สวัสดีครับพี่น้องชาวพันทิพ
ผมมีเรื่องรบกวนทุกท่านหน่อยครับคือผมไม่สามารถ Move on กับเรื่องนี้มา 3 ปีแล้ว เลยอยากฟังคำแนะนำของพี่น้องชาวพันทิพครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า
ในชีวิตของผมๆ มีแฟนมาทั้งหมด 3 คน ครับ
คนแรกคบกันตั้งแต่มัธยม คนนี้คบจนจบมหาลัยเลย แต่เหมือนคู่รักวัยรุ่นหลายๆ คู่ที่ทะเลาะกัน เลิกกัน ดีกัน เพื่อนเป็นหมาหลายรอบเหมือนกัน สุดท้ายมาเลิกกันขาดๆ ตอนผมไปเรียนต่อที่ต่างประเทศครับ แฟนเค้าเปิดตัวคบคนใหม่ในใจผมตอนนี้ก็รู้สึกเสียใจ แต่ไม่ได้ถึงกับเศร้ากินเหล้าหัวปักอะไรแบบนั้นนะครับใช้เวลาไม่นานก็ Move on ได้ครับ
แฟนคนที่ 2 เป็นนักเรียนทุนรัฐบาลที่ได้ทุนไปเรียนโท-เอกที่มหาลัยเดียวกับผม คือมีรุ่นพี่มาบอกว่าน้องแอบปลื้มผม ผมมาคิดดูแล้วน้องก็หน้าตาโอเค หน้าที่การงานในอนาคตก็โอเคเพราะหากน้องเรียนจบก็จะไปเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยแห่งนึงครับ ผมก็เลยสานความสัมพันธ์ด้วย แต่น่าเสียดายตอนนั้นผมใกล้เรียนจบแล้ว เราคบกันจริงๆ ไม่ถึง 6 เดือนก่อนที่ผมกลับไทยครับ
เมื่อผมกลับไทยผมต้องทำงานช่วยธุรกิจของครอบครัวซึ่งเป็นแบบกงสีครับ แต่ในใจผมอยากเปิดบริษัทรับออกแบบบ้านของตัวเองเพราะเรียนจบด้านนี้มา ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ห้าม ท่านขอแค่ให้ช่วยงานของครอบครัวด้วยเท่านั้นครับ
เอาเข้าจริงผมทำงานให้ครอบครัวจนไม่มีเวลาจะมาคิดเรื่องเปิดบริษัทของตัวเองเลย ผมกลัวว่าหากเป็นอย่างงี้ต่อไปเรื่อยๆ ความฝันที่จะมีบริษัทออกแบบบ้านของผมคงจะเป็นแค่ความฝัน ผมเลยไปปรึกษารุ่นพี่ที่ผมเคารพ แกเป็นอาจารย์สอนอยู่มหาลัยแห่งนึง แกเลยแนะนำลูกศิษย์ที่เพิ่งเรียนจบมาให้ ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่เพราะน้องเค้าเป็นผู้หญิง คือบอกก่อนนะครับผมไม่ได้เหยียดเพศนะครับ แต่ใจจริงผมอยากได้ผู้ชายมากกว่าเพราะว่าเวลาพาออกนอกพื้นที่มันสบายใจกว่าแค่นั้นครับ เพราะอาชีพแบบพวกเราต้องออกนอกพื้นที่บ่อยๆ หากผู้ชาย 2 คนมันนอนห้องเดียวกันได้แบบนี้น่ะครับ ผมก็เลยบอกรุ่นพี่ว่ายังไงก็ให้น้องลองติดต่อมาดูครับ หากโอเคค่อยตกลงกันอีกที
หลังจากนั้นเป็นอาทิตย์ก็ยังไม่มีใครติดต่อมาหาผม ผมก็แอบใจชื้นแหล่ะ หากน้องไม่ติดต่อมาจะได้บอกรุ่นพี่ได้ว่าน้องไม่ติดต่อมานะอะไรแบบนี้ จะได้ไม่เสียน้ำใจที่รุ่นพี่อุตส่าห์แนะนำให้มาทำงานด้วย
วันนึงผมต้องไปประชุมกับลูกค้าให้คุณพ่อ ผมใส่สูทแบบจัดเต็ม แบรนด์เนมทั้งตัว ขากลับรถเกิดเฉี่ยวชนกัน ผมเลยกระโดดขึ้นรถไฟฟ้า ตั้งใจเดินทางไปที่สำนักงานเก่าของพ่อที่ผมขอว่าจะตั้งสำนักงานของบริษัทของผม ระหว่างในขณะที่ผมกำลังดู Logo บริษัทที่ผมออกแบบอยู่ ก็มีผู้หญิงคนนึงพูดกึ่งกระซิบว่า
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณทำงานอยู่บริษัทXXX เหรอคะ?”
