ผู้ตั้งกระทู้นั้นไม่ได้เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย แต่ก็มีเพื่อนที่ทำงานในมหาวิทยาลัยxxx เป็น ผศ.ดร. นะครับ
ประเด็นนี้พอดีมีคนส่งมาให้อ่านทางไลน์ เลยอยากแลกเปลี่ยนกับพี่ๆในห้องนี้ที่ทำงานเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย
ส่วนตัวนั้น ในมุมมองคนนอก นั้นแน่นอนการทำงานทุกการทำงานมันมีการประเมินอยู่แล้ว โอเคละครับหน้าที่อาจารย์ในอุดมศึกษา
ไม่ได้สอนอย่างเดียวแน่นอน แต่บทความนี้ เมื่ออ่านแล้วมันเฉลียใจ สังเวชใจไม่ได้แหละครับว่า มหาวิทยาลัยเราในเมืองไทย
เราพอมีอะไรที่แก้ หรือปรับให้มันเหมาะสมได้ไหม เข้าใจว่าบางมหาวิทยาลัยเกณฑ์แก้ไขแล้วดีมาก อาจารย์บางท่าน happy สุดๆ เช่น
ถ้าท่านอาจารย์ที่ทำงาน จบปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างน้อยท่านได้ ผศ. ตำแนห่งทางวิชาการระดับ ผ.ศ. เรายิงหรือต่อสัญญาให้ยันเกษียณ อายุ 60 ปี ทันทีครับ อย่างน้อยทำให้คิดได้ว่า อาจารย์ทำงานมีผลงานบ้าง มหาวิทยาลัยก็ได้ประโยชน์นะครับ ไม่กดดันกันเกินไปว่าท่านต้องเป็น ร.ศ. ท่านถึงได้สัญญายาวจน 60 ปี
ขอความคิดเห็นจากบทความด้านล่างนี้นะครับ ที่มา
https://www.matichon.co.th/education/news_3761208
กลับมาถกสนั่นโซเชียล! ไม่ขอตำแหน่งทางวิชาการ ไม่ต่อสัญญา มธ.เริ่มจริงจังปีนี้ปีแรก
นับแต่มีการผูกการขอตำแหน่งทางวิชาการกับการต่อสัญญจ้าง ก็ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด ส่วนหนึ่งมองว่าเมื่อนำการขอตำแหน่งวิชาการ เข้ามาเป็นเงื่อนไขการต่อสัญญาการเป็นอาจารย์ ก็จะกลายเป็นการลงโทษไปโดยปริยาย โดยถ้าไม่ขอตำแหน่งทางวิชาการภายในกำหนดก็จะไม่ได้ต่อสัญญาจ้าง ขณะที่อาจารย์ส่วนหนึ่งมองว่าเพราะตำแหน่งทางวิชาการ ไม่ได้การันตีคุณภาพการสอน หรือการทำประโยชน์ต่อผู้เรียนและสังคมเลย
ล่าสุด ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้โพสต์ประเด็นดังกล่าวอีกครั้ง โดยระบุว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะเอาจริงเรื่องการไม่ต่อสัญญาอาจารย์ที่ไม่สามารถขอตำแหน่งทางวิชาการตามเกณฑ์ระยะเวลาที่กำหนดได้ ในขณะที่หลายมหาวิทยาลัยดำเนินการดังกล่าวมาหลายปีแล้ว
น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ คุณค่าและความมั่นคงของวิชาชีพอาจารย์ถูกผูกติดอยู่กับสถานะที่มาจากการถูกประเมินด้วยคนเพียงไม่กี่คน การกระ

กระสนเอาตัวรอดทำให้หลายคนเสาะแสวงหาหนทางลัด ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินเพื่อจ้างเขียนบทความ/หนังสือ การจ่ายใต้โต๊ะเพื่อให้ได้ตีพิมพ์ผลงานเร็วขึ้น หรือแม้กระทั่งการช่วยเหลือพวกพ้องให้ได้ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการในสังกัดของตนเอง
