มาแชร์วิธีประหยัดค่าหนังสือสำหรับสายอ่าน สายฟัง(แบบถูกลิขสิทธิ์) โดยเฉพาะกับหนังสือภาษาอังกฤษครับ โดยเฉลี่ยแต่ละเดือนผมจะซื้อหนังสือเยอะอยู่ แต่โดยรวมค่าเฉลี่ยของแต่ละเดือน ค่าหนังสือต่อเล่มจะไม่เกิน 100 บาท ครับ ถือว่าประหยัดได้พอสมควรเลย ซื้อ 3 เดือน อ่านได้ นานเป็นปีเลยครับ
1. หนังสือ e book ที่เป็น public domain อย่าง Sherlock Holmes หรือ หนังสือจากนักเขียน H.G. wells หรือ Arthur C. Clarke คุณสามารถหาโหลดได้ฟรีจาก
https://www.gutenberg.org/
เมื่อโหลดแล้วสามารถนำไปอัพขึ้น kindle ของตัวคุณได้
2. หนังสือพัฒนาตัวเอง อย่าง atomic habits ภาษาจะง่าย พอๆกับYA novel หรือวรรณกรรมเยาวชน เพราะเป็นหนังสือในแบบที่เขียนมาให้ทุกคนอ่าน หนังสือแนวนี้ภาษาอังกฤษโดยมาก จะถูกกว่า ภาษาไทย แต่คุณภาพกระดาษก็จะไม่ดีเท่าเหมาะสำหรับสายอ่าน
3. หนังสือบางประเภทจะเหมาะกับการซื้อ ภาษาไทยมากกว่าภาษาอังกฤษ ตัวอย่างหนังสือ การเล่นหุ้น เราคุ้นชินกับ set มากกว่า dow jones เราเคยได้ยินตัวอย่างการปั่นราคา จตุคามมากกว่าดอก ทิวลิป เราคุ้นกับวิกฤติต้มยำกุ้งมากกว่าแฮมเบอร์เกอร์ แต่ตัวผมเองก็อ่านหนังสือของต่างประเทศบ้าง แต่อ่านของไทยเป็นหลักครับ
หนังสือ ประเภท การปลูกผัก การเพาะพืชต่างๆ อ่านภาษาไทยเป็นหลักจะดีกว่า เพราะสภาพอากาศ โรค แมลงต่างๆที่เจอจะแตกต่างกันไปตามแต่ภูมิภาคของแต่ละประเทศ เพราะฉะนั้นเลือกอ่านของประเทศที่เราอยู่เป็นหลักดีกว่า ที่เหลือของต่างประเทศไว้อ่านเสริมก็พอ
4. หนังสือมือสอง ทางออกสำหรับคนประหยัด สภาพมีตั้งแต่ดีมาก ไปจนถึงกระดาษหลุด ขอดูสภาพก่อนการซื้อจะดีที่สุด จะได้ตัดสินใจถูกและป้องกันการโกงไปด้วย
ส่วนตัวร้านที่ซื้อประจำมีสองร้าน(โปรโมทให้ฟรี)
หนังสือภาษาอังกฤษ ซื้อร้าน Book town
หนังสือภาษาญี่ปุ่น ซื้อร้าน Key book
5. หากเห็นหนังสือมือสอง ประเภทที่ต้องการ แต่ไม่รู้ว่าดีไหม แนวไหน ให้เข้า google พิมพ์ชื่อหนังสือ ตามด้วย book 2 เว็ปไซต์ที่คุณต้องเช็คคือ
1.) Amazon เข้าไปดูรีวิวหนังสือ โหลดเวอร์ชั่นkindle มาลองอ่านดูว่าตรงความต้องการไหม เลื่อนลงมา จะมีรีวิว จะมีหมวดหนังสือบอกไว้อยู่ว่าหมวดไหน อยู่ลำดับที่เท่าไหร่ในหมวดนั้นๆ
2.) Goodread คะแนนรีวิวจะต่ำกว่า amazon เสมอและรีวิวจะตรงกว่า แต่กดดูรีวิวด้วยนะครับ กดคะแนนเพราะเกลียดนักเขียนก็มีเยอะ
6. Kindle มีหนังสือลดราคาอยู่ทุกวัน ถูกสุดจะประมาณ 35 บาท บางเล่มถ้าจ่ายเพิ่มอีกไม่กี่บาท ก็จะได้หนังสือเสียงใน audible เพิ่มด้วย นอกจากนี้ kindle unlimited สำหรับจ่ายเหมารายเดือนอีกด้วย
หนังสือเสียง
1. ส่วนตัวผมใช้อยู่ 3 แอพคือ audible, smart audiobook , SoundCloud