ผมหันไปดูหน้าน้องคนนั้นอย่างเอ๋อๆ เพราะชื่อบริษัทผมน่าจะไม่ค่อยมีคนรู้ เพราะเอาจริงๆ ชื่อบริษัทมันยังไม่ finalize แต่ผมก็ตอบเธอไปว่าใช่ครับ แล้วผมก็เลยถามน้องต่อว่ารู้จักชื่อบริษัทได้ยังไง น้องเลยตอบว่าอาจารย์แนะนำให้มาสมัครงาน ทีนี้ผมมองน้องตั้งแต่หัวจนเท้าเลยครับพอได้ยินคำว่าสมัครงาน คืออยากให้ทุกคนเห็นชุดที่น้องใส่คือ เสื้อยืดสีดำ ใส่เสื้อคลุมสีเขียวขี้ม้าแบบมีฮู๊ด สวมกางเกงยีนส์ Skinny สีดำ ขาดตรงเข่านิดๆ ตามแฟชั่น รองเท้า converse สีดำเก่าๆ แถมน่าจะไม่ซักมานานแล้ว ท่าทีที่ผมแสดงออกต่อหน้าน้องคงแย่มาก น้องเลยพูดสวนมาว่า
“ยังไม่ได้มาสมัครนะคะ แค่มาสืบดูเฉยๆ เพราะค้นในเนตแล้วไม่มีข้อมูลอะไรเลย”
ผมเลยขอโทษที่เสียมารยาทกับน้อง แล้วบอกน้องว่าหากอยากรู้รายละเอียดเพื่อประกอบการตัดสินใจก็ลงไปกินกาแฟแล้วอยากถามอะไรก็ค่อยถามเพราะใกล้จะถึงสถานีที่จะต้องลงแล้ว ผมเห็นน้องเค้าลังเลอยู่ตอนที่รถไฟฟ้าใกล้ถึงสถานีเลยพูดอีกครั้งว่า
“ข้อมูลในเนตไม่ค่อยมีไม่ใช่เหรอ แล้วพี่ XX (ชื่ออาจารย์) แนะนำให้มาสมัครไม่ใช่เหรอ”
แล้วน้องก็เลยถามว่ารู้จักชื่อเล่นอาจารย์ด้วยเหรอ
ผมเลยบอกว่าจะให้นินทาอะไรพี่ XX ถามมาได้เลย
เมื่อถึงสถานรถไฟฟ้าผมก็ลุกแล้วไปยืนรอหน้าประตู หางตาผมพยายามดูว่าน้องจะลุกตามลงมาด้วยไหม สุดท้ายน้องก็ตามลงมา ผมอยากให้น้องสบายใจเลยบอกให้น้องเลือกร้านกาแฟเพื่อนั่งคุยกัน น้องก็เลือกร้านแรกที่เดินผ่านเลย บทสนทนาวันนั้นทำให้ผมประทับใจน้องเค้ามาก ที่สำคัญเปลี่ยนแผนการเปิดบริษัทผมไปเลยด้วยคำพูดที่ว่าที่น้องไม่ได้ติดต่อมาเลยเมื่อสัปดาห์ก่อนเพราะน้องดูที่ตั้งสำนักงานแล้วน้องมองไม่ออกว่า Customer segments ของบริษัทคือใคร เพราะสำนักงานตั้งอยู่ย่านเศรษฐกิจที่ค่าเช่าตึกน่าจะโคตรแพง ลูกค้าที่มีเงินไม่มากไม่น่าจะเดินเฉียด เหมือนที่เธอก็ไม่เคยเดินเฉียดร้านค้าแบรนด์เนมถึงแม้ลด 90 % ก็ไม่มีปัญญาซื้ออยู่ดี ดังนั้นลูกค้าของบริษัทน่าจะเป็นคนที่มีฐานะดี แต่สำนักงานก็มีข้อจำกัดเรื่องที่จอดรถ การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวอาจไม่สะดวกเท่าที่ควร ในสถานการณ์ที่มีบริษัทตัวเลือกมากมายคนมีตังค์ไม่จำเป็นต้องมาบริษัทเราด้วยซ้ำ เธอกลัวว่าบริษัทนี้จะเป็นแค่ของเล่นคนรวยที่ทำให้เธอเสียเวลา พูดตรงๆ แบบนี้ผมถึงกับจุกเลยครับ วันนั้นผมประทับใจน้องหลายอย่าง และอยากให้น้องมาสมัครงานมากครับ ไม่แปลกใจที่รุ่นพี่บอกว่าลูกศิษย์คนนี้แกภูมิใจมาก (เรียนจบช้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่น 2 ปี เพราะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนและไปทำโปรเจคจบที่ญี่ปุ่น) จบการพูดคุยกันวันนั้นผมก็รอรับโทรศัพท์จากน้องทุกวันเป็นเวลาเกือบ 1 สัปดาห์ น้องถึงติดต่อมาสมัครงาน แน่นอนผมนัดน้องมาสัมภาษณ์ที่สำนักงานเก่าของคุณพ่อที่เคยขอไว้ทำสำนักงานของบริษัท
วันสัมภาษณ์ผมตื่นเต้นมากเพราะ
1. น้องยังไม่รู้ว่าผมเป็นเจ้าของบริษัท ผมกลัวน้องโกรธด้วยที่ไม่ได้บอกจากการสนทนากันครั้งก่อน แต่ผมไม่คิดที่จะโกหกแบบในละครนะครับ ตั้งใจบอกเนี่ยแหล่ะ จะเป็นไงค่อยว่ากันอีกที
2. ผมกังวลว่าจะใส่ชุดอะไรไปสัมภาษณ์ดี อย่างที่บอกครั้งแรกที่เจอกันในสูทแบรนด์เนมทั้งตัว แต่นั่นก็ไม่ใช่สไตล์ผมนะครับ ผมเองยอมรับว่ากังวลมาก แอบลองเสื้อผ้าเป็นชั่วโมงเหมือนกันครับสุดท้ายก็ใส่ชุดเสื้อยืดสีขาวทับสูทสีกรมท่า รองเท้าหนัง ดูเป็นการเป็นงาน เพื่อให้เกียรติคนมาสัมภาษณ์ ในใจผมก็ลุ้นว่าน้องจะใส่ชุดอะไรมาสัมภาษณ์ นาทีนี้ผมไม่รู้ว่าคนสัมภาษณ์หรือผู้ถูกสัมภาษณ์ใครตื่นเต้น หัวใจเต้นแรงกว่ากันนะครับ
3. ก่อนวันสัมภาษณ์ผมจ้างบริษัททำความสะอาดมาทำความสะอาดสำนักงาน และซื้อเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งเล็กน้อย เพราะสำนักงานไม่ได้ใช้งานมาหลายปี (ผมเองก็งงตัวเองเพราะใจจริงผมไม่อยากใช้สำนักงานนี้แล้วตั้งแต่คุยกับน้องครั้งก่อน แต่ผมยอมเสียเงินมากมายปรับปรุงสำนักงานเพื่อสัมภาษณ์น้องไม่กี่นาทีทำไมกัน 555)
วันสัมภาษณ์ผมนัดน้องตอน 10 โมง กะว่าสัมภาษณ์เสร็จจะพาไปกินข้าวเที่ยงด้วยเลย แต่เชื่อไหมผมไปถึงสำนักงานตั้งแต่ 8 โมง บ้าไปแล้ว!! เพื่อไปดูความเรียบร้อย ยิ่งใกล้ถึง 10 โมงใจยิ่งสั่น ตอนน้องโทรมาว่ามาถึงแล้วหัวใจเต้นแทบจะทะลุอก ความจริงที่ใจเต้นแรงไม่ใช่เพราะน้องสวยมากนะครับ แต่น้องเป็นคนเท่มากๆ นะครับ
ตอนที่น้องเปิดประตูเข้ามาเจอผมน้องก็ไหว้ ผมนี่อึ้งเลย เพราะน้องใส่ชุดเดรทสีดำ ยาวคลุมเข่า รองเท้า converse คู่เดิม มือถือกระเป๋าเขียนแบบขนาด A2 และหิ้วกระบอกใส่แบบมาด้วย ยอมรับว่าน่ารักมากครับ ผมเปิดบทสนทนาด้วยการถามว่า “รับกาแฟอะไรดีครับ” จากนั้นก็คุยกันนานเป็นครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ น้องคงเห็นว่าเวลาผ่านมานานแต่ไม่เห็นวี่แววจะได้สัมภาษณ์น้องเลยถามว่า
“คุณ XXX (ชื่อผม) ยังไม่เข้าบริษัทเหรอคะ?”
