.
โดย : ชลัน
๑๒
__________________________
พี่ใหญ่อาการดีขึ้น แต่ยังไม่รู้สึกตัว หมอให้ย้ายมาอยู่ห้องพักฟื้นผู้ป่วย และฉันขออาสาอยู่เฝ้าไข้เอง ตลอดระยะเวลาสามวันที่ฉันลางานนั่นแหละ ช่วงเช้าคุณแม่กับคุณยายจะมาเยี่ยม ตอนบ่ายก็จะเป็นคุณย่าที่แวะเวียนมาเยี่ยม ส่วนคุณพ่อจะหาเวลามาเยี่ยมลูกชายให้ได้ ยอมขับรถไกล ๆ มาทุกวัน เข้าวันที่สองแล้วที่พี่ใหญ่ย้ายมาอยู่ห้องพักฟื้น แต่ยังไม่ฟื้นเลย
เช้าวันนี้คุณแม่มาเยี่ยมพี่ใหญ่คนเดียว ส่วนคุณลุงแวะมาส่งแล้วกลับไปทำงาน คุณยายอยู่บ้าน บอกว่าวันไหนที่พี่ใหญ่รู้สึกตัว คุณยายถึงจะมาอีก เพราะไม่ชอบอยู่โรงพยาบาล ไม่อยากมาบ่อย ๆ
ระหว่างที่เราสองแม่ลูกนั่งคุยกันเพลิน เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ฉันเดินไปส่องดูว่าใครมา เห็นเป็นคุณพ่อเอง ฉันหันไปมองคุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างเตียงของพี่ใหญ่ กำลังเช็ดตัวให้ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ฉันเปิดประตูให้คุณพ่อเข้ามา
"คุณพ่อสวัสดีค่ะ มาเช้าจัง" ฉันไหว้ทักทาย พอคุณแม่ได้ยินฉันพูดก็หันมามอง สายตาที่มองมายังคุณพ่อไม่ได้มีความยินดียินร้ายอะไร และก็ไม่ได้พูดผลักไสไล่ส่งให้กลับไปด้วย
"วันนี้พ่อว่าง กะว่าจะมาอยู่กับพี่เราทั้งวันน่ะ กะอยู่เป็นเพื่อนหนูด้วย วันเสาร์อาทิตย์น้องถึงจะมาเยี่ยมพี่ใหญ่นะ" คุณพ่อว่า แล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้นวม มองคุณแม่เช็ดตัวให้พี่ใหญ่
"ไม่จำเป็นต้องมาทุกวันก็ได้นะ ฉันดูแลลูกได้" คุณแม่พูดมือก็คอยเช็ดตัวให้พี่ใหญ่ไปด้วย ฉันนั่งเงียบฟังทั้งสองคุยกัน ฉันเองก็อยากรู้ว่าพ่อแม่อยู่ด้วยกันแบบนี้จะเป็นอย่างไร ฉันคงไม่ใช่ก้างขวางคอเพราะฉันก็เป็นลูกของท่านทั้งสอง
"ได้ไง! คุณห่วงลูกแบบไหน ผมก็ห่วงแบบนั้นล่ะ" คุณพ่อกล่าว ดูเหมือนจะไม่พอใจที่คุณแม่พยายามจะห้ามไม่ให้คุณพ่อมา
"อืม... ฉันห่วงคุณต่างหาก" คุณแม่หันหน้ามามองคุณพ่อที่นั่งอยู่โซฟากับฉัน "เดินทางไกล ๆ ไปกลับทุกวันแบบนี้มันไม่ค่อยดีนักหรอก ลูกก็อาการดีขึ้นทุกวัน ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน คนที่จะเสียใจคือลูกของคุณทุกคนนะ" คุณแม่ถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ "แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ใหญ่จะฟื้นสักที ให้ลูกฟื้นก่อนคุณค่อยมาอีกก็ได้ เดินทางทุกวันอันตราย"
