาติชมเชยเพื่อน ที่เข้าใจขั้นตอนการทำงานของกองถ่ายเป็นอย่างดี แม้จะเพิ่งฝึกงานและเป็นผู้ช่วยผู้กำกับได้ไม่นาน “เรื่องฝ่ายกฎหมายไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แต่เรื่องผู้เขียนบทภาพยนตร์ เธอจะต้องเลือกคนที่เหมาะกับงานด้วย”

              “ต้องเลือกดูฝีมือคนเขียนบทหรือ” รวิดาถาม

              “ไม่หรอก เราไม่ได้เลือกที่ฝีมือหรือความสามารถ แต่เราต้องดูว่าเขาถนัดเขียนบทแบบไหน บางคนถนัดเขียนบทหนังตลก ผี แอคชั่น ดราม่า รัก ความจริงคนเขียนบทก็เขียนได้ทุกแนว แต่หากเป็นแนวที่เขาถนัด เขาจะมีมุมมองและแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น”

              “นิยายเรื่องวันที่ฟ้าเปิดเป็นนิยายรัก แก่นของนิยายคือความรัก ทั้งความรักของหนุ่มสาว และรักชาติ”

              “ใช่แล้ว เราต้องการคนเขียนบทที่แสดงแนวความคิดหลัก หรือหัวใจของเรื่องให้ออกมาตรงกับบทประพันธ์ให้มากที่สุด และถ้าเป็นเรื่องรักต้องเขียนให้ซาบซึ้งเชียวล่ะ ฉันมีผู้เขียนบทภาพยนตร์สองคนที่จะแนะนำให้เธอรู้จัก เธอก็ไปสัมภาษณ์เอาเองว่าจะตัดสินใจเลือกใครเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์”

              “ขอบใจมาก ฉันจะรีบไปหาผู้เขียนบท” รวิดาพูดด้วยแววตาที่มีความหวังเริ่มงานที่เธออยากทำ

             

              หลังจากนั้นไม่นาน ก่อนที่ กอ.รมน. จะเซ็นสัญญากับรวิดา มีการแถลงข่าวประกาศว่า กอ.รมน. จะทำภาพยนตร์อีกครั้ง เมื่อข่าวเผยแพร่ออกไป หลายบริษัทต่างมานำเสนอภาพยนตร์ของตัวเอง ความจริงทาง กอ.รมน. ตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้รวิดาเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ แต่มาในตอนนี้ที่ต่างมีหลายบริษัทต่างมาพยายามนำเสนองาน ครั้นจะบอกไปว่าล็อคตัวคนไว้แล้วก็จะดูน่าเกลียด จึงต้องยอมให้ทุกคนเข้าร่วมแข่งขันเสนอโครงการ รวมถึงผู้กำกับอิสระหน้าใหม่ต่างก็มาเข้าคิวด้วยหลายราย

              ปาริชาติรู้ข่าวเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว แต่เธอก็คิดว่าอย่างไรรวิดาก็คงเป็นคนที่ถูกเลือก เพราะเป็นผู้ริเริ่มโครงการ รวมทั้งแนวทางของรวิดาก็ชัดเจนตอบโจทย์ดีอีกด้วย

              “ไม่ต้องห่วงน่า เขาคงทำเป็นพิธีเพราะเขารับปากกับเธอไว้ก่อนแล้วว่าจะให้เธอทำ เธอได้เปรียบตรงที่เขาชอบบทประพันธ์เรื่องที่เธอเลือก และถ้ามาแข่งกันจริง ๆ เธอก็น่าจะชนะอยู่นะ”

              “มันก็น่าหวั่น ๆ อยู่หรอก มีค่ายหนังใหญ่ ๆ ก็มาด้วย หนังทำเงินของพวกเขาก็รับประกันว่าจะได้กำไรแน่ ๆ แต่น่าสงสัยจริงว่าทำไมพวกเขาไม่ลงทุนกันเอง หรือไปหาผู้สนับสนุนที่เคยทำงานร่วมกัน” รวิดาพูด