ผมเอ๋อ-อยู่แป๊บนึง แล้วค่อยบอกว่าผมเนี่ยแหล่ะครับคุณ XXX
น้องเค้าขมวดคิ้วเลย ก่อนที่น้องจะด่าผมเลยพูดสวนไปว่า
“ครั้งก่อนเพราะฉุกละหุกเลยไม่ได้แนะนำตัว ผมขอแนะนำตัวเป็นทางการนะครับ”
แล้วผมก็ขอโทษน้องด้วยความจริงใจ น้องอาจจะโกรธ อาจจะด่าผมในใจอันนี้ผมไม่รู้ แต่ก็จบลงด้วยดี ผมบอกน้องว่าอยากให้น้องมาทำงานด้วย ยิ่งได้พูดกับน้องยิ่งอยากได้เป็นเพื่อนร่วมงาน และบริษัทนี้ไม่ใช่ของเล่นคนรวย แต่เป็นความฝันของผมและมันจะเป็นจริงได้หากน้องมาเป็นเพื่อนร่วมงาน น้องตกลงมาทำงานด้วยแต่ไม่ใช่ฐานะลูกน้องแต่เป็น Co-founder ซึ่งผมก็โอเค ความจริงด้วยคุณสมบัติของน้องสามารถสมัครงานบริษัทใหญ่ๆ ได้เลย แต่โชคดีที่น้องอยากมีบริษัทเป็นของตัวเอง เมื่อน้องไม่สามารถเปิดบริษัทเองได้ การเป็น Co-founder น่าจะเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย
ผลของการมีน้องเป็น Co-founder เราตัดสินใจว่าจะไม่ใช้สำนักงานเก่าของคุณพ่อ เพราะอย่างที่น้องวิเคราะห์ว่าลูกค้าที่มีตังค์ไม่มากอาจไม่กล้าเข้ามาใช้บริการ ด้วยสไตล์การออกแบบของน้องกับผมมันไม่ใช่แนวหรูหราหมาเห่าครับ ฉะนั้นเราควรเลือกสถานที่ที่ลูกค้าสบายใจที่จะเดินเข้ามาปรึกษาส่วนจะจ้างไม่จ้างค่อยว่ากันอีกที
ไอเดียน้องที่ผมชอบ (ตอนแรกก็ไม่ได้ชอบ) คือน้องอยากทำร้านคาเฟ่ กาแฟ อาหาร เครืองดื่ม เบเกอรี่ น้องบอกว่าหากทำสำนักงานรับออกแบบบ้าน แม้หลายคนอยากมีบ้านแบบที่ต้องการแต่ก็ไม่กล้าเดินเข้าสำนักงานรับออกแบบบ้านเพราะกลัวว่าจะมีเงินไม่พอ คนมีรายได้ปานกลางส่วนใหญ่ซื้อคอนโด หรือไม่ก็บ้านจัดสรร เพราะธนาคารปล่อยกู้ง่ายกว่า ดังนั้นการทำคาเฟ่ เป็นสถานที่ชิลๆ ที่คนเดินเข้าร้านได้โดยไม่เกร็ง ลูกค้าสามารถเห็น Signature ของทางร้าน แถมเราสามารถ Tie-in สร้างความรับรู้ให้ลูกค้าว่าเรารับออกแบบบ้านในราคาที่คุณเอื้อมถึง อีกอย่างการเปิดคาเฟ่ก็ทำให้เรามีเงินหมุนเวียนระหว่างที่ยังไม่มีลูกค้าอีกด้วย
สุดท้ายเราก็ได้เพื่อนร่วมงานอีก 1 คน (เพื่อให้เพื่อนๆในพันทิพไม่งง ผมขอแทนชื่อพวกเราทั้ง 3 คน ตามนี้นะครับ ผมชื่อ ต., น้อง ชื่อ ผ. และคนสุดท้ายที่เข้ามาชื่อ ข.)