เมื่อวิธีการที่ไม่ปกติถูกทำให้เป็นเรื่องปกติเพราะระเบียบกฎเกณฑ์บังคับให้คนต้องหนีตายเช่นนั้น สุดท้าย เราคงต้องหันกลับมาตั้งคำถามว่า เรายังสามารถภาคภูมิใจในวิชาชีพของเราท่ามกลางความเน่าเฟะของระบบแบบที่เป็นอยู่ได้จริงหรือ
นอกจากนี้ ผศ.ดร.อดิศรระบุด้วยว่า ส่วนหนึ่งของปัญหาในระบบขอตำแหน่งทางวิชาการ คือ การที่คนผ่านประตูเข้าไปแล้ว ไม่คิดจะส่งเสียงช่วยคนที่ยังอยู่ข้างหลัง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เคยมีประสบการณ์ไม่ได้รับความยุติธรรม หรือเคยถูกกลั่นแกล้งจากอำนาจในระบบเช่นกัน ซ้ำร้ายหลายคนกลับเอาวิธีการเดียวกันมาใช้กับคนรุ่นต่อไป ทำตัวเหมือนเป็นมาเฟียในวงวิชาการ ขัดขวางกลั่นแกล้งสารพัด วนเป็นวงจรอุxxxไม่รู้จบสิ้น
โดยหลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปก็มีคนในแวดวงนักวิชาการ ได้ร่วมแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง อาทิ
– ตำแหน่งทางวิชาการก็เอาไปผูกไว้กับการตีพิมพ์ลงฐานข้อมูล ที่สร้าง Ranking ให้กับมหาวิทยาลัย โดยที่หลงลืมไปว่ามันยังมีอีกหลายคณะ ที่เป็นกึ่งปฏิบัติวิชาชีพ ที่ต้องอาศัยฝีมือการปฏิบัติ มากกว่าการเขียนงานวิจัย และเรากำลังเสียอาจารย์ที่มีความสามารถเหล่านั้นไปทีละคน
– ประหลาดดีที่มหาวิทยาลัยวางกับดักให้ตัวเองวนลูปอยู่ในปัญหาเรื่องคุณภาพอาจารย์
ตั้ง KPI ให้อาจารย์มีตำแหน่งทางวิชาการเยอะ ๆ
—> อาจารย์ก็ใช้พลังงานไปกับการผลิตผลงานวิชาการตาม KPI ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสอนเท่าไรนัก
—> การสอนคุณภาพแย่ลง
—> อาจารย์สายสอนหนีหมดอยู่ในระบบไม่ได้
—> กดดันอาจารย์ไม่ส่งเสริมการขึ้นเงินเดือนอาจารย์ เพราะมองว่าตำแหน่งทางวิชาการก็คือเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นแล้ว
—> คุณภาพชีวิตอาจารย์แย่ลง อาจารย์สายสอนที่ยังต้องการอยู่รอดในระบบ ก็ใช้เวลาในการทำงานเพื่อการสอนเต็มที่ ส่วนงานเพื่อการขอตำแหน่งเพื่อให้ตัวเองรอดในระบบต้องเอาไปทำนอกเวลาเป็นหลัก เบียดเบียนชีวิตทั่วไป เวลาพักที่มนุษย์พึงมีอีก
—> คุณภาพมหาวิทยาลัยแย่ลงตาม การสอนกลายเป็น priority รองของการทำงานอาจารย์ซะงั้น ทั้งๆ ที่ควรเป็น priority หลัก
– ขอแสดงความเห็นส่วนตัวจากการเฝ้ามองตั้งแต่ยังเป็นผู้เรียนจนกระทั่งเปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้สอนในปัจจุบัน เรามีมหาวิทยาลัยไว้เพื่อสร้างนักศึกษาให้เป็นทรัพยากรบุคคลที่เปี่ยมด้วยศักยภาพและคุณภาพไม่ใช่หรือ แล้วทุกวันนี้คือ… ?