คุณพ่อยิ้มที่มุมปาก จากที่หน้าบึ้งให้คุณแม่นิด ๆ กับคำพูดของคุณแม่เมื่อครู่ "ไม่เป็นไรผมเดินทางได้ ดูแลตัวเองได้น่า" คุณพ่อมองคุณแม่ด้วยแววตาที่ดูคล้ายว่ายังมีเยื่อใย "ลูกยังไม่รู้สึกตัวแบบนี้ผมก็ไม่วางใจหรอก คุณไม่ต้องห่วงหรอก ว่าสามีของคุณจะคิดมากหรือระแวง ผมแค่ต้องการมาหาลูกเฉย ๆ ไม่ทำอะไรให้ต้องลำบากใจหรอก"
"ฉันยังไม่ได้คิดแบบนั้นเลย และสามีของฉันก็ยังไม่ทันได้คิด มีแต่คุณหรือเปล่าที่คิดมากคิดไปเอง ตีโพยตีพายไปเอง คุณต่างหากมั้ยที่ต้องกลัวภรรยาของคุณเข้าใจผิดน่ะ" คุณแม่ค้อนคุณพ่อ ฉันเริ่มใจคอไม่ดี กลัวทั้งคู่จะทะเลาะกัน แต่ก็แอบขำให้กับทั้งสองคนอยู่ในที
"สามีของคุณไม่คิดมากก็ดี ผมจะได้สบายใจที่จะมาเยี่ยมลูกผมทุกวันจนกว่าจะหายดี ส่วนภรรยาของผมคุณไม่ต้องห่วงหรอก" คุณพ่อพูด จ้องหน้าคุณแม่ไม่ยอมละสายตา แต่ในแววตาคู่นั้นของคุณพ่อมันมีความอ่อนโยนและเศร้าปนอยู่ในนั้น "เอ่อ... ลืมไปเลย คุณบอกว่าเป็นห่วงผมที่เดินทางไปกลับทุกวัน ขอบคุณนะ" คราวนี้คุณก็พ่อยิ้ม แต่โดนคุณแม่โยนค้อนกลับมาให้
"ในฐานะมนุษย์ร่วมโลกคนหนึ่งแค่นั้น" คุณแม่พูด จากนั้นก็เลิกสนใจคุณพ่อ หันไปเช็ดตัวให้พี่ใหญ่จนเสร็จ ฉันแอบขำอยู่คนเดียว บางครั้งเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น มันก็ไม่ได้แย่เสมอไป ก็ทำให้สองคนมีความสุขในเศษเสี้ยวเล็ก ๆ แบบนี้ได้ อย่างคุณพ่อและคุณแม่ของฉันนั่นแหละ ที่ได้กลับมาเจอกันอีก
ฉันมองออกว่าทั้งคู่มีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ ซึ่งมันเป็นการกระทำและความรู้สึกที่ไม่ควรเท่าไหร่ อย่างน้อยก็น่าจะให้เกียรติคนปัจจุบันบ้าง แต่ฉันก็ไม่ได้แสดงออกว่าห้ามหรือกีดกันอะไร หลายปีที่ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันเลย วันนี้ได้หวนกลับมาเจอกันอีก ได้อยู่ใกล้ชิดกัน ฉันว่าพ่อแม่ของฉันลึก ๆ แล้วมีความสุข
ฉันคิดว่าทั้งสองคงอยากอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง ถึงฉันไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ฉันก็อยากเปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้พูดคุยกันเพียงลำพังบ้าง บางทีทั้งสองคนอาจมีเรื่องอยากคุยกันก็ได้
"คุณพ่อทานอะไรมาหรือยังคะ ตาลงไปซื้อมาให้ทานนะ" ฉันถาม