ข. เป็นสาวสองที่ยังไม่แปลงร่างอย่างสมบูรณ์ เป็นเพื่อนกับ ผ. ตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย มีความสามารถด้านการทำกลับแกล้มอย่างดีมากอันนี้ผมยอมรับเลยอร่อยมาก ระหว่างที่ผมกับ ผ. กำลังหาที่ตั้งร้านคาเฟ่ ข. ก็ไปเรียนบาริสต้า และทำเบเกอรี่
เราใช้เวลาอยูนานกว่าจะได้ที่ตั้งคาเฟ่ แน่นอนว่า ผ. มีส่วนในการตัดสินใจอย่างมาก เป็นที่ที่มีโครงสร้างเก่าเอามา renovate ใหม่ ผ. ตั้งใจเอามาสร้างสตอรี่ Before & after เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าเราสามารถ renovate ของเก่าให้กลับมา Cool ได้ ที่สำคัญที่ลานจอดรถและพื้นที่สวนเพราะคาเฟ่ตั้งอยู่ชานเมือง ผมเลยตัดสินใจชื้อเลย จากนั้นเราก็มาออกแบบกัน ซึ่งก็มีความเห็นไม่ลงรอยกันบ้าง ต้องโต้แย้งกันบ้าง แต่เชื่อไหมครับผมแพ้ทุกทีเลย 555 ในที่สุดเราก็ได้เปิดคาเฟ่กันครับ
ธุรกิจคาเฟ่เราเป็นไปได้ดีครับได้รับการตอบรับดีจากลูกค้า ความจริงต้องขอบคุณ ผ. เพราะเธอทำการตลาดล่วงหน้าโดยการเดินสายไปยังบริษัท สำนักงาน ต่างๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ไปแนะนำตัวแล้วให้ลูกค้ากดติดตาม Facebook fanpage และ Line OA เพื่อรับส่วนลดทำให้เราได้ลูกค้าจำนวนมากตั้งแต่วันเปิดร้านเลย และ ข. ก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับจัดเต็มทุกเมนู แต่นั่นยังไม่ใช่ความฝันของผมและ ผ. นะครับ ตลอดเวลา 3 เดือนที่เปิดคาเฟ่มาลูกค้ารับรู้ว่าเรารับออกแบบบ้านด้วย แม้จะมีคนชมแบบบ้าน (ลืมบอกว่าเราแอบ Tie-in เอาผลงานมาแสดงโชว์ด้วยนะครับ) แต่ก็นั่นแหล่ะครับยังไม่มีลูกค้ามาว่าจ้างเลย คนหงอยสุดไม่ใช่ผมแต่เป็น ผ. ครับ เธอเลยเสนอแผนใหม่ ชวนผมให้ลงพื้นที่หาบ้านร้างที่เจ้าของบ้านประกาศขาย แล้วติดต่อเจ้าของบ้านว่าจะเอามาเป็นออกแบบใหม่แล้วโฆษณาขายเพื่อรับค่าออกแบบและค่านายหน้าขายบ้านด้วย ผมก็เห็นด้วย จากนั้นทุกวันหยุดที่ผมว่างจากงานครอบครัวผมจะตระเวนไปนอกพื้นที่กับ ผ. ให้ ข. อยู่เฝ้าร้านคนเดียว
ขอคำแนะนำเกี่ยวกับความรักที่ยัง Move on ไม่ได้ ทั้งที่ผ่านมาจะ 3 ปีแล้ว
ผมมีเรื่องรบกวนทุกท่านหน่อยครับคือผมไม่สามารถ Move on กับเรื่องนี้มา 3 ปีแล้ว เลยอยากฟังคำแนะนำของพี่น้องชาวพันทิพครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า
ในชีวิตของผมๆ มีแฟนมาทั้งหมด 3 คน ครับ