อาจารย์ที่ตำแหน่งทางวิชาการสูงและตระหนักถึงบทบาทหน้าที่อันพึงมีต่อนักศึกษาก็มี แต่ขณะเดียวกัน อาจารย์ที่มุ่งหวังเพียงตำแหน่งทางวิชาการ ทว่าหลงลืมบทบาทหน้าที่แท้จริงของตัวเองก็ใช่ว่าจะไม่มี ผู้มีอำนาจเคยลงมาดูบ้างไหมว่านักศึกษาต้องการอะไร พวกเขาต้องการอาจารย์ที่มากด้วยตำแหน่งเหรอ ตำแหน่งของอาจารย์ทำให้พวกเขาอยากเข้าเรียนหรือว่ากระตือรือร้นในการพัฒนาตนเองเหรอ พวกที่มีแค่ “อ.” นำหน้านั้นถ่ายทอดความรู้ไม่ได้งั้นสิ คำตอบคงไม่ใช่ จริงๆ พวกเขาอาจต้องการแค่อาจารย์ที่เข้าใจ เข้าถึง ตลอดจนเป็นที่พึ่งทั้งทางสมองและหัวใจก็ได้ การสร้างกฎเกณฑ์มาควบคุมบงการให้อาจารย์แต่ละคนต้องใส่หัวโขนที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ขอถามว่าผลดีมันจะตกแก่ใครเหรอ แน่นอนว่านักศึกษาคงไม่ใช่หนึ่งในตัวเลือกนั้น อาจารย์ได้ตำแหน่ง
(ซึ่งบางคนต้องแลกมาด้วยความทุกข์ทรมาน เบียดบังการสอน สุขภาพกายพัง สุขภาพใจพ่าย) มหาวิทยาลัยได้เครดิตได้แรงก์เริ่ดๆ แล้วนักศึกษาได้อะไรเอ่ย ??? นี่ยังไม่รวมถึงคนที่เลือกทางสายนี้เพื่อเป็นอาจารย์อย่างแท้จริง อาจารย์ที่แปลว่าผู้สั่งสอนวิชาความรู้อะ แต่สุดท้ายบางคนก็ต้องล่าถอยจากไปเพียงเพราะมีคำนำหน้าแค่ “อ.” แต่โอดครวญไปก็เท่านั้นแหละ ตัวแม่จะแคร์เพื่ออะเนาะ
ไม่ขอตำแหน่งวิชาการ ไม่ต่อสัญญาจ้างอาจารย์มหาวิทยาลัย (ถกสนั่น)
ประเด็นนี้พอดีมีคนส่งมาให้อ่านทางไลน์ เลยอยากแลกเปลี่ยนกับพี่ๆในห้องนี้ที่ทำงานเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย
ส่วนตัวนั้น ในมุมมองคนนอก นั้นแน่นอนการทำงานทุกการทำงานมันมีการประเมินอยู่แล้ว โอเคละครับหน้าที่อาจารย์ในอุดมศึกษา
ไม่ได้สอนอย่างเดียวแน่นอน แต่บทความนี้ เมื่ออ่านแล้วมันเฉลียใจ สังเวชใจไม่ได้แหละครับว่า มหาวิทยาลัยเราในเมืองไทย
เราพอมีอะไรที่แก้ หรือปรับให้มันเหมาะสมได้ไหม เข้าใจว่าบางมหาวิทยาลัยเกณฑ์แก้ไขแล้วดีมาก อาจารย์บางท่าน happy สุดๆ เช่น
ถ้าท่านอาจารย์ที่ทำงาน จบปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างน้อยท่านได้ ผศ. ตำแนห่งทางวิชาการระดับ ผ.ศ. เรายิงหรือต่อสัญญาให้ยันเกษียณ อายุ 60 ปี ทันทีครับ อย่างน้อยทำให้คิดได้ว่า อาจารย์ทำงานมีผลงานบ้าง มหาวิทยาลัยก็ได้ประโยชน์นะครับ ไม่กดดันกันเกินไปว่าท่านต้องเป็น ร.ศ. ท่านถึงได้สัญญายาวจน 60 ปี
ขอความคิดเห็นจากบทความด้านล่างนี้นะครับ ที่มา https://www.matichon.co.th/education/news_3761208