2. Audible จ่ายรายเดือนได้ 2 แบบคือ
1. แบบถูก จะเป็นการเหมาจ่ายเพื่อฟังหนังสือที่อยู่ในหมวดสมาชิก ฟังกี่เรื่องก็ได้ มีหลายพันเรื่อง ฟังกันไปยาวๆ
2. แบบแพง ได้ฟังแบบเหมาจ่าย และได้ 1 credit เพื่อไปซื้อหนังสืออะไรก็ได้ 1 เล่ม
วิธีใช้ audible แบบคุ้มค่าในวิธีสายมารนิดๆ
1.) เมล์ไปขอส่วนลด 50% 3 เดือน ผมใช้บ่อย พอหมดสมาชิก เว้นสักหน่อยแล้วค่อยไปเมล์ไปขอใหม่
2.) 1 credit ต่อเดือน ไม่จำเป็นต้องหมายถึง 1 เล่ม แต่อาจจะหมายถึง 1 boxset ก็ได้ และนอกจากนี้ ยังมีโปร 1 credit 2 เล่มบ่อยๆ ผมพึ่งซื้อมา 1 credit 2 boxset
3.) หนังสือที่ซื้อด้วย credit สามารถคืนได้ เพราะฉะนั้นหากคุณอยากอ่านแต่ไม่อยากซื้อ ให้กดใช้ credit จากนั้นดาวน์โหลดหนังสือมาไว้ในโทรศัพท์ เสร็จแล้วกดคืน คุณจะได้หนังสือและcredit ยังอยู่ แต่ถ้าทำบ่อยจะโดนเตือนนะ
4.) มีนักเขียนแจกหนังสือตัวเองฟรีบ่อยๆ ในreddit สามารถไปรับได้ รับและฟังแล้ว รีวิวให้นักเขียนด้วยนะครับ
3. Smart audiobook player แอพนี้ไม่มีอะไรครับ แค่ใช้ฟังหนังสือเสียงที่โหลดมาฟรี จาก public domain หรือ แอพอื่นๆ
4. SoundCloud เป็นแอพอัพโหลดหนังสือเสียง เพลงต่างๆ โดยเราสามารถฟังฟรีๆได้ โดยเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นผู้อัพโหลดครับ
มีอีกแอพที่ส่วนตัวไม่ได้ใช้คือ Scribd เป็นหนังสือเสียงฟังเหมาแบบรายเดือน
หมดแล้วครับ หลักๆก็มีแค่นี้ละครับ ใครมีวิธีแบบไหนที่จะช่วยให้ประหยัดค่าหนังสือก็แชร์กันมานะครับ
มาแชร์วิธีประหยัดเงินค่าซื้อหนังสือครับ
1. หนังสือ e book ที่เป็น public domain อย่าง Sherlock Holmes หรือ หนังสือจากนักเขียน H.G. wells หรือ Arthur C. Clarke คุณสามารถหาโหลดได้ฟรีจาก
https://www.gutenberg.org/
เมื่อโหลดแล้วสามารถนำไปอัพขึ้น kindle ของตัวคุณได้
2. หนังสือพัฒนาตัวเอง อย่าง atomic habits ภาษาจะง่าย พอๆกับYA novel หรือวรรณกรรมเยาวชน เพราะเป็นหนังสือในแบบที่เขียนมาให้ทุกคนอ่าน หนังสือแนวนี้ภาษาอังกฤษโดยมาก จะถูกกว่า ภาษาไทย แต่คุณภาพกระดาษก็จะไม่ดีเท่าเหมาะสำหรับสายอ่าน
3. หนังสือบางประเภทจะเหมาะกับการซื้อ ภาษาไทยมากกว่าภาษาอังกฤษ ตัวอย่างหนังสือ การเล่นหุ้น เราคุ้นชินกับ set มากกว่า dow jones เราเคยได้ยินตัวอย่างการปั่นราคา จตุคามมากกว่าดอก ทิวลิป เราคุ้นกับวิกฤติต้มยำกุ้งมากกว่าแฮมเบอร์เกอร์ แต่ตัวผมเองก็อ่านหนังสือของต่างประเทศบ้าง แต่อ่านของไทยเป็นหลักครับ
หนังสือ ประเภท การปลูกผัก การเพาะพืชต่างๆ อ่านภาษาไทยเป็นหลักจะดีกว่า เพราะสภาพอากาศ โรค แมลงต่างๆที่เจอจะแตกต่างกันไปตามแต่ภูมิภาคของแต่ละประเทศ เพราะฉะนั้นเลือกอ่านของประเทศที่เราอยู่เป็นหลักดีกว่า ที่เหลือของต่างประเทศไว้อ่านเสริมก็พอ