คนแรกคบกันตั้งแต่มัธยม คนนี้คบจนจบมหาลัยเลย แต่เหมือนคู่รักวัยรุ่นหลายๆ คู่ที่ทะเลาะกัน เลิกกัน ดีกัน เพื่อนเป็นหมาหลายรอบเหมือนกัน สุดท้ายมาเลิกกันขาดๆ ตอนผมไปเรียนต่อที่ต่างประเทศครับ แฟนเค้าเปิดตัวคบคนใหม่ในใจผมตอนนี้ก็รู้สึกเสียใจ แต่ไม่ได้ถึงกับเศร้ากินเหล้าหัวปักอะไรแบบนั้นนะครับใช้เวลาไม่นานก็ Move on ได้ครับ
แฟนคนที่ 2 เป็นนักเรียนทุนรัฐบาลที่ได้ทุนไปเรียนโท-เอกที่มหาลัยเดียวกับผม คือมีรุ่นพี่มาบอกว่าน้องแอบปลื้มผม ผมมาคิดดูแล้วน้องก็หน้าตาโอเค หน้าที่การงานในอนาคตก็โอเคเพราะหากน้องเรียนจบก็จะไปเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยแห่งนึงครับ ผมก็เลยสานความสัมพันธ์ด้วย แต่น่าเสียดายตอนนั้นผมใกล้เรียนจบแล้ว เราคบกันจริงๆ ไม่ถึง 6 เดือนก่อนที่ผมกลับไทยครับ
เมื่อผมกลับไทยผมต้องทำงานช่วยธุรกิจของครอบครัวซึ่งเป็นแบบกงสีครับ แต่ในใจผมอยากเปิดบริษัทรับออกแบบบ้านของตัวเองเพราะเรียนจบด้านนี้มา ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ห้าม ท่านขอแค่ให้ช่วยงานของครอบครัวด้วยเท่านั้นครับ
เอาเข้าจริงผมทำงานให้ครอบครัวจนไม่มีเวลาจะมาคิดเรื่องเปิดบริษัทของตัวเองเลย ผมกลัวว่าหากเป็นอย่างงี้ต่อไปเรื่อยๆ ความฝันที่จะมีบริษัทออกแบบบ้านของผมคงจะเป็นแค่ความฝัน ผมเลยไปปรึกษารุ่นพี่ที่ผมเคารพ แกเป็นอาจารย์สอนอยู่มหาลัยแห่งนึง แกเลยแนะนำลูกศิษย์ที่เพิ่งเรียนจบมาให้ ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่เพราะน้องเค้าเป็นผู้หญิง คือบอกก่อนนะครับผมไม่ได้เหยียดเพศนะครับ แต่ใจจริงผมอยากได้ผู้ชายมากกว่าเพราะว่าเวลาพาออกนอกพื้นที่มันสบายใจกว่าแค่นั้นครับ เพราะอาชีพแบบพวกเราต้องออกนอกพื้นที่บ่อยๆ หากผู้ชาย 2 คนมันนอนห้องเดียวกันได้แบบนี้น่ะครับ ผมก็เลยบอกรุ่นพี่ว่ายังไงก็ให้น้องลองติดต่อมาดูครับ หากโอเคค่อยตกลงกันอีกที
หลังจากนั้นเป็นอาทิตย์ก็ยังไม่มีใครติดต่อมาหาผม ผมก็แอบใจชื้นแหล่ะ หากน้องไม่ติดต่อมาจะได้บอกรุ่นพี่ได้ว่าน้องไม่ติดต่อมานะอะไรแบบนี้ จะได้ไม่เสียน้ำใจที่รุ่นพี่อุตส่าห์แนะนำให้มาทำงานด้วย
วันนึงผมต้องไปประชุมกับลูกค้าให้คุณพ่อ ผมใส่สูทแบบจัดเต็ม แบรนด์เนมทั้งตัว ขากลับรถเกิดเฉี่ยวชนกัน ผมเลยกระโดดขึ้นรถไฟฟ้า ตั้งใจเดินทางไปที่สำนักงานเก่าของพ่อที่ผมขอว่าจะตั้งสำนักงานของบริษัทของผม ระหว่างในขณะที่ผมกำลังดู Logo บริษัทที่ผมออกแบบอยู่ ก็มีผู้หญิงคนนึงพูดกึ่งกระซิบว่า
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณทำงานอยู่บริษัทXXX เหรอคะ?”