"พ่อทานมาแล้ว เราไม่ต้องลำบากลงไปหรอก พ่อหิวเดี๋ยวพ่อหาทานเอง หนูซื้อมาให้แม่ก็ได้ คุณแม่ทานไรยังล่ะ" คุณพ่อห้าม จากนั้นก็ลุกเดินไปหาพี่ใหญ่ที่เตียงคนไข้ ยืนข้าง ๆ คุณแม่ ดูแลความเรียบร้อยให้
"ฉันทานมาแล้ว ว่าแต่วันนี้คุณจะมาอยู่เป็นเพื่อนลูกทั้งวันใช่มั้ย งั้นฉันกลับดีกว่า กัญตาถ้าพี่รู้สึกตัวโทรหาแม่ทันทีนะ" คุณแม่สั่ง
"จะรีบกลับไปไหนล่ะ ในเมื่อวันนี้คุณก็ว่างไม่ใช่เหรอ" คุณพ่อห้าม แววตาของคุณพ่อดูเว้าวอนคุณแม่มาก ๆ "อยู่เป็นเพื่อนลูกด้วยกันสิ บางทีลูกอาจจะอยากให้เราอยู่เป็นเพื่อนด้วยกันก็ได้นะ" คุณพ่อพูด คุณแม่มองหน้าฉัน แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่เข้าใจความต้องการตัวเองเหมือนกัน ว่าต้องการแบบนี้หรือไม่ บางทีฉันอาจจะชอบก็ได้ เพราะไม่มีความรู้สึกอยากให้ใครคนใดคนหนึ่งกลับไปก่อนเลย
"ก็ได้! แค่วันนี้วันเดียวนะ ฉันจะไม่มีทางทำแบบนี้อีก" คุณแม่ว่า
"ทำไม... อยู่กับผมมันไม่มีความสุขขนาดนั้นเลยหรือไง ช่วยไม่ได้นะยังไงคุณก็ต้องเจอผม เพราะผมจะมาจนกว่าลูกจะหายดี" คุณพ่อประชดไม่เลิก แถมยังยิ้มบางกับคำประชดตัวเอง ราวกับต้องการจะยั่วโมโหคุณแม่ให้ได้
พ่อแง่

อนจริง ๆ อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ อีกทั้งสถานะก็ไม่ใช่จะมาพูดอะไรแบบนี้สักหน่อย ส่วนฉันนั่งฟังทั้งสองคนค่อนขอดกันเงียบ ๆ
"เปล่า! ฉันแค่ไม่อยากเป็นขี้ปากใครก็เท่านั้น โดยเฉพาะภรรยาของคุณเอง"
"กัญตาดูแม่ของลูกสิ ประชดพ่อเก่งไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่คบกันยังไม่ทันมีลูก จนตอนนี้ก็ยังประชดเก่งเหมือนเดิม"
"นี่! ฉันไม่ได้ประชด ฉันพูดความจริง อดีตยังไงมันก็คืออดีต มันจะกลับมาเป็นปัจจุบันไม่ได้หรอก" คุณแม่ต่อว่าคุณพ่อ ทันทีที่คุณแม่พูดจบ จากที่คุณพ่อยิ้มหุบยิ้มโดยทันที
"อืม... ผมทราบดี และรู้ตัวเสมอ" เหมือนคุณแม่สะอึกกับคำพูดของตนเอง คงนึกโกรธตัวเองที่พูดอะไรออกมาโดยไม่คิด ฉันคิดว่าคุณแม่ก็คงมีความสุขกับวันนี้ไม่แพ้กัน เพียงแค่ไม่แสดงออก ฉันเดาจากสายตาของคุณแม่เวลามองคุณพ่อนั่นเอง
ทันใดนั้นฉันเห็นพี่ใหญ่เคลื่อนไหวร่างกาย และลืมตาขึ้น ฉันดีใจมาก "คุณพ่อคุณแม่คะ พี่ใหญ่รู้สึกตัวแล้วค่ะ" ฉันบอกทุกคนพร้อมถลาเข้าไปหาพี่ชายที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ทั้งสองก็กรูเข้ามาเกาะขอบเตียงเหมือนกับฉันด้วยความตื่นเต้น