4. หนังสือมือสอง ทางออกสำหรับคนประหยัด สภาพมีตั้งแต่ดีมาก ไปจนถึงกระดาษหลุด ขอดูสภาพก่อนการซื้อจะดีที่สุด จะได้ตัดสินใจถูกและป้องกันการโกงไปด้วย
ส่วนตัวร้านที่ซื้อประจำมีสองร้าน(โปรโมทให้ฟรี)
หนังสือภาษาอังกฤษ ซื้อร้าน Book town
หนังสือภาษาญี่ปุ่น ซื้อร้าน Key book
5. หากเห็นหนังสือมือสอง ประเภทที่ต้องการ แต่ไม่รู้ว่าดีไหม แนวไหน ให้เข้า google พิมพ์ชื่อหนังสือ ตามด้วย book 2 เว็ปไซต์ที่คุณต้องเช็คคือ
1.) Amazon เข้าไปดูรีวิวหนังสือ โหลดเวอร์ชั่นkindle มาลองอ่านดูว่าตรงความต้องการไหม เลื่อนลงมา จะมีรีวิว จะมีหมวดหนังสือบอกไว้อยู่ว่าหมวดไหน อยู่ลำดับที่เท่าไหร่ในหมวดนั้นๆ
2.) Goodread คะแนนรีวิวจะต่ำกว่า amazon เสมอและรีวิวจะตรงกว่า แต่กดดูรีวิวด้วยนะครับ กดคะแนนเพราะเกลียดนักเขียนก็มีเยอะ
6. Kindle มีหนังสือลดราคาอยู่ทุกวัน ถูกสุดจะประมาณ 35 บาท บางเล่มถ้าจ่ายเพิ่มอีกไม่กี่บาท ก็จะได้หนังสือเสียงใน audible เพิ่มด้วย นอกจากนี้ kindle unlimited สำหรับจ่ายเหมารายเดือนอีกด้วย
หนังสือเสียง
1. ส่วนตัวผมใช้อยู่ 3 แอพคือ audible, smart audiobook , SoundCloud
2. Audible จ่ายรายเดือนได้ 2 แบบคือ
1. แบบถูก จะเป็นการเหมาจ่ายเพื่อฟังหนังสือที่อยู่ในหมวดสมาชิก ฟังกี่เรื่องก็ได้ มีหลายพันเรื่อง ฟังกันไปยาวๆ
2. แบบแพง ได้ฟังแบบเหมาจ่าย และได้ 1 credit เพื่อไปซื้อหนังสืออะไรก็ได้ 1 เล่ม
วิธีใช้ audible แบบคุ้มค่าในวิธีสายมารนิดๆ
1.) เมล์ไปขอส่วนลด 50% 3 เดือน ผมใช้บ่อย พอหมดสมาชิก เว้นสักหน่อยแล้วค่อยไปเมล์ไปขอใหม่
2.) 1 credit ต่อเดือน ไม่จำเป็นต้องหมายถึง 1 เล่ม แต่อาจจะหมายถึง 1 boxset ก็ได้ และนอกจากนี้ ยังมีโปร 1 credit 2 เล่มบ่อยๆ ผมพึ่งซื้อมา 1 credit 2 boxset
3.) หนังสือที่ซื้อด้วย credit สามารถคืนได้ เพราะฉะนั้นหากคุณอยากอ่านแต่ไม่อยากซื้อ ให้กดใช้ credit จากนั้นดาวน์โหลดหนังสือมาไว้ในโทรศัพท์ เสร็จแล้วกดคืน คุณจะได้หนังสือและcredit ยังอยู่ แต่ถ้าทำบ่อยจะโดนเตือนนะ
4.) มีนักเขียนแจกหนังสือตัวเองฟรีบ่อยๆ ในreddit สามารถไปรับได้ รับและฟังแล้ว รีวิวให้นักเขียนด้วยนะครับ
3. Smart audiobook player แอพนี้ไม่มีอะไรครับ แค่ใช้ฟังหนังสือเสียงที่โหลดมาฟรี จาก public domain หรือ แอพอื่นๆ
4. SoundCloud เป็นแอพอัพโหลดหนังสือเสียง เพลงต่างๆ โดยเราสามารถฟังฟรีๆได้ โดยเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นผู้อัพโหลดครับ
มีอีกแอพที่ส่วนตัวไม่ได้ใช้คือ Scribd เป็นหนังสือเสียงฟังเหมาแบบรายเดือน
หมดแล้วครับ หลักๆก็มีแค่นี้ละครับ ใครมีวิธีแบบไหนที่จะช่วยให้ประหยัดค่าหนังสือก็แชร์กันมานะครับ