เรือไฟฟ้าคลองผดุงฯ มีคนใช้บริการหลายหมื่นคนต่อเดือน
เฉลี่ยวันละ 1,000 กว่าคน ตั้งแต่เปิดให้บริการ 27 พ.ย.-5 ธ.ค.ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานคร ระบุ โครงการพัฒนาระบบการเดินเรือในคลองผดุงกรุงเกษม เปิดเผยถึงตัวเลขผู้โดยสารเรือไฟฟ้าคลองผดุงกรุงเกษมแค่ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังเปิดให้บริการ (27 พ.ย.- 5 ธ.ค.63) พบว่ามีผู้โดยสารใช้บริการกว่า 9,493 คน เฉลี่ยวันละ 1,054 คน
https://siamrath.co.th/n/202567
การให้บริการให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารแต่ละรอบได้ ใช้เวลาเดินทางตลอดสายเพียง 20 นาที เริ่มตั้งแต่ตลาดเทวราช ถึง สถานีรถไฟหัวลำโพง จอดรับส่ง 11 ท่า ดังนี้
ท่าตลาดเทวราช เชื่อมต่อเรือด่วนเจ้าพระยา เดินทางไปนนทบุรีหรือสาทร
ท่าเทเวศร์
ท่าประชาธิปไตย
ท่าราชดำเนินนอก
ท่านครสวรรค์
ท่าแยกหลานหลวง
ท่ากระทรวงพลังงาน เชื่อมต่อ เรือคลองแสนแสบเดินทางไปรามคำแหง
ท่ายศเส
ท่านพวงศ์
ท่าหัวลำโพง เชื่อมต่อการเดินทางโดยรถไฟที่สถานีหัวลำโพง
ท่าสถานีรถไฟฟ้าหัวลำโพง เชื่อมต่อการเดินทางโดยรถไฟที่ฟ้า MRT ที่สถานีหัวลำโพง
ซึ่งทุกท่าเรือเชื่อมต่อรถโดยสารประจำทาง ทำให้การเดินทางสะดวกมาก

ประชาชนโอดเรือโดยสารไฟฟ้าคลองผดุงกรุงเกษม จอดนิ่งมา 3 เดือน
ผู้ว่าฯกทม. จะไม่ทำต่อ“ชัชชาติ” ไม่ทำต่อ
“การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมด้วยการการบริหารงานสาธารณะ”
การบริหารงานสาธารณะไม่ใช่การบริหารธุรกิจ ซึ่งผู้ว่าอัศวินและรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เริ่มต้นไว้ด้วยต้นทุนร้อยกว่าล้านบาท ด้วยเหตุผล ไม่มีกำไรแถมขาดทุน
ด้วยเหตุผลดังกล่าว คุณหนุ่มจึงถามถึง การเดินรถไฟหรือรถเมล์ ซึ่งขาดทุนมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ควรจะเลิกกิจการด้วยหรือไม่ ???
เพราะเป็นกิจการที่ขาดทุนมาตั้งแต่ชาติก่อนจนถึงปัจจุบันนี้
ผมขอเสริมว่า เมื่อ BTS เริ่มเปิดให้บริการ ก็มีคนมาใช้บริการน้อยและขาดทุนอยู่นานหลายปี แต่ BTS ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน ก็ยังเข้าใจว่า นี่คืองานบริการสาธารณะที่ได้รับสัมปทานมาจาก กทม. ทำให้ BTS ไม่คิดเลิกกิจการ แต่ดำเนินการต่อมาจนประสบผลสำเร็จอย่างดงามและสร้างความพอใจในบริการให้กับประชาชนมาจนในปัจจุบัน
แต่เรือไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของ กทม.เพิ่งเปิดดำเนินการมาได้ไม่เท่าไหร่ พอเปลี่ยนผู้ว่าฯ ก็ถูกยกเลิก ด้วยเหตุผลว่า มีผู้ใช้บริการน้อย ไม่คุ้มทุน !