คุณพ่อกับคุณแม่หันไปยิ้มให้กัน คุณพ่อโอบไหล่คุณแม่ ดีใจที่พี่ใหญ่ฟื้นแล้ว ส่วนคุณแม่โอบเอวคุณพ่อเอาไว้ จากที่หลับไปเกือบสามวันเต็ม ๆ คุณแม่แทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ
"กัญตาเรียกหมอเร็วลูก" คุณแม่สั่งฉัน จากนั้นฉันก็เรียกหมอให้มาดูอาการของพี่ใหญ่ด้วยความดีใจเหมือนกัน สายตาก็มองไปที่พี่ชายและพ่อแม่ ทั้งคู่ยังคงโอบไหล่กันไม่ปล่อย เป็นภาพที่หาดูยากจริง ๆ พี่ใหญ่คงคิดแบบฉัน เพราะนอนมองทั้งคู่ตาแป๋ว พูดอะไรยังไม่ได้
คุณแม่เหมือนจะรู้ตัว มองหน้าคุณพ่อสลับกับมองมือของคุณพ่อที่ไหล่ของตน ส่วนมือตัวเองนั้น คุณแม่ปล่อยจากเอวของคุณพ่ออย่างไว ฉันยิ้มขำ ไม่กล้าทักท้วงหรือพูดใด ๆ ออกมา กลัวทั้งสองเขิน
"เอ่อ ผมขอโทษ มัวแต่ดีใจที่ลูกฟื้นน่ะ ไม่ได้ตั้งใจนะ" คุณพ่อกล่าวขอโทษ
"ฉันก็เหมือนกัน ไม่ได้ตั้งใจ" ทั้งคู่ยิ้มให้กัน นาทีนี้ไม่ห่วงอะไรทั้งนั้น พี่ใหญ่สำคัญที่สุดกับทั้งสองคน
ไม่นานคุณคุณหมอก็เข้ามาดูอาการของพี่ใหญ่ นับว่าการรักษาเป็นไปในแนวโน้มที่ดีขึ้น อีกไม่นานพี่ใหญ่ก็คงหายและกลับบ้านได้ คุณหมอถอดอุปกรณ์บางส่วนออกไปจากร่างกายของพี่ใหญ่ ทำให้รู้สึกโล่งไปมาก แต่พี่ใหญ่ยังคงขยับตัวไม่ได้มาก เพราะเจ็บอยู่
"หมดเคราะห์สักทีนะลูก แม่กับพ่อแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับตั้งหลายวันที่ลูกหลับไม่รู้สึกตัว" คุณแม่พูดกับลูกชายและกุมมือเอาไว้ ข้าง ๆ ก็มีคุณพ่ออยู่ด้วย พี่ใหญ่ไปมองหน้าคุณพ่อคุณแม่สลับกัน แล้วก็มองฉัน ฉันยิ้มแบบรู้ความนัยใจของพี่ชาย ถึงมันจะเกิดขึ้นบนความเป็นความตายของพี่ใหญ่ แต่ฉันว่าพี่ใหญ่คงคิดไม่ต่างกับฉัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากมีช่วงเวลาแบบนี้
"ทุกคนเป็นห่วงพี่ใหญ่มากนะ พี่เฟิร์นก็มาเฝ้าทั้งวันเมื่อวาน เดี๋ยวตาโทรบอกพี่เฟิร์นให้นะว่าพี่ใหญ่ฟื้นแล้ว พี่เฟิร์นต้องดีใจแน่ ๆ" ฉันบอกพี่ชาย พี่ใหญ่พยักหน้ารับรู้
คุณพ่อกับคุณแม่ของฉันอยู่เฝ้าไข้พี่ใหญ่จนเย็น บ่ายแก่คุณพ่อขอตัวกลับก่อนที่คุณลุงจะมารับคุณแม่ เพราะไม่อยากให้คุณลุงมาเจอแล้วเกิดความไม่สบายใจ พอคุณพ่อกลับไปได้เพียงครึ่งนาที คุณลุงก็มาถึง คุณลุงยิ้มเมื่อเห็นพี่ใหญ่รู้สึกตัวแล้ว เข้าไปพูดคุยด้วย จากนั้นทั้งสองก็ขอตัวกลับ เหลือเพียงฉันคนเดียวที่อยู่เฝ้าไข้พี่ชาย
จบบทที่ ๑๒
เท่าที่ใจจะรักได้ (12)
.
