JJNY : "หมอธีระ"ระบุอย่าประมาทโควิด│"พท."เตือนศก.ปี66 ผันผวน│‘กกต.’ พร้อมจัดเลือกตั้งทุกสถานการณ์│รัสเซียรับจรวดทำดับ63

"หมอธีระ" ระบุอย่าประมาทโควิด-19 ในจีน แนะป้องกัน-รับมืออย่างถูกวิธี
https://siamrath.co.th/n/412120
 
 
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "Thira Woratanarat" ระบุว่า 
 
3 มกราคม 2566
 
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 191,791 คน ตายเพิ่ม 879 คน รวมแล้วติดไป 665,458,331 คน เสียชีวิตรวม 6,698,979 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง ไต้หวัน และบราซิล
 
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 7 ใน 10 อันดับแรก และ 14 ใน 20 อันดับแรกของโลก
 
จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 83.37 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 85.43
 
...ลักษณะสายพันธุ์ที่ระบาดในจีน
ข้อมูลจาก GISAID จนถึงเมื่อวานนี้ 2 มกราคม 2565 
มีการส่งผลสุ่มตรวจสายพันธุ์มา 724 ตัวอย่าง พบว่ามีสายพันธุ์ย่อยที่หลากหลาย แม้หนึ่งในสามจะเป็นสายพันธุ์ย่อย BA.5.2 และ BF.7 
แต่ที่น่าสังเกตและต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ การมีสายพันธุ์ย่อยอื่นที่ทั่วโลกกังวลด้วย ทั้ง BQ.1.x, CH.1.1, XBB.x รวมถึง XBB.1.5

...เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับ XBB.1.5
ข้อมูลจาก Bloom lab จาก Fred Hutchinson Cancer Research Center ประเทศสหรัฐอเมริกา ชี้ให้เห็นว่า จากการประเมินการระบาดของ XBB.1.5 ในอเมริกา ค่าสมรรถนะการแพร่ (Rt) ของสายพันธุ์ย่อยนี้สูงกว่าทุกสายพันธุ์ที่มีอยู่ แม้แต่ BQ.1.1 ที่ระบาดหนักในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม 
 
แม้จะเป็นลูกหลานของ XBB และ XBB.1 ก็ตาม แต่ XBB.1.5 นั้นนอกจากมีคุณสมบัติเหมือนพ่อแม่คือ ดื้อต่อภูมิคุ้มกันอย่างมากแล้ว ยังพัฒนาตัวเองให้แพร่ได้มากกว่าเดิมเพราะมีการกลายพันธุ์บางตำแหน่งที่ทำให้สามารถจับกับตัวรับ ACE2 ที่ผิวเซลล์เป้าหมายได้แน่นกว่าเดิม จึงน่าจะทำให้ติดง่ายขึ้น ดังที่พิสูจน์ให้เห็นจากงานวิจัยของ Cao YL จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อสัปดาห์ก่อน
 
ถามว่า XBB.1.5 นี้จะทำให้ป่วยรุนแรงมากขึ้น ตายมากขึ้น หรือไม่นั้น คงต้องรอติดตามดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในประเทศที่มีการระบาดมากมาก่อน แต่ที่แน่ๆ คือ ไม่ควรประมาท และวางแผนเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเข้าจากต่างประเทศของนักท่องเที่ยวจากประเทศเสี่ยง

...สถานการณ์ของไทย ยังมีการระบาดต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีกิจกรรมพบปะสังสรรค์ บันเทิงในช่วงหยุดยาวที่ผ่านมา
รวมถึงงานบุญ งานศพ และอื่นๆที่มีคนจำนวนมาก แออัด ระบายอากาศไม่ดี
 
ขอให้สังเกตอาการผิดปกติ ตรวจ ATK และหากติดเชื้อ ก็ควรแยกตัวอย่างน้อย 7-10 วันจนกว่าจะดีขึ้น ไม่มีไข้ และตรวจซ้ำได้ผลลบ
หากไม่สบาย ไอ เจ็บคอ จาม ไข้ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ แต่ตรวจได้ผลลบ อย่าเพิ่งวางใจ เพราะอาจเป็นผลลบปลอม ควรตรวจซ้ำทุกวันอย่างน้อยติดกัน 3 วัน และป้องกันการแพร่ให้แก่คนใกล้ชิด
 
การป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อ หรือไม่ติดซ้ำ ย่อมดีที่สุด
 
ติดแต่ละครั้งไม่จบแค่ชิลๆ แล้วหาย แต่ป่วยได้ ตายได้ และเสี่ยงต่อการเปิดกล่อง Pandora แล้วเจอ Long COVID ระยะยาว
การใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ ระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก
 
https://www.facebook.com/thiraw/posts/pfbid0hYv98jjMjFHYjiuAM7bQ19DGTC3MhNAZxuZjwjz33dYxWacJde1gg8XZhgxLK8wcl
 


"พท." เตือนศก.ปี 66 ผันผวน ถ้าไม่เปลี่ยนผู้นำอาจทรุดหนัก จับตา 5 ปัจจัยเสี่ยง
https://siamrath.co.th/n/412107
 
