วันที่ฟ้าเปิด The Movie 2

กระทู้คำถาม
        หลังจากเสร็จสิ้นงานเลี้ยงในกองถ่ายภาพยนตร์หลายวัน รวิดาเข้ามาคุยงานกับปาริชาติ เธอนึกถึงคำพูดของเพื่อนในคืนวันนั้นที่เสนอว่าควรให้ปาริชาติเป็นคนนำนิยายไปเสนอให้กับบริษัทผลิตภาพยนตร์ เพราะอย่างน้อยปาริชาติเองก็มีประสบการณ์และโปรไฟล์ดูดีกว่ารวิดา

        แต่ทว่าทุกแห่งที่ปาริชาติไปล้วนได้รับการปฏิเสธด้วยเหตุผลคล้าย ๆ กันคือ หนังไม่น่าจะทำเงิน ปาริชาติจึงคิดว่าบางทีปัญหาไม่ได้อยู่ที่โปรไฟล์ของรวิดา

        “บริษัทเอกชนอาจจะไม่สนใจเรื่องแนวสงครามโดยเฉพาะความรุนแรงในภาคใต้แบบนี้ เพราะคิดว่าคงดึงดูดคนดูแค่กลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มเดียว มันยากที่จะทำกำไร” ปาริชาติพูด

        "มืดแปดด้านจริง ๆ" รวิดากล่าวอย่างท้อแท้

        “ถ้าไม่ใช่เอกชน ก็คงต้องเป็นรัฐบาล” ปาริชาติชี้ทางออกอีกทางแก่เพื่อน

        "รัฐบาล?" รวิดาทวนคำอย่างแปลกใจ

         “เค้าโครงเรื่องแบบนี้เราอาจจะขอทุนสนับสนุนจาก กอ.รมน. ได้ด้วยนะ เพราะช่วยสะท้อนภาพของชายแดนใต้ได้ดีเลยล่ะ”

        “จริงหรือ ถ้าได้จริงก็วิเศษไปเลย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเนี่ยนะ จะให้ทุนสร้างหนังด้วยหรือ” รวิดาพูดด้วยความหวัง

        “ใช่แล้ว เรื่อง ละติจูดที่ 6 เป็นหนังเรื่องแรกที่ กอ.รมน. สนับสนุน  เพราะต้องการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนที่มักมีข่าวเรื่องระเบิดตามหน้าหนังสือพิมพ์มากเกินไป คนในสังคมอาจจะไม่รู้จักจังหวัดเหล่านี้มากนัก อยากให้คนทั่วไปรู้ว่าวิถีชีวิตของคนในพื้นที่เป็นยังไง และมีการถ่ายทอดของแนวคิดของคนที่อยู่ท่ามกลางความรุนแรง”

        “หนังเรื่องละติจูดที่ 6...ฉันต้องไปหาดูบ้างแล้ว แล้วหนังเรื่องนี้ตอบโจทย์ที่ กอ.รมน. ต้องการได้ไหม”

        “หนังมันก็สะท้อนอะไรบางอย่างออกมาได้แหละ แต่ก็ต้องดูกระแสตอบรับของคนดูมากกว่า ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ส่วนเรื่องวันที่ฟ้าเปิด ฉันว่าเนื้อหาใช้ได้  อีกทั้งเธอมีความเข้าใจในเรื่องประชาสัมพันธ์ดีอยู่แล้ว คงจะไปเสนอโครงการได้สบายเลย ในครั้งนี้เธอน่าจะเป็นคนที่เข้าไปคุยกับ กอ.รมน. นะ”

        “ฉันต้องตอบโจทย์ของ กอ.รมน. ให้ได้ และสะท้อนสิ่งเหล่านั้นออกมาให้ตรงกับความต้องการให้มากที่สุด”

        แม้รวิดาจะเริ่มมีความหวังจากแนวทางเล็ก ๆ นี้ แต่บางสิ่งก็ทำให้เธอยังรู้สึกกังวลเพราะเคยผิดหวังมาแล้วหลายครั้ง

        “ขอบใจมากปาริชาติ ฉันจะลองศึกษาแนวทางเรื่องการขอทุนจาก กอ.รมน. ดู”

 