โดย : ชลัน
๑๒
__________________________
พี่ใหญ่อาการดีขึ้น แต่ยังไม่รู้สึกตัว หมอให้ย้ายมาอยู่ห้องพักฟื้นผู้ป่วย และฉันขออาสาอยู่เฝ้าไข้เอง ตลอดระยะเวลาสามวันที่ฉันลางานนั่นแหละ ช่วงเช้าคุณแม่กับคุณยายจะมาเยี่ยม ตอนบ่ายก็จะเป็นคุณย่าที่แวะเวียนมาเยี่ยม ส่วนคุณพ่อจะหาเวลามาเยี่ยมลูกชายให้ได้ ยอมขับรถไกล ๆ มาทุกวัน เข้าวันที่สองแล้วที่พี่ใหญ่ย้ายมาอยู่ห้องพักฟื้น แต่ยังไม่ฟื้นเลย
เช้าวันนี้คุณแม่มาเยี่ยมพี่ใหญ่คนเดียว ส่วนคุณลุงแวะมาส่งแล้วกลับไปทำงาน คุณยายอยู่บ้าน บอกว่าวันไหนที่พี่ใหญ่รู้สึกตัว คุณยายถึงจะมาอีก เพราะไม่ชอบอยู่โรงพยาบาล ไม่อยากมาบ่อย ๆ
ระหว่างที่เราสองแม่ลูกนั่งคุยกันเพลิน เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ฉันเดินไปส่องดูว่าใครมา เห็นเป็นคุณพ่อเอง ฉันหันไปมองคุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างเตียงของพี่ใหญ่ กำลังเช็ดตัวให้ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ฉันเปิดประตูให้คุณพ่อเข้ามา
"คุณพ่อสวัสดีค่ะ มาเช้าจัง" ฉันไหว้ทักทาย พอคุณแม่ได้ยินฉันพูดก็หันมามอง สายตาที่มองมายังคุณพ่อไม่ได้มีความยินดียินร้ายอะไร และก็ไม่ได้พูดผลักไสไล่ส่งให้กลับไปด้วย
"วันนี้พ่อว่าง กะว่าจะมาอยู่กับพี่เราทั้งวันน่ะ กะอยู่เป็นเพื่อนหนูด้วย วันเสาร์อาทิตย์น้องถึงจะมาเยี่ยมพี่ใหญ่นะ" คุณพ่อว่า แล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้นวม มองคุณแม่เช็ดตัวให้พี่ใหญ่
"ไม่จำเป็นต้องมาทุกวันก็ได้นะ ฉันดูแลลูกได้" คุณแม่พูดมือก็คอยเช็ดตัวให้พี่ใหญ่ไปด้วย ฉันนั่งเงียบฟังทั้งสองคุยกัน ฉันเองก็อยากรู้ว่าพ่อแม่อยู่ด้วยกันแบบนี้จะเป็นอย่างไร ฉันคงไม่ใช่ก้างขวางคอเพราะฉันก็เป็นลูกของท่านทั้งสอง
"ได้ไง! คุณห่วงลูกแบบไหน ผมก็ห่วงแบบนั้นล่ะ" คุณพ่อกล่าว ดูเหมือนจะไม่พอใจที่คุณแม่พยายามจะห้ามไม่ให้คุณพ่อมา
"อืม... ฉันห่วงคุณต่างหาก" คุณแม่หันหน้ามามองคุณพ่อที่นั่งอยู่โซฟากับฉัน "เดินทางไกล ๆ ไปกลับทุกวันแบบนี้มันไม่ค่อยดีนักหรอก ลูกก็อาการดีขึ้นทุกวัน ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน คนที่จะเสียใจคือลูกของคุณทุกคนนะ" คุณแม่ถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ "แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ใหญ่จะฟื้นสักที ให้ลูกฟื้นก่อนคุณค่อยมาอีกก็ได้ เดินทางทุกวันอันตราย"
