REST IN PEACE...LISA MARIE PRESLEY. ด้วยความระลึกถึง

กระทู้สนทนา
 
GONE TO SOON
 
 
    Gone to soon เป็นสิ่งเดียวที่เราคิดเมื่อได้ยินข่าวว่าลิซ่าได้จากเราไปแล้ว มันช่างไวจริงๆ ไวเกินไป 

    ผู้ทีทราบข่าวนี้ต่างพากันตกใจ เพราะลิซ่าเธอยังอายุเพียงห้าสิบต้นๆเท่านั้น ยังไม่น่าถึงเวลาของเธอเลย คนในวงการต่างพากันโพสต์ไว้อาลัยให้กับเธอ

    เช่นเดียวกับกระทู้นี้ที่ขอตั้งขึ้นมาเพื่อแสดงความเสียใจต่อการจากไปของเธอ ป่านนี้เธอคงได้อยู่กับแดดดี้ และอาจได้เจอกับไมค์กี้แล้วก็เป็นได้ ใครจะรู้เผลอๆ บ้านหลังใหม่ของลิซ่าอาจอยู่ติดๆกับบ้านของไมเคิลก็เป็นได้ รัก กะพริบตา

เราจะจดจำคุณเสมอค่ะ

หลับให้สบายนะคะลิซ่า 



     Brad Buxcer ได้โพสต์ไว้อาลัยให้กับลิซ่า แล้วเล่าถึงช่วงเวลาที่เขาได้พบเจอลิซ่าไว้ เราอ่านแล้วรู้สึกดีมากค่ะ จึงขอแปลเก็บไว้ที่บ้านหลังนี้ด้วยนะคะ
 
 
 
ลาก่อน...ลิซ่า

   พอแก่ตัวลงก็เริ่มจำอะไรไม่ได้แม่นเท่าไหร่นัก แต่สำหรับผมในปี 1994 ผมจำได้แม่นเลย

   เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมปี 1994 ผมเทียวบินไปบินมาระหว่าง LA กับ NY อยู่ถึง 16 เดือน เพราะว่าตอนที่เราเริ่มทำอัลบั้ม History ของไมเคิล ได้เกิดแผ่นดินไหวที่ Northridge เราจึงย้ายโปรเจคไปทำกันที่ The Hit Factory ในนิวยอร์ก 

   ในช่วงแรกของการทำอัลบั้มก็มีคนหน้าใหม่เข้ามาในสตูดิโแของเรา ซึ่งก็คือ Lisa Marie Presley

มันน่าทึ่งด้วย 2 เหตุผล

   อย่างแรก จากการทำงานในอัลบั้มต่างๆของผมมาจนกระทั่งมาถึงวันนี้นั้น ส่วนมากจะมีแต่ผู้ชาย พอมีผู้หญิงอยู่ในห้องด้วยก็เลยจะสะดุดตาหน่อย 

   อย่างที่ 2 ยิ่งผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของ เอลวิส เพรสลีย์ ด้วยแล้ว สมองก็จะเบลอไปแป๊บนึง

   แต่ด้วยมารยาทที่ดีของคนทำงานในสตูดิโอพึงมี เราจึงต้องทำลืมไปว่าตอนนี้ “ไมเคิล แจ็คสัน”กับ“ลิซ่า มารี เพรสลีย์” เขาอยู่ตรงนี้ด้วยกันเลยนะ

   โชคดีจริงๆที่ตอนนั้นยังไม่มีการเซลฟี่ IG หรือโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ไม่งั้นก็ต้องถ่ายรูปลงโซเชียลประกาศให้โลกเห็นว่า เราได้อยู่กับไมเคิลแล้วก็ลิซ่าในสตูดิโอจริงๆ ไม่ใช่แค่วันธรรมดาๆวันนึงในสตูดิโอนะ

   จากวันกลายเป็นสัปดาห์จากสัปดาห์กลายเป็นเดือน ลิซ่าก็กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของเราชาว MJ STUDIO 

ผมว่าเธอชอบอยู่ในสตูดิโอนะ

   การได้อยู่ในสตูดิโอระดับเวิลด์คลาส อย่าง The Hit Factory ทำให้เรารู้สึกดีมาก เครื่องมืออุปกรณ์ทุกอย่างจัดเตรียมอย่างดี เราทุกคนก็เป็นมือโปรในด้านนี้ตั้งใจทำงาน สนใจเสียงกลองมากกว่าจะคอยไปแอบมองดูลิซ่ากับไมเคิลคลอเคลียกันที่โซฟา 

   ลิซ่าเหมือนเด็กหญิงตัวเล็กๆแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ 

   ลิซ่าจะนั่งข้างๆไมเคิล บางครั้งก็นั่งอยู่บนตักของเขา 

   ทั้งคู่จะหัวเราะและกระซิบกัน เรียกนิคเนมแทนกันและกัน ดูๆไปก็เหมือนนักเรียนวัยไฮสคูล 

“Doo-doo head เย็นนี้กินอะไรกันดี?”