        หลังจากที่รวิดาเริ่มเห็นแนวทางความเป็นไปได้จากปาริชาติ ผู้ที่คิดอยากจะกำกับภาพยนตร์อย่างเธอจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะศึกษาแนวคิดของการกำกับภาพยนตร์ แนวคิดสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับผู้เริ่มต้นที่จะกำกับหนังสักเรื่อง นั่นคือการเข้าใจบทภาพยนตร์ หรือในขั้นตอนนี้ก็คือการเข้าใจบทของนิยายอย่างแท้จริง รวิดาอ่านบทประพันธ์และพยายามวิเคราะห์ตัวละครจากหนังสือหลายรอบแล้ว แต่เธอก็ยังคิดว่าการที่จะสามารถเข้าถึงแนวคิดในการเขียนนิยายได้อย่างแท้จริงก็คือ การได้ไปสัมภาษณ์เจ้าของบทประพันธ์

        แต่ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าเรื่องการศึกษาบทประพันธ์ในเวลานี้ นั่นก็คือการศึกษาแนวทางการให้ทุนของ กอ.รมน. ในการให้ทุนมาสร้างภาพยนตร์ หนทางที่ดีที่สุดในการศึกษาเรื่องนี้ คือเธอต้องวิเคราะห์จากภาพยนตร์เรื่อง ละติจูดที่ 6

        ไม่รอช้า รวิดาไปร้านขายดีวีดีภาพยนตร์และหาหนังที่เธอต้องการ

        หลังจากที่รวิดาวิเคราะห์เนื้อหาของนิยายที่จะแปลงไปสู่ภาพยนตร์ สิ่งที่รวิดาคิดถัดมาคือ ประชาชนคาดหวังอะไรจากหนังที่ กอ.รมน. ให้การสนับสนุน โดยสามัญสำนึกของคนทั่วไปที่เป็นห่วงเป็นใยเหตุการณ์ในพื้นที่ พวกเขาคงอยากจะรู้ถึงสิ่งที่สะท้อนความจริงอะไรบางอย่างออกมา เช่นรากเหง้าของปัญหา หรืออะไรที่ยังคงทำให้ปัญหาไม่ถูกคลี่คลายสักที

        หลายคนต่างตั้งความหวังว่า เรื่องละติจูดที่ 6 ควรจะสะท้อนอะไรออกมาได้มากกว่าเรื่องของความรัก เมื่อพวกเขาได้ดูฉากตัวอย่างภาพยนตร์ที่เห็นฉากแห่งความไม่สงบ สิ่งที่คาดหวังคงไม่ใช่เรื่องที่พระเอกจะจีบนางเอกหรือทั้งคู่จะได้ครองรักกันด้วยวิธีไหน แต่เป็นเรื่องภาพสะท้อนต้นเหตุความรุนแรง มุมมองของผู้ที่ได้รับผลกระทบ คนดูน่าจะอยากเห็นวีรบุรุษสักคนออกมาทำอะไรสักอย่างที่ทำให้พวกเขาน้ำตาไหล

        แม้รวิดาจะคิดว่าเพราะนี่คือหนังรัก มันจะมีอะไรมากกว่าแค่ชายหญิงรักกัน และหนังเรื่องนี้ยังสะท้อนถึงความเชื่อศรัทธาอะไรบางอย่าง สามารถแสดงแนวคิดของคนในจังหวัดปัตตานีได้ว่าไม่อยากจะย้ายหนีออกไปไหน แต่เพราะความคาดหวังกับหนังที่ลงไปถ่ายทำในพื้นที่ ก็ควรที่จะบอกเล่าสิ่งที่คนภายนอกอยากรู้ให้มากกว่าเรื่องชายหญิงจีบกัน

        รวิดายังศึกษาถึงบทสัมภาษณ์จากผู้กำกับภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องแนวคิดของการเขียนบท เขาอยากสะท้อนแนวคิดของคนในพื้นที่ ที่ไม่ยอมย้ายหนีออกมาจากชายแดนใต้ เพราะว่าที่นั่นเป็นทั้งบ้าน และวิถีชีวิตวัฒนธรรม หากคนหนีย้ายออกมาก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน และความยากอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องการหานักแสดง เพราะการถ่ายทำต้องลงไปถ่ายทำในจังหวัดปัตตานี ซึ่งมีบางคนไม่อยากลงไป

        ผู้กำกับอยากใช้โลเกชั่นสถานที่จริงเพื่อความสมจริงของหนัง หลายสถานที่ถูกปล่อยรกร้างว่างเปล่าจากที่เคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยว การนำทีมงาน 60 – 70 ชีวิตลงไปถ่ายทำนั้นยาก การยอมรับจากคนในชุมชนมุสลิมที่จะยอมให้คนต่างศาสนาเข้าไปในพื้นที่นั้นเป็นเรื่องของความไว้เนื้อเชื่อใจ ผู้กำกับต้องอธิบายการทำงานให้คนในชุมชนเข้าใจ จนในที่สุดทุกคนในพื้นที่ก็ให้ความช่วยเหลือกองถ่ายอย่างเต็มที่