ผมหันไปดูหน้าน้องคนนั้นอย่างเอ๋อๆ เพราะชื่อบริษัทผมน่าจะไม่ค่อยมีคนรู้ เพราะเอาจริงๆ ชื่อบริษัทมันยังไม่ finalize แต่ผมก็ตอบเธอไปว่าใช่ครับ แล้วผมก็เลยถามน้องต่อว่ารู้จักชื่อบริษัทได้ยังไง น้องเลยตอบว่าอาจารย์แนะนำให้มาสมัครงาน ทีนี้ผมมองน้องตั้งแต่หัวจนเท้าเลยครับพอได้ยินคำว่าสมัครงาน คืออยากให้ทุกคนเห็นชุดที่น้องใส่คือ เสื้อยืดสีดำ ใส่เสื้อคลุมสีเขียวขี้ม้าแบบมีฮู๊ด สวมกางเกงยีนส์ Skinny สีดำ ขาดตรงเข่านิดๆ ตามแฟชั่น รองเท้า converse สีดำเก่าๆ แถมน่าจะไม่ซักมานานแล้ว ท่าทีที่ผมแสดงออกต่อหน้าน้องคงแย่มาก น้องเลยพูดสวนมาว่า
“ยังไม่ได้มาสมัครนะคะ แค่มาสืบดูเฉยๆ เพราะค้นในเนตแล้วไม่มีข้อมูลอะไรเลย”
ผมเลยขอโทษที่เสียมารยาทกับน้อง แล้วบอกน้องว่าหากอยากรู้รายละเอียดเพื่อประกอบการตัดสินใจก็ลงไปกินกาแฟแล้วอยากถามอะไรก็ค่อยถามเพราะใกล้จะถึงสถานีที่จะต้องลงแล้ว ผมเห็นน้องเค้าลังเลอยู่ตอนที่รถไฟฟ้าใกล้ถึงสถานีเลยพูดอีกครั้งว่า
“ข้อมูลในเนตไม่ค่อยมีไม่ใช่เหรอ แล้วพี่ XX (ชื่ออาจารย์) แนะนำให้มาสมัครไม่ใช่เหรอ”
แล้วน้องก็เลยถามว่ารู้จักชื่อเล่นอาจารย์ด้วยเหรอ
ผมเลยบอกว่าจะให้นินทาอะไรพี่ XX ถามมาได้เลย
เมื่อถึงสถานรถไฟฟ้าผมก็ลุกแล้วไปยืนรอหน้าประตู หางตาผมพยายามดูว่าน้องจะลุกตามลงมาด้วยไหม สุดท้ายน้องก็ตามลงมา ผมอยากให้น้องสบายใจเลยบอกให้น้องเลือกร้านกาแฟเพื่อนั่งคุยกัน น้องก็เลือกร้านแรกที่เดินผ่านเลย บทสนทนาวันนั้นทำให้ผมประทับใจน้องเค้ามาก ที่สำคัญเปลี่ยนแผนการเปิดบริษัทผมไปเลยด้วยคำพูดที่ว่าที่น้องไม่ได้ติดต่อมาเลยเมื่อสัปดาห์ก่อนเพราะน้องดูที่ตั้งสำนักงานแล้วน้องมองไม่ออกว่า Customer segments ของบริษัทคือใคร เพราะสำนักงานตั้งอยู่ย่านเศรษฐกิจที่ค่าเช่าตึกน่าจะโคตรแพง ลูกค้าที่มีเงินไม่มากไม่น่าจะเดินเฉียด เหมือนที่เธอก็ไม่เคยเดินเฉียดร้านค้าแบรนด์เนมถึงแม้ลด 90 % ก็ไม่มีปัญญาซื้ออยู่ดี ดังนั้นลูกค้าของบริษัทน่าจะเป็นคนที่มีฐานะดี แต่สำนักงานก็มีข้อจำกัดเรื่องที่จอดรถ การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวอาจไม่สะดวกเท่าที่ควร ในสถานการณ์ที่มีบริษัทตัวเลือกมากมายคนมีตังค์ไม่จำเป็นต้องมาบริษัทเราด้วยซ้ำ เธอกลัวว่าบริษัทนี้จะเป็นแค่ของเล่นคนรวยที่ทำให้เธอเสียเวลา พูดตรงๆ แบบนี้ผมถึงกับจุกเลยครับ วันนั้นผมประทับใจน้องหลายอย่าง และอยากให้น้องมาสมัครงานมากครับ ไม่แปลกใจที่รุ่นพี่บอกว่าลูกศิษย์คนนี้แกภูมิใจมาก (เรียนจบช้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่น 2 ปี เพราะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนและไปทำโปรเจคจบที่ญี่ปุ่น) จบการพูดคุยกันวันนั้นผมก็รอรับโทรศัพท์จากน้องทุกวันเป็นเวลาเกือบ 1 สัปดาห์ น้องถึงติดต่อมาสมัครงาน แน่นอนผมนัดน้องมาสัมภาษณ์ที่สำนักงานเก่าของคุณพ่อที่เคยขอไว้ทำสำนักงานของบริษัท