"เพื่อไทย" เตือน เศรษฐกิจไทยปี 66 ผันผวน ถ้าไม่เปลี่ยนผู้นำอาจทรุดหนัก จับตา 5 ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ แนะ ประชาชนเลือกทางออกสำหรับประเทศ 
 
วันที่ 3 ธ.ค.2566 น.ส.จุฑาพร เกตุราทร โฆษกคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย และ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตบางรัก สาทร ปทุมวัน กล่าวว่าการส่งออกของไทยในเดือนพ.ย.หดตัวติดลบที่ - 6% ซึ่งเป็นการติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง หลังจากการส่งออกเดือนตุลาคมหดตัวและติดลบไป -4.4% ซึ่งคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนไว้ก่อนแล้วว่าเป็นสัญญาณเศรษฐกิจที่ไม่ดี และแนวโน้มจะทำให้การส่งออกของไทยในปีนี้น่าจะไม่สดใส ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ จะทำให้เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่ขยายตัวได้มากเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยังเป็นผู้บริหารประเทศชุดเดิม เศรษฐกิจก็จะยิ่งทรุดลงได้ ทั้งนี้ อยากให้รัฐบาลยอมรับความจริงว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นจากที่ตกลงมาในปี 2563 ที่ -6.2% เลย เพราะปี 2564 ขยายได้ 1.5% และปีที่แล้ว 2565 น่าจะขยายได้เพียง 3 % กว่าเท่านั้น ซึ่งรวมกันแล้วยังไม่เท่าที่ตกลงมา ดังนั้นการที่จะอ้างว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็วจนธนาคารโลกชม น่าจะไม่เป็นความจริงและเข้าใจผิด เพราะเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในแดนลบมา 3 ปีติดต่อกันแล้ว ประชาชนถึงได้ลำบากกันอย่างมาก

น.ส.จุฑาพร กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ลงอีกได้ โดยอยากจะขอเตือน 5 ปัจจัยเสี่ยงดังนี้ 

1. ปัญหาหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงจากการก่อหนี้ของรัฐบาลแล้วใช้แบบสะเปะสะปะ และหนี้ครัวเรือนที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากรายได้ที่ลดลงของประชาชน อีกทั้งหนี้ธุรกิจที่สืบเนื่องมาจากวิกฤตไวรัสโควิด ส่งผลกระทบให้มีหนี้เสียในระบบธนาคาร และหนี้นอกระบบมากขึ้น ซึ่งจะเป็นเหมือนระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจ หากรัฐบาลไม่สามารถจัดการกับเรื่องหนี้เหล่านี้ได้  

2. ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่จะเข้าสู่ถาวะถดถอย จากการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐเพื่อหยุดเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลกระทบไปทั้งโลก ทั้งเศรษฐกิจของ สหรัฐ ยุโรป จีน และ ญี่ปุ่น  ก็จะไม่ดี ซึ่งจะทำให้การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนของไทยลดลงได้  

3. ปัญหาอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก จากการที่สหรัฐขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อหยุดเงินเฟ้อตามที่กล่าวแล้ว โดยคาดกันว่าภายในปีนี้ดอกเบี้ยสหรัฐอาจจะพุ่งทะลุ 5% ได้ ซึ่งจะส่งผลให้ไทยอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม และจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนอย่างมาก สำหรับหนี้ต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนซึ่งอาจทำให้ค่าบาทแข็งค่าขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกให้ลดลงได้ 

4. ปัญหาเงินเฟ้อ ราคาสินค้าแพง ยังเป็นปัจจัยที่น่ากังวล และต้องจับตาให้ดี เพราะจะมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และค่าครองชีพของประชาชน 

5. ปัญหาราคาพลังงาน ทั้งราคาน้ำมัน ไฟฟ้า และก๊าซ ที่ยังผันผวนสูง โดยคาดกันว่าราคาน้ำมันอาจจะกลับมาขึ้นสูงอีกครั้งได้ จากการที่ประเทศจีนเริ่มเปิดประเทศ ราคาไฟฟ้าที่ยังจะขึ้นอีก รวมถึงปัญหา หากศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินว่าการผลิตไฟฟ้าที่รัฐบาลให้ใบอนุญาตกับเอกชนจนล้นเกิน   จนการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.  ต่ำกว่า 51% จะผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากผิดกฎหมายคงต้องมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

"นี่เป็น 5 ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ซึ่งหากรัฐบาลไม่เตรียมรับมือหรือยังไม่ทราบ ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ได้ แม้ว่าการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในปีนี้จะดีขึ้นจากการเปิดประเทศของจีน แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่น่าห่วง ซึ่งหากยังเป็นผู้บริหารประเทศชุดเดิม ผลการทำงานก็จะเป็นแบบเดิมๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดังนั้นในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ อยากขอให้พี่น้องประชาชนได้พิจารณาเลือกทางออกที่ดีที่สุดของประเทศ เลือกพรรคการเมืองที่บริหารเศรษฐกิจได้จริงและเคยทำจนประสบความสำเร็จมาแล้ว ให้มาบริหารประเทศโดยเร็ว ประชาชนจะได้หลุดพ้นจากความลำบากได้" น.ส.จุฑาพร กล่าว
 