              “เขาอาจต้องการชื่อเสียง ได้ทำหนังให้หน่วยงานของรัฐอาจจะทำให้ผู้กำกับสร้างชื่อได้ อีกทั้งยังเป็นการจับเสือมือเปล่า ขาดทุนมาก็ไม่เจ็บตัว ได้กำไรก็คืนภาครัฐไป”

              “ก็คงต้องรอดูไปก่อน” รวิดาพูดพร้อมถอนหายใจ

 

              วันต่อมา ติณณ์โทรศัพท์มาหารวิดาเพื่อคุยเรื่องนี้ แต่ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาดูไม่สดใสนัก เหมือนจะอึดอัดที่ต้องแจ้งข่าวนี้ให้รวิดารู้

              “เมื่อคนอื่นรู้ว่า กอ.รมน. จะสนับสนุนทุนในการสร้างภาพยนตร์ มีบริษัทน้อยใหญ่ต่างมายื่นโครงการขอทุน แล้วเราก็ไม่ได้บอกไปว่าเรามีผู้สร้างแล้ว เราแถลงข่าวออกไปแบบนี้แล้วจะปฏิเสธพวกเขาไปก็ไม่ได้”

              “ฉันทราบข่าวแล้วค่ะ ก็เข้าใจว่า กอ.รมน. ต้องเปิดโอกาสอย่างเท่าเทียมกับทุกคน” รวิดาพูด

              “แต่คุณไม่ต้องห่วงนะครับ ทางที่ประชุมพิจารณารับเรื่องของคุณไว้แล้ว”

              “จริงหรือคะ ถ้าได้ยินแบบนี้ก็อุ่นใจ แล้วจะประกาศผลเมื่อไหร่คะ”

              “คือยังไม่มีกำหนดน่ะครับ เราคงเปิดให้คนเสนอโครงการมาเรื่อย ๆ จนถึงวันครบกำหนด”

              “เหรอคะ ถ้าอย่างนั้นก็คงยังเริ่มงานอย่างจริงจังไม่ได้”

              “ทำไมล่ะครับ ค่อย ๆ วางแผนไปก่อนได้เลยนี่ครับ”

              “คือฉันอยากได้ความชัดเจนมากกว่านี้ค่ะ”

              “ก็ได้ครับ เพื่อความสบายใจของคุณ” ติณณ์พูด

 

              ช่วงเวลาแห่งการรอคอยของรวิดาก็ยังไม่ผ่านพ้นไปเสียที ในเวลานี้เธอคงทำได้แต่รอเท่านั้น  รวิดาหยิบนิยายเรื่องวันที่ฟ้าเปิดมาพลิกอ่านหลายครั้งจนเข้าถึงความคิดของตัวละครหลัก ๆ ในเรื่องได้เป็นอย่างดี เธอเข้าใจว่าความสุขของตัวเอกในเรื่องนั้นคือการค้นหาความหมายในชีวิต สิ่งที่ผลักดันปกป้องให้ยอมเสียสละช่วยรักษาผู้เจ็บป่วย คือการทำให้ตัวเองนั้นมีคุณค่า มันคงจะเป็นการทดแทนอดีตในวัยเด็กของเขาที่ทำตัวไร้สาระไม่มีความหมาย             

              นายแพทย์ปริญญ์คือต้นแบบของความหมายในชีวิต ที่ปกป้องเฝ้ามองดูตั้งแต่เขายังเยาว์วัย แต่ในสายตาของเด็กน้อยก็ยังไม่เข้าใจความหมายของการเสียสละ เด็กจะเข้าใจแต่ความอบอุ่นที่ได้รับจากบิดามารดาเท่านั้น แต่เมื่อปกป้องโตขึ้น สายตาในการมองโลกของเขาก็เปลี่ยนไป