   พวกเขาน่ารัก ตลก สบายใจที่อยู่ด้วยกัน ทุกอย่างมันจริงมาก

   เธอกินกับเรา หัวเราะกับเรา ตลกกับเรา 

   ทั้งคู่อาจหายเข้าไปในเลานจ์ส่วนตัวของไมเคิลพักนึง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของเรา เรามีหน้าที่ทำอัลบั้มก็ทำไป 

   ผมกำลังคุยกับเพื่อนผม Brian Vibbets ซึ่งก็เป็นหนึ่งในทีมงานอัลบั้ม History ถึงความทรงจำที่เขามีต่อลิซ่าในช่วงเวลานั้น เขาทำให้ผมนึกถึงตอนที่ไมเคิลกับลิซ่าคอยจับมือกันบ่อยๆ

   มันดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่พอคุณเห็นคู่รักจูงมือเดินกันไปตามโถงทางเดินมันก็เป็นการส่งสารที่แสนหวานต่อกัน 

   ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ที่พรมแดงหรือเดินออกจากร้านอาหารที่มีนักข่าวคอยเฝ้าดู สตูดิโอคือรังไหมเล็กๆที่ทั้งคู่เป็นตัวของตัวเอง และมักจะคอยจับมือกัน

   จนปลายเดือนพฤษภาคม 1994 ผมบินจาก LA มา New York ผมได้หนังสือพิมพ์ USA Today ที่มีพาดหัวข่าวว่า King of Pop แต่งงานกับ The Queen of Rock
ไมเคิลและลิซ่าบินไปแต่งงานกันที่โดมินิกันในวันที่ 26 พฤษภาคม 1994

   พอผมมาถึงที่ The Hit Factory ก็เดินเข้าไปในสตูดิโอ 4 โดยมีหนังสือพิมพ์อยู่ใต้แขน ไมเคิลนั่งอยู่ที่โซฟาใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มทะเล้น ผมเดินไปหาเขาม้วนหนังสือพิมพ์และตีที่หัวเขา เขาหัวเราะและจับศีรษะตัวเองพร้อมกับถามผมว่า “ผมไปทำอะไรอีกล่ะ?” ผมจึงโชว์หนังสือพิมพ์แล้วชูให้ทีมงานทุกคนดูแล้วบอกเขาว่า “มันคงจะดีนะถ้าคุณบอกเพื่อนๆหน่อยว่าจะแต่งงานหรือไม่ก็ชวนเราไปงานแต่งก็ได้!” 

   ไมเคิลหัวเราะและเขินอายเล็กน้อย ผมกอดเขาและบอกว่า พวกเราทุกคนดีใจกับเขาด้วย 

   ทุกคนในสตูดิโอก็รู้เรื่องนี้กันหมดและไมเคิลก็ไม่ได้พูดอะไรกับใครอีก

   ลิซ่ายังคงมาเยี่ยมเยียนเราเป็นครั้งคราว เรายินดีทุกครั้งที่ได้พบเธอ

   สื่อเอาแต่บอกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นเพียงการแสดงแต่ผมไม่เห็นด้วยเลยสักนิด

    ทั้งสองคนเป็นคนที่มีวัยเด็กแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ยากลำบากกันมาคนละแบบ และทั้งคู่ก็ได้พบกัน
 
   ไม่ว่ามันจะกินเวลาแค่ 1 สัปดาห์ 1 ปีหรือชั่วชีวิต แต่จากสิ่งที่ผมเห็นก็คือ คนสองคนยังมีความรักให้แก่กันไม่ใช่การแสดง

เราต่างยินดีที่เห็นไมเคิลและลิซ่ามีความสุข

  เพื่อนผม Judi Brisse ตอนนั้นเธอทำงานอยู่ที่เนเวอร์แลนด์ มีหน้าที่เป็นพนักงานทำความสะอาด เล่าให้ผมฟังว่า ลิซ่าพาลูกๆของเธอ มาที่เนเวอร์แลนด์ซึ่งก็คือ Riley กับ Benjamin 

   จูดี้จึงต้องไปจัดเตียงให้ เธอจึงนำหมอนและผ้าห่มเข้าไป ก็ได้เจอไมเคิล ลิซ่าและเด็กๆ อยู่ที่นั่น

   เด็กๆเหนื่อยกันมากลิซ่าจึงคอยดูแลลูกๆ ในขณะเดียวกันไมเคิลช่วยจูดี้ปูที่นอน จูดี้ตกใจมากที่“ไมเคิล แจ็คสัน” อยากช่วยเธอปูเตียง ไมเคิลทำให้ด้วยความเต็มใจแถมยังเก็บมุมพับเตียงเรียบร้อยอีกด้วย 

   ไมเคิลรักลิซ่าและเด็กๆอย่างแท้จริง สิ่งที่เห็นมันบริสุทธิ์ ปลอดภัย และเต็มไปด้วยความรัก

   มีสิ่งต่างๆที่ชวนสับสนถาโถมเข้ามามากมายในชีวิตของไมเคิลและลิซ่า สื่อก็ตามจิกไม่ลดละ และผมก็ทราบดีว่าชีวิตแต่งงานของทั้งคู่จบลงที่ต้นปี 1996

   เมื่อผมอ่านข่าวการจากไปของเธอเมื่อวานนี้ ผมคิดถึงลูกๆและแม่ของเธอทันที (ลิซ่าเพิ่งสูญเสียเบนจามินไปเมื่อไม่นานนี้)

   เห็นได้ชัดว่าลิซ่าเธอหลงทางในช่วงชีวิตวัยผู้ใหญ่ แต่ลิซ่าที่ผมรู้จักเป็นคนที่จิตใจดี อ่อนหวาน และอ่อนโยน

   ผมคิดว่าตัวเองโชคดีนักที่ได้รู้จักเธอ ได้เห็นเธอหัวเราะ มีความสุข ได้เฝ้าดูเธอและไมเคิลคอยจับมือกัน

   มันเป็นช่วงเวลาหนึ่ง ที่ผมคิดว่าเธอรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่กับเขา และเขาก็อยู่กับเธอ

หลับให้สบายนะ...ลิซ่า

Rest in Peace
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่