คุณพ่อยิ้มที่มุมปาก จากที่หน้าบึ้งให้คุณแม่นิด ๆ กับคำพูดของคุณแม่เมื่อครู่ "ไม่เป็นไรผมเดินทางได้ ดูแลตัวเองได้น่า" คุณพ่อมองคุณแม่ด้วยแววตาที่ดูคล้ายว่ายังมีเยื่อใย "ลูกยังไม่รู้สึกตัวแบบนี้ผมก็ไม่วางใจหรอก คุณไม่ต้องห่วงหรอก ว่าสามีของคุณจะคิดมากหรือระแวง ผมแค่ต้องการมาหาลูกเฉย ๆ ไม่ทำอะไรให้ต้องลำบากใจหรอก"
"ฉันยังไม่ได้คิดแบบนั้นเลย และสามีของฉันก็ยังไม่ทันได้คิด มีแต่คุณหรือเปล่าที่คิดมากคิดไปเอง ตีโพยตีพายไปเอง คุณต่างหากมั้ยที่ต้องกลัวภรรยาของคุณเข้าใจผิดน่ะ" คุณแม่ค้อนคุณพ่อ ฉันเริ่มใจคอไม่ดี กลัวทั้งคู่จะทะเลาะกัน แต่ก็แอบขำให้กับทั้งสองคนอยู่ในที
"สามีของคุณไม่คิดมากก็ดี ผมจะได้สบายใจที่จะมาเยี่ยมลูกผมทุกวันจนกว่าจะหายดี ส่วนภรรยาของผมคุณไม่ต้องห่วงหรอก" คุณพ่อพูด จ้องหน้าคุณแม่ไม่ยอมละสายตา แต่ในแววตาคู่นั้นของคุณพ่อมันมีความอ่อนโยนและเศร้าปนอยู่ในนั้น "เอ่อ... ลืมไปเลย คุณบอกว่าเป็นห่วงผมที่เดินทางไปกลับทุกวัน ขอบคุณนะ" คราวนี้คุณก็พ่อยิ้ม แต่โดนคุณแม่โยนค้อนกลับมาให้
"ในฐานะมนุษย์ร่วมโลกคนหนึ่งแค่นั้น" คุณแม่พูด จากนั้นก็เลิกสนใจคุณพ่อ หันไปเช็ดตัวให้พี่ใหญ่จนเสร็จ ฉันแอบขำอยู่คนเดียว บางครั้งเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น มันก็ไม่ได้แย่เสมอไป ก็ทำให้สองคนมีความสุขในเศษเสี้ยวเล็ก ๆ แบบนี้ได้ อย่างคุณพ่อและคุณแม่ของฉันนั่นแหละ ที่ได้กลับมาเจอกันอีก
ฉันมองออกว่าทั้งคู่มีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ ซึ่งมันเป็นการกระทำและความรู้สึกที่ไม่ควรเท่าไหร่ อย่างน้อยก็น่าจะให้เกียรติคนปัจจุบันบ้าง แต่ฉันก็ไม่ได้แสดงออกว่าห้ามหรือกีดกันอะไร หลายปีที่ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันเลย วันนี้ได้หวนกลับมาเจอกันอีก ได้อยู่ใกล้ชิดกัน ฉันว่าพ่อแม่ของฉันลึก ๆ แล้วมีความสุข
ฉันคิดว่าทั้งสองคงอยากอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง ถึงฉันไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ฉันก็อยากเปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้พูดคุยกันเพียงลำพังบ้าง บางทีทั้งสองคนอาจมีเรื่องอยากคุยกันก็ได้