              รวิดานั่งคิดนอนคิดถึงอุดมการณ์ของปกป้อง เธอคิดว่าค่านิยมแบบนี้จะทำให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขอย่างแท้จริง ความหมายในชีวิตคือการช่วยเหลือเผื่อแผ่ผู้อื่น การทำงานเพื่อแลกกับสิ่งที่ไม่ได้เป็นวัตถุ ความหมายของชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับทรัพย์สินเงินทองที่ต้องไขว่คว้าแย่งชิงกัน หากเธอได้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ มันคงจะทำให้คนรู้ถึงคุณค่าของการเสียสละได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

              “ฉันอ่านนิยายจบไปแล้วหลายรอบ นั่นยิ่งทำให้ฉันอยากจะเริ่มทำหนังเร็ว ๆ” รวิดาพูดกับปาริชาติ เมื่อทั้งคู่นัดเจอกันที่ร้านอาหาร

              “ดีแล้ว เธอจงใช้เวลาในช่วงนี้ในการศึกษาแนวคิดของนิยายให้ถ่องแท้ อ่านและวิเคราะห์บทอย่างละเอียด เพื่อให้ได้ข้อมูลทุกอย่างในการดำเนินเรื่อง การพัฒนาของตัวละคร อารมณ์ ความรู้สึก การกระทำ เหตุผล แรงจูงใจหรือแรงผลักดันอะไรที่ทำให้ตัวละครกระทำการต่าง ๆ หรือตัดสินใจทำอะไรไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับใครและเหตุการณ์โยงต่อเนื่องกันไปอย่างไร เพราะเมื่อถึงเวลาเริ่มงานจริงเราจะได้ทำหนังให้ออกมาตรงกับแนวคิดของนิยายให้มากที่สุด...

              “ปัญหาของการนำนิยายมาทำหนังหรือละคร คือผู้กำกับไม่เข้าใจสิ่งที่นิยายอยากนำเสนอจริง ๆ จึงทำให้คนที่เคยอ่านนิยายผิดหวังกับหนังหรือละครที่มาจากหนังสือนิยายเล่มที่พวกเขาชื่นชอบ หากเธอยังอยากให้หนังของเธอไม่ผิดเพี้ยนไปจากหนังสือก็ถือว่าเป็นการเอาใจแฟน ๆ ของนิยายเล่มนั้นด้วยนะ ไม่หักหลังคนที่เคยอ่านนิยายมา”

              “นิยายมันมีคุณค่าในตัวของมันเองอยู่แล้ว ฉันอยากรักษาคุณค่าและคงความประทับใจ ให้เหมือนกับตอนที่ฉันอ่านนิยายเล่มนี้ในครั้งแรก”

              ปาริชาติมองสายตาที่มุ่งมั่นของรวิดา แล้วเธอก็เผลอยิ้มออกมา

              “ผู้กำกับหน้าใหม่ไฟแรงฉายแววออกมาให้เห็นแล้วเพื่อนเรา” ทั้งคู่หัวเราะชอบใจ “ฉันว่านะ นิยายเรื่องนี้จะทำให้ความสนใจปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มากขึ้น เพราะบทหนังจะสอดแทรกเรื่องราวปัญหาต่าง ๆ ตามความเป็นจริง บางแง่มุมคนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ก็ไม่เคยรับรู้มาก่อน”

              “ขอให้เป็นอย่างนั้น ยิ่งพล๊อตเรื่องพระเอกลักพาตัวนางเอกด้วย คงต้องขายได้แน่ ๆ”

              “แต่โชคดีจริง ๆ นะ...” ปาริชาติหยุดเว้นช่วง ทำให้รวิดาเกิดความสงสัย

              “โชคดีเรื่องอะไรเหรอ”

              “โชคดีที่พระเอกไม่ได้ข่มขืนนางเอกหรือใช้ความรุนแรงกับนางเอก เพราะหากเป็นแบบนั้นคงไม่ดีแน่ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีกระแสต่อต้านละครที่พระเอกใช้ความรุนแรงกับนางเอกด้วย และบางคนก็บอกว่าเพราะละครพวกนี้มันจะสร้างค่านิยมผิด ๆ ให้สังคม จึงเกิดคดีข่มขืนบังคับจิตใจผู้หญิงมากมายตามหน้าหนังสือพิมพ์”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่