คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 21
ขอแสดงข้อมูล คำว่า สงฆ์.....และ....ภิกษุ
https://www.dhammahome.com/webboard/topic/31708
คำว่า สังฆะ หรือ สงฆ์ นั้น แปลว่า หมู่หรือคณะ ไม่ว่าจะเป็นหมู่หรือคณะอะไรก็ได้ ไม่ได้ใช้สำหรับพระภิกษุเสมอไป ขึ้นอยู่กับคำที่อยู่ข้างหน้าของคำว่า สงฆ์ (สงฺฆ) นั้น จะเป็นคำอะไร เช่น หมู่นก หมู่แมลง ก็ใช้ได้เหมือนกัน ดังนั้น คำว่า ภิกษุสงฆ์ จึงหมายถึง หมู่แห่งภิกษุ ดังมีข้อความ ที่ว่า ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร สตฺถา (พระศาสดามีหมู่แห่งภิกษุเป็นบริวาร) อีกประการหนึ่ง ถ้ากล่าวถึงในเรื่องของสังฆกรรม คำว่า ภิกษุสงฆ์ หรือ ภิกฺขุสงฺโฆ นั้น จะหมายถึงพระภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ซึ่งสังฆกรรมแต่ละอย่างนั้นก็แตกต่างกันออกไป
อนึ่ง สงฆ์จำแนกเป็น ๒ จำพวกคือ
๑. สมมติสงฆ์ (ผู้ที่ได้รับการยอมรับให้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา เป็นที่รู้กันว่าเป็นพระภิกษุ)
๒. อริยสงฆ์ (พระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสตามลำดับขั้น ตั้งแต่พระโสดาบัน ถึง พระอรหันต์) เพราะฉะนั้น ในความมุ่งหมายของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ นั้น พระสงฆ์ในที่นี้ได้แก่ พระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง แล้วได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสตามลำดับขั้น ครับ
เพิ่มเติมอธิบายความหมายของคำว่า ภิกษุ ครับ
คำว่า ภิกษุ มาจากภาษาบาลีว่า ภิกฺขุ มีความหมายหลายอย่าง เช่น ผู้ขอ (โดยธรรม) ผู้เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ เป็นการเห็นภัยของการเวียนว่ายตายเกิดซึ่งเต็มไปด้วยทุกข์ ผู้ทำลายกิเลสมีโลภะ โทส โมหะ เป็นต้น จึงมีความหมายที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง แสดงถึงทั้งความเป็นภิกษุโดยสภาวะจริงๆ คือ ผู้ที่สามารถดับกิเลสตามลำดับขั้นจนถึงสูงสุดถึงความเป็นพระอรหันต์ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวงไม่ว่าจะอยู่ในเพศใดก็ตาม และ อีกความหมายหนึ่งแสดงถึงภิกษุโดยเพศ คือ ผู้ที่สละอาคารบ้านเรือน สละวงศาคณาญาติ สละทรัพย์สมบัติ สละความเป็นคฤหัสถ์ทุกประการ มุ่งสู่เพศบรรพชิต เพื่อศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลสของตนเอง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นจะได้รับประโยชน์จากการเป็นพระภิกษุหรือไม่ ก็ตามการสะสมของผู้นั้นจริงๆ
ข้อความใน พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๒๙๕
๑๐. ภิกขกสูตร
ว่าด้วยความเป็นภิกษุ
แสดงถึงความเป็นภิกษุที่แท้จริง ดังนี้ คือ
“บุคคล หาชื่อว่าเป็นภิกษุ เพียงด้วยการขอคนอื่นไม่ บุคคลสมาทานธรรมอันเป็นพิษ (คือ อกุศลธรรม) หาชื่อว่าเป็นภิกษุได้ไม่ ผู้ใดในโลกนี้ ละบุญและบาปเสียแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ (ประพฤติประเสริฐ) ด้วยการพิจารณา ผู้นั้นแล ชื่อว่าเป็น ภิกษุ”
ข้อความในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส แสดงถึงความหมายของภิกษุว่าเป็นผู้เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ ดังนี้ คือ
“บทว่า ภิกฺขุ ความว่า ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์”
ขออนุโมทนา
https://www.dhammahome.com/webboard/topic/31708
