การวางจิตขณะทำทานให้ได้อานิสงส์สูงสุด

การวางจิตขณะทำทานให้ได้อานิสงส์สูงสุด ขยายความตามนัยของทานสูตร พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่พระสารีบุตร ดังต่อไปนี้

ทานระดับต่ำสุด
คือทานหวังผลแก่ตน
ตายไปเป็นเจ้าที่เจ้าทาง
หรืออยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุฯ

ทานระดับที่สอง
เห็นว่าดีแล้วจึงทำ คือทำตามๆ กัน
เป็นพฤติการณ์แบบเดียวกับสัตว์สังคม ชอบทำตามอย่างฝูง หรือกลุ่ม
แต่ไม่ได้พิจารณาให้ละเอียดว่าดีอย่างไร เรียกว่าเชื่อตามๆ กันก็ได้
ตายแล้วไปสู่ดาวดึงส์

ทานระดับที่สาม
คือพ่อแม่ปู่ย่าเคยทำมา
เราไม่ควรให้เสียประเพณี
เช่นไหว้บรรพบุรุษประจำปี
อันนี้คือจิตมองไปในเชิงหน้าที่
ตายแล้วไปยามา

ทานที่สี่คือทานที่มีเมตตาประกอบปัญญาดังกล่าวแล้ว ตายแล้วไปดุสิต คือทานแบบพระโพธิสัตว์

ทานที่ห้า
ทำทานตามอย่างมหาฤๅษี
ตีความให้เข้าใจง่ายคือมหาทาน ทำทานไม่เลือกผู้รับ เหมือนอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านทำ ตายแล้วไปนิมมานรดี ซึ่งสูงกว่าทานแบบโพธิสัตว์

ถามว่าเพราะอะไร
เพราะไม่จำกัดผู้รับ สมดังทักษิณาวิภังคสูตรที่ตรัสว่า ปาฏิบุคลิกทาน ทานให้จำกัดบุคคล มีอานิสงส์ไม่เท่าสังฆทาน หรือจะมองว่าเนื่องจากใจที่กว้างกว่า ยึดติดน้อยกว่า อัตตาจึงน้อยตามก็ได้

ทานระดับที่หก
ทำทานด้วยติดในความปลื้มใจ
ทำไมไปปรนิมฯ ที่สูงสุดในกามาวจร

ตอบว่าเพราะติดในรูปน้อยลง ไปติดธรรมารมณ์แทน และความปลื้มใจที่ติดก็คือองค์ฌาน คือปีติ

สุดท้ายระดับเจ็ด
ทานที่กระทำเพื่อปรุงแต่งจิต
เรียกง่ายๆ ว่าฝึกตนให้ละความตระหนี่ ตายแล้วไม่ต้องมาเกิดอีก แสดงว่าส่งถึงอนาคามีครับ

สรุป ระดับที่ไล่มา แสดงถึงการละความยึดติดในอัตตาและวัตถุที่ลดลงเรื่อยๆ
วัตถุประสงค์ของการทำทาน คือ การลดความตระหนี่ในจิตใจนั่นเอง ยิ่งลดความตระหนี่ได้เร็วและมาก ยิ่งมีอานิสงส์มาก

Cr.พี่คเชนท์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่