กลับมาถกสนั่นโซเชียล! ไม่ขอตำแหน่งทางวิชาการ ไม่ต่อสัญญา มธ.เริ่มจริงจังปีนี้ปีแรก
นับแต่มีการผูกการขอตำแหน่งทางวิชาการกับการต่อสัญญจ้าง ก็ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด ส่วนหนึ่งมองว่าเมื่อนำการขอตำแหน่งวิชาการ เข้ามาเป็นเงื่อนไขการต่อสัญญาการเป็นอาจารย์ ก็จะกลายเป็นการลงโทษไปโดยปริยาย โดยถ้าไม่ขอตำแหน่งทางวิชาการภายในกำหนดก็จะไม่ได้ต่อสัญญาจ้าง ขณะที่อาจารย์ส่วนหนึ่งมองว่าเพราะตำแหน่งทางวิชาการ ไม่ได้การันตีคุณภาพการสอน หรือการทำประโยชน์ต่อผู้เรียนและสังคมเลย
ล่าสุด ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้โพสต์ประเด็นดังกล่าวอีกครั้ง โดยระบุว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะเอาจริงเรื่องการไม่ต่อสัญญาอาจารย์ที่ไม่สามารถขอตำแหน่งทางวิชาการตามเกณฑ์ระยะเวลาที่กำหนดได้ ในขณะที่หลายมหาวิทยาลัยดำเนินการดังกล่าวมาหลายปีแล้ว
น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ คุณค่าและความมั่นคงของวิชาชีพอาจารย์ถูกผูกติดอยู่กับสถานะที่มาจากการถูกประเมินด้วยคนเพียงไม่กี่คน การกระ
เมื่อวิธีการที่ไม่ปกติถูกทำให้เป็นเรื่องปกติเพราะระเบียบกฎเกณฑ์บังคับให้คนต้องหนีตายเช่นนั้น สุดท้าย เราคงต้องหันกลับมาตั้งคำถามว่า เรายังสามารถภาคภูมิใจในวิชาชีพของเราท่ามกลางความเน่าเฟะของระบบแบบที่เป็นอยู่ได้จริงหรือ
นอกจากนี้ ผศ.ดร.อดิศรระบุด้วยว่า ส่วนหนึ่งของปัญหาในระบบขอตำแหน่งทางวิชาการ คือ การที่คนผ่านประตูเข้าไปแล้ว ไม่คิดจะส่งเสียงช่วยคนที่ยังอยู่ข้างหลัง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เคยมีประสบการณ์ไม่ได้รับความยุติธรรม หรือเคยถูกกลั่นแกล้งจากอำนาจในระบบเช่นกัน ซ้ำร้ายหลายคนกลับเอาวิธีการเดียวกันมาใช้กับคนรุ่นต่อไป ทำตัวเหมือนเป็นมาเฟียในวงวิชาการ ขัดขวางกลั่นแกล้งสารพัด วนเป็นวงจรอุxxxไม่รู้จบสิ้น
โดยหลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปก็มีคนในแวดวงนักวิชาการ ได้ร่วมแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง อาทิ
– ตำแหน่งทางวิชาการก็เอาไปผูกไว้กับการตีพิมพ์ลงฐานข้อมูล ที่สร้าง Ranking ให้กับมหาวิทยาลัย โดยที่หลงลืมไปว่ามันยังมีอีกหลายคณะ ที่เป็นกึ่งปฏิบัติวิชาชีพ ที่ต้องอาศัยฝีมือการปฏิบัติ มากกว่าการเขียนงานวิจัย และเรากำลังเสียอาจารย์ที่มีความสามารถเหล่านั้นไปทีละคน
– ประหลาดดีที่มหาวิทยาลัยวางกับดักให้ตัวเองวนลูปอยู่ในปัญหาเรื่องคุณภาพอาจารย์