คนที่เรียนบริหารธุรกิจและทำงานในภาคเอกชน เขาจะคำถึงถึงผลประกอบการด้วยกำไรขาดทุน แต่คนที่เรียนรัฐประศาสนศาสตร์ หรือบริหารรัฐกิจและทำงานบริหารราชการแผ่นดิน ต้องคำนึงถึงงานบริการสาธารณะ ไม่ใช่เรื่องกำไรขาดทุน
ที่มา.
https://mgronline.com/politics/detail/9660000001014
ผู้โดยสารเรือไฟฟ้าคลองผดุงกรุงเกษมเฉลี่ยวันละ 1,054 คน ตัดสินใจสมัยหน้าไม่เลือกผู้ว่าชัชชาติอีกต่อไป
เฉลี่ยวันละ 1,000 กว่าคน ตั้งแต่เปิดให้บริการ 27 พ.ย.-5 ธ.ค.ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานคร ระบุ โครงการพัฒนาระบบการเดินเรือในคลองผดุงกรุงเกษม เปิดเผยถึงตัวเลขผู้โดยสารเรือไฟฟ้าคลองผดุงกรุงเกษมแค่ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังเปิดให้บริการ (27 พ.ย.- 5 ธ.ค.63) พบว่ามีผู้โดยสารใช้บริการกว่า 9,493 คน เฉลี่ยวันละ 1,054 คน https://siamrath.co.th/n/202567
การให้บริการให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารแต่ละรอบได้ ใช้เวลาเดินทางตลอดสายเพียง 20 นาที เริ่มตั้งแต่ตลาดเทวราช ถึง สถานีรถไฟหัวลำโพง จอดรับส่ง 11 ท่า ดังนี้
ท่าตลาดเทวราช เชื่อมต่อเรือด่วนเจ้าพระยา เดินทางไปนนทบุรีหรือสาทร
ท่าเทเวศร์
ท่าประชาธิปไตย
ท่าราชดำเนินนอก
ท่านครสวรรค์
ท่าแยกหลานหลวง
ท่ากระทรวงพลังงาน เชื่อมต่อ เรือคลองแสนแสบเดินทางไปรามคำแหง
ท่ายศเส
ท่านพวงศ์
ท่าหัวลำโพง เชื่อมต่อการเดินทางโดยรถไฟที่สถานีหัวลำโพง
ท่าสถานีรถไฟฟ้าหัวลำโพง เชื่อมต่อการเดินทางโดยรถไฟที่ฟ้า MRT ที่สถานีหัวลำโพง
ซึ่งทุกท่าเรือเชื่อมต่อรถโดยสารประจำทาง ทำให้การเดินทางสะดวกมาก
ประชาชนโอดเรือโดยสารไฟฟ้าคลองผดุงกรุงเกษม จอดนิ่งมา 3 เดือน
ผู้ว่าฯกทม. จะไม่ทำต่อ“ชัชชาติ” ไม่ทำต่อ
“การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมด้วยการการบริหารงานสาธารณะ”
การบริหารงานสาธารณะไม่ใช่การบริหารธุรกิจ ซึ่งผู้ว่าอัศวินและรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เริ่มต้นไว้ด้วยต้นทุนร้อยกว่าล้านบาท ด้วยเหตุผล ไม่มีกำไรแถมขาดทุน
ด้วยเหตุผลดังกล่าว คุณหนุ่มจึงถามถึง การเดินรถไฟหรือรถเมล์ ซึ่งขาดทุนมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ควรจะเลิกกิจการด้วยหรือไม่ ???
เพราะเป็นกิจการที่ขาดทุนมาตั้งแต่ชาติก่อนจนถึงปัจจุบันนี้
ผมขอเสริมว่า เมื่อ BTS เริ่มเปิดให้บริการ ก็มีคนมาใช้บริการน้อยและขาดทุนอยู่นานหลายปี แต่ BTS ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน ก็ยังเข้าใจว่า นี่คืองานบริการสาธารณะที่ได้รับสัมปทานมาจาก กทม. ทำให้ BTS ไม่คิดเลิกกิจการ แต่ดำเนินการต่อมาจนประสบผลสำเร็จอย่างดงามและสร้างความพอใจในบริการให้กับประชาชนมาจนในปัจจุบัน
แต่เรือไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของ กทม.เพิ่งเปิดดำเนินการมาได้ไม่เท่าไหร่ พอเปลี่ยนผู้ว่าฯ ก็ถูกยกเลิก ด้วยเหตุผลว่า มีผู้ใช้บริการน้อย ไม่คุ้มทุน !
คนที่เรียนบริหารธุรกิจและทำงานในภาคเอกชน เขาจะคำถึงถึงผลประกอบการด้วยกำไรขาดทุน แต่คนที่เรียนรัฐประศาสนศาสตร์ หรือบริหารรัฐกิจและทำงานบริหารราชการแผ่นดิน ต้องคำนึงถึงงานบริการสาธารณะ ไม่ใช่เรื่องกำไรขาดทุน
ที่มา. https://mgronline.com/politics/detail/9660000001014