  
‘กกต.’ พร้อมจัดเลือกตั้งทุกสถานการณ์ ทั้ง ‘ยุบสภา-สภาครบเทอม’
https://www.matichon.co.th/politics/news_3754242

‘กกต.’ พร้อมจัดเลือกตั้งทุกสถานการณ์ ทั้ง ‘ยุบสภา-สภาครบเทอม’
 
เมื่อวันที่ 3 มกราคม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมแผนพร้อมจัดการเลือกตั้งในทุกสถานการณ์ ทั้งกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชิงยุบสภา และกรณีที่สภาอยู่ครบเทอม
  
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 มกราคม นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. โพสต์ข้อความในกลุ่มไลน์ผู้บริหารของสำนักงาน กกต.ว่า จากนี้คงเป็นการนับถอยหลังไปว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) 2 ฉบับจะมีผลใช้บังคับเมื่อใด จะยุบสภาหรือไม่ ถ้ายุบจะยุบช่วงไหน หรือสภาจะอยู่จนครบวาระ พวกเราจะมีเวลาเตรียมการและทำงานน้อยลงทุกวัน ต้องพร้อมทุกรูปแบบ เรามีเป้าหมายในการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไปครั้งต่อไปคือทำให้การเลือกตั้งเป็นทางออกของประเทศให้ได้ การเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับทั้งกระบวนการและผลเลือกตั้ง สร้างความเชื่อมั่นและเกียรติภูมิแก่ กกต.และสำนักงาน
นายแสวงระบุว่า องค์ประกอบที่จะทำให้พวกเราบรรลุตามเป้าหมาย ต้องมีเครื่องยนต์อย่างน้อย 4 เครื่อง คือ 
1. คนดี 
2. การบริหารจัดการดี 
3. เทคโนโลยีดี 
และ 4. สื่อสารดี 
โดยมีความเชื่อมั่นในพวกเราตามข้อ 1 มากที่สุด แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้เดินครบทั้ง 4 เครื่องยนต์ ขาดเทคโนโลยี ไม่มีแอพพลิเคชั่นที่ใช้อำนวยความสะดวกในการรับสมัครให้แก่พรรคการเมือง ผู้สมัคร เขต สำนักงาน หน่วยงานสนับสนุน เหมือนการเลือกตั้งที่ผ่านมา

รวมทั้งไม่มีแอพพลิเคชั่นในการรายงานผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการเหมือนการเลือกตั้งที่ผ่านมา เรื่องที่เกิดขึ้นในฐานะหัวหน้าหน่วยงาน ผมขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว แต่แม้จะมีข้อจำกัด ผมก็เชื่อมั่นในพวกเราว่าจะทำการเลือกตั้งบรรลุตามเป้าหมายทั้ง 3 ข้อได้ แต่อาจต้องเก่งขึ้นอีกนิด มันจึงเป็นแค่ความท้าทาย ไม่ใช่ปัญหาหรืออุปสรรคที่จะหยุดเรา” นายแสวงระบุ

เลขาธิการ กกต.ระบุอีกว่า เครื่องมือและตัวชี้วัดที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย ประชาชนก็อยากเห็น กกต.ก็อยากเห็น และพวกเราชาว กกต.ก็อยากเห็นเป้าหมายเกิดผลสัมฤทธิ์ โดยในการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งต่อไป มีตัวชี้วัดและให้คุณค่าตัวชี้วัดในแต่ละเครื่องมือ ดังนี้ 

1. ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดเพิ่มขึ้น 5% จากของเดิมในแต่ละจังหวัดตัวเอง 
2. บัตรเขย่ง คะแนนเขย่ง เป็นศูนย์ ทำได้มาแล้วจากการเลือกตั้งท้องถิ่นเกือบทั้งหมด อาทิ กทม.ที่ใหญ่มาก แต่ถ้ามีเหตุเกิดขึ้นก็อธิบายชี้แจงได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ครบถ้วน เพื่อมิให้ผู้ไม่หวังดีนำไปขยายผลเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
 
นายแสวงระบุว่า 
3. บัตรเสียมีสัดส่วนที่น้อยลงจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เทียบกับจังหวัดตนเอง 
4. มีสำนวนการเรื่องร้องเรียน กปน.น้อยลง เทียบกับการเลือกตั้งครั้งที่แล้วในจังหวัดตนเอง 
5. รายงานผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว 
6. นำแบบ ส.ส. 5/18 เข้าในระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้พรรคการเมือง ผู้สมัคร และประชาชนได้ตรวจสอบภายในกำหนดเวลา 
และ 7. มีศูนย์ข่าวในแต่ละจังหวัด เท่าที่ทราบมีอยู่แล้ว ที่มีประสิทธิภาพ ถูกต้อง รวดเร็ว เพื่อใช้ประโยชน์ในการควบคุม บริหารสถานการณ์การเลือกตั้ง ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งไปจนถึงวันเลือกตั้ง วันประกาศผล เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่