        มุมมองหลายอย่างจากผู้ชมอาจจะผิดหวังบ้างเพราะเขาอาจจะคาดหวังอะไรมากเกินไป แต่ในมุมมองของรวิดาเองที่มีความเข้าใจในเรื่องการประชาสัมพันธ์ เธอเข้าใจในสิ่งที่ กอ.รมน. ต้องการจะสื่อ และตัวหนังเองก็ได้สื่อไปแล้วอย่างครบถ้วน ส่วนความคาดหวังเรื่องความจริงของสถานการณ์ความขัดแย้ง มันอาจจะยากที่จะเอามาใส่ในหนัง เพราะความจริงก็ยังเป็นสิ่งที่คลุมเครือ ยิ่งคนไทยเป็นคนที่อ่อนไหวต่ออารมณ์ความรู้สึก น้อยคนที่จะแยกความบันเทิงกับความจริงออกได้ การสมมุติเหตุการณ์อะไรบางอย่างลงไปในหนังอาจจะเป็นเรื่องที่อันตรายมากกว่าความสนุกสนาน

        เธอพักสายตาพร้อมเอนหลังลงบนโซฟานุ่มตัวยาว ในหัวก็คิดถึงความท้าทายที่จะหาจุดพอดีของการสร้างภาพยนตร์ ในนิยายเรื่องวันที่ฟ้าเปิดมีหลายจุดที่พูดตำหนิการทำงานของภาครัฐ มีการพูดถึงการทำงานของระบบราชการที่ไม่ใส่ใจคนมุสลิม มีบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ที่ไม่พอพียง แต่ความสมดุลของนิยายก็จะมีตรงที่การทำงานของหน่วยงานทหารที่เคร่งครัด หน่วยข่าวกรองที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีพระเอกที่เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทำงานในพื้นที่จังหวัดยะลาที่มีความรุนแรงบ่อยครั้ง

        แม้เรื่องราวในนิยายจะเป็นนิยายรัก นางเอกถูกพระเอกลักพาตัวเข้าป่าอย่างผิดกฎหมายและผิดครรลองฯ แต่ทุกอย่างที่พระเอกทำนั้นก็มีเหตุผลรองรับอย่างเป็นนัยยะ ในเรื่องการแก้ไขความขัดแย้งของปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

        “เธอก็ลองโทรไปคุยกับนักเขียนดูสิ ลองติดต่อว่าสนใจอยากจะให้เรานำนิยายของเขามาสร้างเป็นหนังไหม เขาอาจจะมีข้อเสนอแนะอะไรก็ได้นะ” ปาริชาติแนะนำเมื่อรวิดาโทรไปขอความเห็น

        “จริงสินะ ยังไม่เคยติดต่อไปทางนั้นเลย”

        “บางทีนักเขียนก็อยากให้ผลงานของตัวเองถูกนำไปสร้างเป็นหนังอยู่แล้ว”

        “ต้องติดต่อไปทางสำนักพิมพ์ก่อน”

"แล้วเรื่องลิขสิทธิ์ ใครเป็นเจ้าของ ฉันยังไม่รู้เลยว่า สำนักพิมพ์ หรือเจ้าของบทประพันธ์"

        "นักเขียนซิ" รวิดาตอบ

        รวิดาติดต่อทางสำนักพิมพ์ เพื่อขอรายละเอียดการติดต่อนักเขียนท่านหนึ่งที่เขียนนิยายเรื่องวันที่ฟ้าเปิด จากนั้นทั้งคู่ก็นัดแนะเพื่อพูดคุยกัน 

 

        รวิดาเข้ามานั่งรอในร้านกาแฟก่อนถึงเวลานัด เธอนั่งรอไม่นานก็เห็นคนที่คาดว่าจะเป็นคุณดรัสวันต์เดินเข้ามาในร้าน รวิดาเริ่มต้นส่งยิ้มให้ผู้มาใหม่ก่อน แล้วเธอก็ได้รอยยิ้มตอบกลับมา

        “สวัสดีค่ะ ใช่คุณดรัสวันต์หรือเปล่าคะ” รวิดาเริ่มทักก่อน เมื่อมั่นใจว่าใช่ รวิดาลุกขึ้นยืนและเชิญผู้มาใหม่นั่ง “ขอบคุณนะคะคุณดรัสวันต์ที่อุตส่าห์สละเวลามาพบ”

        “เรียกพี่เอินก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเกรงใจนะคะเพราะออฟฟิศของพี่อยู่ใกล้ ๆ นี้เองค่ะ ไม่ลำบากอะไร"