คำว่า สังฆะ หรือ สงฆ์ นั้น แปลว่า หมู่หรือคณะ ไม่ว่าจะเป็นหมู่หรือคณะอะไรก็ได้ ไม่ได้ใช้สำหรับพระภิกษุเสมอไป ขึ้นอยู่กับคำที่อยู่ข้างหน้าของคำว่า สงฆ์ (สงฺฆ) นั้น จะเป็นคำอะไร เช่น หมู่นก หมู่แมลง ก็ใช้ได้เหมือนกัน ดังนั้น คำว่า ภิกษุสงฆ์ จึงหมายถึง หมู่แห่งภิกษุ ดังมีข้อความ ที่ว่า ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร สตฺถา (พระศาสดามีหมู่แห่งภิกษุเป็นบริวาร) อีกประการหนึ่ง ถ้ากล่าวถึงในเรื่องของสังฆกรรม คำว่า ภิกษุสงฆ์ หรือ ภิกฺขุสงฺโฆ นั้น จะหมายถึงพระภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ซึ่งสังฆกรรมแต่ละอย่างนั้นก็แตกต่างกันออกไป
อนึ่ง สงฆ์จำแนกเป็น ๒ จำพวกคือ
๑. สมมติสงฆ์ (ผู้ที่ได้รับการยอมรับให้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา เป็นที่รู้กันว่าเป็นพระภิกษุ)
๒. อริยสงฆ์ (พระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสตามลำดับขั้น ตั้งแต่พระโสดาบัน ถึง พระอรหันต์) เพราะฉะนั้น ในความมุ่งหมายของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ นั้น พระสงฆ์ในที่นี้ได้แก่ พระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง แล้วได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสตามลำดับขั้น ครับ
เพิ่มเติมอธิบายความหมายของคำว่า ภิกษุ ครับ
คำว่า ภิกษุ มาจากภาษาบาลีว่า ภิกฺขุ มีความหมายหลายอย่าง เช่น ผู้ขอ (โดยธรรม) ผู้เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ เป็นการเห็นภัยของการเวียนว่ายตายเกิดซึ่งเต็มไปด้วยทุกข์ ผู้ทำลายกิเลสมีโลภะ โทส โมหะ เป็นต้น จึงมีความหมายที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง แสดงถึงทั้งความเป็นภิกษุโดยสภาวะจริงๆ คือ ผู้ที่สามารถดับกิเลสตามลำดับขั้นจนถึงสูงสุดถึงความเป็นพระอรหันต์ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวงไม่ว่าจะอยู่ในเพศใดก็ตาม และ อีกความหมายหนึ่งแสดงถึงภิกษุโดยเพศ คือ ผู้ที่สละอาคารบ้านเรือน สละวงศาคณาญาติ สละทรัพย์สมบัติ สละความเป็นคฤหัสถ์ทุกประการ มุ่งสู่เพศบรรพชิต เพื่อศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลสของตนเอง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นจะได้รับประโยชน์จากการเป็นพระภิกษุหรือไม่ ก็ตามการสะสมของผู้นั้นจริงๆ
ข้อความใน พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๒๙๕
๑๐. ภิกขกสูตร
ว่าด้วยความเป็นภิกษุ
แสดงถึงความเป็นภิกษุที่แท้จริง ดังนี้ คือ
“บุคคล หาชื่อว่าเป็นภิกษุ เพียงด้วยการขอคนอื่นไม่ บุคคลสมาทานธรรมอันเป็นพิษ (คือ อกุศลธรรม) หาชื่อว่าเป็นภิกษุได้ไม่ ผู้ใดในโลกนี้ ละบุญและบาปเสียแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ (ประพฤติประเสริฐ) ด้วยการพิจารณา ผู้นั้นแล ชื่อว่าเป็น ภิกษุ”
ข้อความในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส แสดงถึงความหมายของภิกษุว่าเป็นผู้เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ ดังนี้ คือ
“บทว่า ภิกฺขุ ความว่า ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์”
ขออนุโมทนา
แสดงความคิดเห็น
โสดาบัน.. ในพระไตรปิฎก
คิญชกาวสถสูตรที่ ๓
ว่าด้วยธรรมปริยายชื่อธรรมาทาส
[๑๔๗๖] (ข้อความเบื้องต้นเหมือนคิญชกาวสถสูตรที่ ๑) ครั้นแล้ว ท่านพระอานนท์
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุบาสกชื่อกกุฏะในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กระทำ
กาละแล้ว คติของเขาเป็นอย่างไร สัมปรายภพของเขาเป็นอย่างไร ... อุบาสกชื่อกฬิภะในหมู่บ้าน
แห่งหนึ่ง ... อุบาสกชื่อทนิกัทธะในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ... อุบาสกชื่อกฏิสสหะในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ...