"คุณพ่อทานอะไรมาหรือยังคะ ตาลงไปซื้อมาให้ทานนะ" ฉันถาม
"พ่อทานมาแล้ว เราไม่ต้องลำบากลงไปหรอก พ่อหิวเดี๋ยวพ่อหาทานเอง หนูซื้อมาให้แม่ก็ได้ คุณแม่ทานไรยังล่ะ" คุณพ่อห้าม จากนั้นก็ลุกเดินไปหาพี่ใหญ่ที่เตียงคนไข้ ยืนข้าง ๆ คุณแม่ ดูแลความเรียบร้อยให้
"ฉันทานมาแล้ว ว่าแต่วันนี้คุณจะมาอยู่เป็นเพื่อนลูกทั้งวันใช่มั้ย งั้นฉันกลับดีกว่า กัญตาถ้าพี่รู้สึกตัวโทรหาแม่ทันทีนะ" คุณแม่สั่ง
"จะรีบกลับไปไหนล่ะ ในเมื่อวันนี้คุณก็ว่างไม่ใช่เหรอ" คุณพ่อห้าม แววตาของคุณพ่อดูเว้าวอนคุณแม่มาก ๆ "อยู่เป็นเพื่อนลูกด้วยกันสิ บางทีลูกอาจจะอยากให้เราอยู่เป็นเพื่อนด้วยกันก็ได้นะ" คุณพ่อพูด คุณแม่มองหน้าฉัน แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่เข้าใจความต้องการตัวเองเหมือนกัน ว่าต้องการแบบนี้หรือไม่ บางทีฉันอาจจะชอบก็ได้ เพราะไม่มีความรู้สึกอยากให้ใครคนใดคนหนึ่งกลับไปก่อนเลย
"ก็ได้! แค่วันนี้วันเดียวนะ ฉันจะไม่มีทางทำแบบนี้อีก" คุณแม่ว่า
"ทำไม... อยู่กับผมมันไม่มีความสุขขนาดนั้นเลยหรือไง ช่วยไม่ได้นะยังไงคุณก็ต้องเจอผม เพราะผมจะมาจนกว่าลูกจะหายดี" คุณพ่อประชดไม่เลิก แถมยังยิ้มบางกับคำประชดตัวเอง ราวกับต้องการจะยั่วโมโหคุณแม่ให้ได้
พ่อแง่
"เปล่า! ฉันแค่ไม่อยากเป็นขี้ปากใครก็เท่านั้น โดยเฉพาะภรรยาของคุณเอง"
"กัญตาดูแม่ของลูกสิ ประชดพ่อเก่งไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่คบกันยังไม่ทันมีลูก จนตอนนี้ก็ยังประชดเก่งเหมือนเดิม"
"นี่! ฉันไม่ได้ประชด ฉันพูดความจริง อดีตยังไงมันก็คืออดีต มันจะกลับมาเป็นปัจจุบันไม่ได้หรอก" คุณแม่ต่อว่าคุณพ่อ ทันทีที่คุณแม่พูดจบ จากที่คุณพ่อยิ้มหุบยิ้มโดยทันที
"อืม... ผมทราบดี และรู้ตัวเสมอ" เหมือนคุณแม่สะอึกกับคำพูดของตนเอง คงนึกโกรธตัวเองที่พูดอะไรออกมาโดยไม่คิด ฉันคิดว่าคุณแม่ก็คงมีความสุขกับวันนี้ไม่แพ้กัน เพียงแค่ไม่แสดงออก ฉันเดาจากสายตาของคุณแม่เวลามองคุณพ่อนั่นเอง
ทันใดนั้นฉันเห็นพี่ใหญ่เคลื่อนไหวร่างกาย และลืมตาขึ้น ฉันดีใจมาก "คุณพ่อคุณแม่คะ พี่ใหญ่รู้สึกตัวแล้วค่ะ" ฉันบอกทุกคนพร้อมถลาเข้าไปหาพี่ชายที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ทั้งสองก็กรูเข้ามาเกาะขอบเตียงเหมือนกับฉันด้วยความตื่นเต้น