        พนักงานเดินเข้ามาที่โต๊ะ ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มต้นคุยธุระ “พี่จะรับอะไรดีคะ” เธอถาม

        “พี่ขอกาแฟเย็นค่ะ”

        “ขอกาแฟเย็นและเอสเปรสโซ่ร้อนค่ะ” รวิดาย้ำกับพนักงาน ก่อนจะหันกลับมาคุยกันต่อเรื่องที่คุยค้างไว้ “คือ พี่คงจะทราบมาบ้างแล้วว่าหนูสนใจที่จะนำนิยายเรื่องวันที่ฟ้าเปิดไปทำเป็นบทภาพยนตร์น่ะค่ะ ”

        “พอทราบแล้วค่ะ ทางสำนักพิมพ์บอกมาอย่างนั้น ตอนแรกที่ทราบพี่ดีใจมากที่มีคนสนใจจะนำนิยายเรื่องนี้ไปสร้างภาพยนตร์”

        พนักงานยกแก้วกาแฟที่สั่งมาวางบนโต๊ะ รวิดาเชิญนักเขียนดื่มก่อนจะพูดถาม

        “ก่อนอื่นขอถามถึงแรงบันดาลใจของการเขียนนิยายหน่อยค่ะว่าเริ่มจากอะไร”

        “ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้มีมานานแล้ว แต่ก็ไม่มีรัฐบาลไหนแก้สำเร็จ มีข่าวระเบิดยิงกันทุกวัน จนเหมือนจะกลายเป็นชีวิตประจำวันของคนที่นั่นไปแล้ว พี่ว่ามันอยู่ในกระแสความสนใจของคนไม่น้อย แต่ไม่ค่อยมีใครนำเรื่องราวเหล่านี้มาทำเป็นนิยาย พี่รู้สึกว่ามันท้าทายนักเขียนอย่างพี่”

        “แล้วข้อมูลต่าง ๆ นี่พี่ไปได้จากที่ไหนหรือคะ”

        “ข้อมูลที่เกี่ยวกับชุมชน การทำงานกับชาวบ้านโดยเฉพาะคนมุสลิมในภาคใต้นั้นพี่มีประสบการณ์อยู่แล้ว แต่ในส่วนเรื่องการทหารและปัญหาความรุนแรง ก็จะรวบรวมจากข่าว พี่ติดตามข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงใน 3 จังหวัดนี้มาตลอด นอกจากนี้ก็ค้นหาจากอินเตอร์เน็ต คุณ Q ที่ทำงานร่วมกันกับพี่ เขาเสิร์ชข้อมูลเก่ง”

        “จริงด้วย พี่มี co-writer หนูเห็นจะต้องนัดสัมภาษณ์คุณ Q ด้วยเหมือนกัน แล้วพล็อตเรื่องล่ะคะ ทำไมถึงเลือกแนวพระเอกลักพาตัวนางเอกเข้าป่า เหมือนนิยายรุ่นก่อน ๆ”

         “คือ นิยายที่เป็นเรื่องความขัดแย้ง สงครามอะไรแบบนี้มันค่อนข้างเครียดนะคะ พี่อยากให้มีเรื่องราวของความรักเข้ามาด้วย จะทำให้คนอ่านไม่เครียดเกินไป และจะสามารถดึงดูดนักอ่านที่หลากหลาย ทั้งนักอ่านที่ชอบแนวรักกับนักอ่านที่ชอบความตื่นเต้นของสงคราม แล้วพี่มองว่านิยายที่พระเอกลักพาตัวนางเอกเข้าไปในป่า เป็นพล๊อตอมตะนะ นิยายหลายเรื่องยังคงใช้แนวนี้”

        “ใช่ค่ะ เหมือนเรื่องจำเลยรัก”

        “เสราดารัล โจรปล้นใจ จำเลยกามเทพ จำเลยรัก ดั่งดวงหฤทัย ทางผ่านกามเทพ วนาลี พูดไปแล้วมีนิยายหลายเรื่องที่มีบทนางเอกถูกลักพาตัวโดยพระเอก มีหลายเหตุผลด้วยกันคือ เหตุผลทางการเมือง เข้าใจผิด จับผิดตัว โดนสั่งให้ทำ อย่างจำเลยรัก ให้ภาพของการลักพาตัวที่ชัดเจนที่สุด และตัวละครในเรื่องเหล่านี้กลับมีเสน่ห์จนคนติดงอมแงม ตั้งแต่ยังเป็นนวนิยาย จนถึงมาเป็นละครโทรทัศน์ พี่คิดว่าคนอ่านยังคงชอบแนวนี้”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่