อุบาสกชื่อตุฏฐะในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ... อุบาสกชื่อสันตุฏฐะในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ... อุบาสกชื่อภัททะ
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ... อุบาสกชื่อสุภัททะในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กระทำกาละแล้ว คติของเขาเป็น
อย่างไร สัมปรายภพของเขาเป็นอย่างไร?
[๑๔๗๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ อุบาสกชื่อกกุฏะ กระทำกาละแล้ว
เป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะสังโยชน์อัน
เป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป อุบาสกชื่อกฬิภะ ... ชื่อทนิกัทธะ ... ชื่อกฏิสสหะ ... ชื่อตุฏฐะ ...
ชื่อสันตุฏฐะ ... ชื่อภัททะ ... ชื่อสุภัททะ กระทำกาละแล้ว เป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพ
นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป.
[๑๔๗๘] ดูกรอานนท์ อุบาสกทั้งหลายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เกินกว่า ๕๐ คน กระทำ
กาละแล้ว เป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ
สังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป อุบาสกทั้งหลายในหมู่บ้านแห่งหนึ่งเกินกว่า ๙๐ คน
กระทำกาละแล้ว เป็นพระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไปและเพราะราคะ โทสะ โมหะ
เบาบาง มาสู่โลกนี้อีกคราวเดียว แล้วจักทำที่สุดทุกข์ได้ อุบาสกทั้งหลายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
เกินกว่า ๕๐๐ คน กระทำกาละแล้ว เป็นพระโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป มีอันไม่ตกต่ำ
เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.
[๑๔๗๙] ดูกรอานนท์ ข้อที่บุคคลเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว พึงกระทำกาละ มิใช่เป็น
ของน่าอัศจรรย์ ถ้าเมื่อผู้นั้นๆ กระทำกาละแล้ว เธอทั้งหลายพึงเข้ามาหาเราแล้วสอบถามเนื้อ
ความนั้น ข้อนี้เป็นความลำบากของตถาคต เพราะฉะนั้นแหละ เราจักแสดงธรรมปริยายชื่อ
ธรรมาทาส ที่อริยสาวกประกอบแล้ว เมื่อหวังอยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เรามีนรก
กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต สิ้นแล้ว เราเป็นพระโสดาบัน มีความ
ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.
[๑๔๘๐] ดูกรอานนท์ ก็ธรรมปริยายชื่อธรรมาทาส ที่อริยสาวกประกอบแล้ว เมื่อ
หวังอยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เรามีนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย อบาย ทุคติ
วินิบาต สิ้นแล้ว
เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ใน เบื้องหน้า เป็นไฉน?
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวใน
พระพุทธเจ้า ...
ในพระธรรม ...
ในพระสงฆ์ ...
ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ...
เป็น ไปเพื่อสมาธิ นี้แล คือ ธรรมปริยายชื่อธรรมาทาส ที่อริยสาวกประกอบแล้ว เมื่อหวังอยู่
พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เรามีนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต
สิ้นแล้ว เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.
จบ สูตรที่ ๑๐
จบ เวฬุทวารวรรคที่ ๒
ผมจะไม่แสดงความเห็นส่วนตน เพราะพระพุทธเจ้ากล่าวไว้ชัดเจนแล้ว
เพียงแต่พึงให้สังเกตว่า
...
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์
...
ดังนั้น อรรถกถา ใด ๆ ในพระไตรปิฎก ที่กล่าวโดยพระสงฆ์ ย่อมกล่าวไว้ดีแล้วเช่นกัน
............
คำถาม สมาชิกท่านใด ต้องการยกพระสูตร หรืออรรถกถาใด เพิ่มเติมหรือไม่?