ตั้ง KPI ให้อาจารย์มีตำแหน่งทางวิชาการเยอะ ๆ
—> อาจารย์ก็ใช้พลังงานไปกับการผลิตผลงานวิชาการตาม KPI ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสอนเท่าไรนัก
—> การสอนคุณภาพแย่ลง
—> อาจารย์สายสอนหนีหมดอยู่ในระบบไม่ได้
—> กดดันอาจารย์ไม่ส่งเสริมการขึ้นเงินเดือนอาจารย์ เพราะมองว่าตำแหน่งทางวิชาการก็คือเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นแล้ว
—> คุณภาพชีวิตอาจารย์แย่ลง อาจารย์สายสอนที่ยังต้องการอยู่รอดในระบบ ก็ใช้เวลาในการทำงานเพื่อการสอนเต็มที่ ส่วนงานเพื่อการขอตำแหน่งเพื่อให้ตัวเองรอดในระบบต้องเอาไปทำนอกเวลาเป็นหลัก เบียดเบียนชีวิตทั่วไป เวลาพักที่มนุษย์พึงมีอีก
—> คุณภาพมหาวิทยาลัยแย่ลงตาม การสอนกลายเป็น priority รองของการทำงานอาจารย์ซะงั้น ทั้งๆ ที่ควรเป็น priority หลัก
– ขอแสดงความเห็นส่วนตัวจากการเฝ้ามองตั้งแต่ยังเป็นผู้เรียนจนกระทั่งเปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้สอนในปัจจุบัน เรามีมหาวิทยาลัยไว้เพื่อสร้างนักศึกษาให้เป็นทรัพยากรบุคคลที่เปี่ยมด้วยศักยภาพและคุณภาพไม่ใช่หรือ แล้วทุกวันนี้คือ… ?
อาจารย์ที่ตำแหน่งทางวิชาการสูงและตระหนักถึงบทบาทหน้าที่อันพึงมีต่อนักศึกษาก็มี แต่ขณะเดียวกัน อาจารย์ที่มุ่งหวังเพียงตำแหน่งทางวิชาการ ทว่าหลงลืมบทบาทหน้าที่แท้จริงของตัวเองก็ใช่ว่าจะไม่มี ผู้มีอำนาจเคยลงมาดูบ้างไหมว่านักศึกษาต้องการอะไร พวกเขาต้องการอาจารย์ที่มากด้วยตำแหน่งเหรอ ตำแหน่งของอาจารย์ทำให้พวกเขาอยากเข้าเรียนหรือว่ากระตือรือร้นในการพัฒนาตนเองเหรอ พวกที่มีแค่ “อ.” นำหน้านั้นถ่ายทอดความรู้ไม่ได้งั้นสิ คำตอบคงไม่ใช่ จริงๆ พวกเขาอาจต้องการแค่อาจารย์ที่เข้าใจ เข้าถึง ตลอดจนเป็นที่พึ่งทั้งทางสมองและหัวใจก็ได้ การสร้างกฎเกณฑ์มาควบคุมบงการให้อาจารย์แต่ละคนต้องใส่หัวโขนที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ขอถามว่าผลดีมันจะตกแก่ใครเหรอ แน่นอนว่านักศึกษาคงไม่ใช่หนึ่งในตัวเลือกนั้น อาจารย์ได้ตำแหน่ง
(ซึ่งบางคนต้องแลกมาด้วยความทุกข์ทรมาน เบียดบังการสอน สุขภาพกายพัง สุขภาพใจพ่าย) มหาวิทยาลัยได้เครดิตได้แรงก์เริ่ดๆ แล้วนักศึกษาได้อะไรเอ่ย ??? นี่ยังไม่รวมถึงคนที่เลือกทางสายนี้เพื่อเป็นอาจารย์อย่างแท้จริง อาจารย์ที่แปลว่าผู้สั่งสอนวิชาความรู้อะ แต่สุดท้ายบางคนก็ต้องล่าถอยจากไปเพียงเพราะมีคำนำหน้าแค่ “อ.” แต่โอดครวญไปก็เท่านั้นแหละ ตัวแม่จะแคร์เพื่ออะเนาะ