คุณพ่อกับคุณแม่หันไปยิ้มให้กัน คุณพ่อโอบไหล่คุณแม่ ดีใจที่พี่ใหญ่ฟื้นแล้ว ส่วนคุณแม่โอบเอวคุณพ่อเอาไว้ จากที่หลับไปเกือบสามวันเต็ม ๆ คุณแม่แทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ
"กัญตาเรียกหมอเร็วลูก" คุณแม่สั่งฉัน จากนั้นฉันก็เรียกหมอให้มาดูอาการของพี่ใหญ่ด้วยความดีใจเหมือนกัน สายตาก็มองไปที่พี่ชายและพ่อแม่ ทั้งคู่ยังคงโอบไหล่กันไม่ปล่อย เป็นภาพที่หาดูยากจริง ๆ พี่ใหญ่คงคิดแบบฉัน เพราะนอนมองทั้งคู่ตาแป๋ว พูดอะไรยังไม่ได้
คุณแม่เหมือนจะรู้ตัว มองหน้าคุณพ่อสลับกับมองมือของคุณพ่อที่ไหล่ของตน ส่วนมือตัวเองนั้น คุณแม่ปล่อยจากเอวของคุณพ่ออย่างไว ฉันยิ้มขำ ไม่กล้าทักท้วงหรือพูดใด ๆ ออกมา กลัวทั้งสองเขิน
"เอ่อ ผมขอโทษ มัวแต่ดีใจที่ลูกฟื้นน่ะ ไม่ได้ตั้งใจนะ" คุณพ่อกล่าวขอโทษ
"ฉันก็เหมือนกัน ไม่ได้ตั้งใจ" ทั้งคู่ยิ้มให้กัน นาทีนี้ไม่ห่วงอะไรทั้งนั้น พี่ใหญ่สำคัญที่สุดกับทั้งสองคน
ไม่นานคุณคุณหมอก็เข้ามาดูอาการของพี่ใหญ่ นับว่าการรักษาเป็นไปในแนวโน้มที่ดีขึ้น อีกไม่นานพี่ใหญ่ก็คงหายและกลับบ้านได้ คุณหมอถอดอุปกรณ์บางส่วนออกไปจากร่างกายของพี่ใหญ่ ทำให้รู้สึกโล่งไปมาก แต่พี่ใหญ่ยังคงขยับตัวไม่ได้มาก เพราะเจ็บอยู่
"หมดเคราะห์สักทีนะลูก แม่กับพ่อแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับตั้งหลายวันที่ลูกหลับไม่รู้สึกตัว" คุณแม่พูดกับลูกชายและกุมมือเอาไว้ ข้าง ๆ ก็มีคุณพ่ออยู่ด้วย พี่ใหญ่ไปมองหน้าคุณพ่อคุณแม่สลับกัน แล้วก็มองฉัน ฉันยิ้มแบบรู้ความนัยใจของพี่ชาย ถึงมันจะเกิดขึ้นบนความเป็นความตายของพี่ใหญ่ แต่ฉันว่าพี่ใหญ่คงคิดไม่ต่างกับฉัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากมีช่วงเวลาแบบนี้
"ทุกคนเป็นห่วงพี่ใหญ่มากนะ พี่เฟิร์นก็มาเฝ้าทั้งวันเมื่อวาน เดี๋ยวตาโทรบอกพี่เฟิร์นให้นะว่าพี่ใหญ่ฟื้นแล้ว พี่เฟิร์นต้องดีใจแน่ ๆ" ฉันบอกพี่ชาย พี่ใหญ่พยักหน้ารับรู้
คุณพ่อกับคุณแม่ของฉันอยู่เฝ้าไข้พี่ใหญ่จนเย็น บ่ายแก่คุณพ่อขอตัวกลับก่อนที่คุณลุงจะมารับคุณแม่ เพราะไม่อยากให้คุณลุงมาเจอแล้วเกิดความไม่สบายใจ พอคุณพ่อกลับไปได้เพียงครึ่งนาที คุณลุงก็มาถึง คุณลุงยิ้มเมื่อเห็นพี่ใหญ่รู้สึกตัวแล้ว เข้าไปพูดคุยด้วย จากนั้นทั้งสองก็ขอตัวกลับ เหลือเพียงฉันคนเดียวที่อยู่เฝ้าไข้พี่ชาย
จบบทที่ ๑๒