วันสัมภาษณ์ผมตื่นเต้นมากเพราะ
1. น้องยังไม่รู้ว่าผมเป็นเจ้าของบริษัท ผมกลัวน้องโกรธด้วยที่ไม่ได้บอกจากการสนทนากันครั้งก่อน แต่ผมไม่คิดที่จะโกหกแบบในละครนะครับ ตั้งใจบอกเนี่ยแหล่ะ จะเป็นไงค่อยว่ากันอีกที
2. ผมกังวลว่าจะใส่ชุดอะไรไปสัมภาษณ์ดี อย่างที่บอกครั้งแรกที่เจอกันในสูทแบรนด์เนมทั้งตัว แต่นั่นก็ไม่ใช่สไตล์ผมนะครับ ผมเองยอมรับว่ากังวลมาก แอบลองเสื้อผ้าเป็นชั่วโมงเหมือนกันครับสุดท้ายก็ใส่ชุดเสื้อยืดสีขาวทับสูทสีกรมท่า รองเท้าหนัง ดูเป็นการเป็นงาน เพื่อให้เกียรติคนมาสัมภาษณ์ ในใจผมก็ลุ้นว่าน้องจะใส่ชุดอะไรมาสัมภาษณ์ นาทีนี้ผมไม่รู้ว่าคนสัมภาษณ์หรือผู้ถูกสัมภาษณ์ใครตื่นเต้น หัวใจเต้นแรงกว่ากันนะครับ
3. ก่อนวันสัมภาษณ์ผมจ้างบริษัททำความสะอาดมาทำความสะอาดสำนักงาน และซื้อเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งเล็กน้อย เพราะสำนักงานไม่ได้ใช้งานมาหลายปี (ผมเองก็งงตัวเองเพราะใจจริงผมไม่อยากใช้สำนักงานนี้แล้วตั้งแต่คุยกับน้องครั้งก่อน แต่ผมยอมเสียเงินมากมายปรับปรุงสำนักงานเพื่อสัมภาษณ์น้องไม่กี่นาทีทำไมกัน 555)
วันสัมภาษณ์ผมนัดน้องตอน 10 โมง กะว่าสัมภาษณ์เสร็จจะพาไปกินข้าวเที่ยงด้วยเลย แต่เชื่อไหมผมไปถึงสำนักงานตั้งแต่ 8 โมง บ้าไปแล้ว!! เพื่อไปดูความเรียบร้อย ยิ่งใกล้ถึง 10 โมงใจยิ่งสั่น ตอนน้องโทรมาว่ามาถึงแล้วหัวใจเต้นแทบจะทะลุอก ความจริงที่ใจเต้นแรงไม่ใช่เพราะน้องสวยมากนะครับ แต่น้องเป็นคนเท่มากๆ นะครับ
ตอนที่น้องเปิดประตูเข้ามาเจอผมน้องก็ไหว้ ผมนี่อึ้งเลย เพราะน้องใส่ชุดเดรทสีดำ ยาวคลุมเข่า รองเท้า converse คู่เดิม มือถือกระเป๋าเขียนแบบขนาด A2 และหิ้วกระบอกใส่แบบมาด้วย ยอมรับว่าน่ารักมากครับ ผมเปิดบทสนทนาด้วยการถามว่า “รับกาแฟอะไรดีครับ” จากนั้นก็คุยกันนานเป็นครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ น้องคงเห็นว่าเวลาผ่านมานานแต่ไม่เห็นวี่แววจะได้สัมภาษณ์น้องเลยถามว่า
“คุณ XXX (ชื่อผม) ยังไม่เข้าบริษัทเหรอคะ?”
ผมเอ๋อ-อยู่แป๊บนึง แล้วค่อยบอกว่าผมเนี่ยแหล่ะครับคุณ XXX
น้องเค้าขมวดคิ้วเลย ก่อนที่น้องจะด่าผมเลยพูดสวนไปว่า
“ครั้งก่อนเพราะฉุกละหุกเลยไม่ได้แนะนำตัว ผมขอแนะนำตัวเป็นทางการนะครับ”
แล้วผมก็ขอโทษน้องด้วยความจริงใจ น้องอาจจะโกรธ อาจจะด่าผมในใจอันนี้ผมไม่รู้ แต่ก็จบลงด้วยดี ผมบอกน้องว่าอยากให้น้องมาทำงานด้วย ยิ่งได้พูดกับน้องยิ่งอยากได้เป็นเพื่อนร่วมงาน และบริษัทนี้ไม่ใช่ของเล่นคนรวย แต่เป็นความฝันของผมและมันจะเป็นจริงได้หากน้องมาเป็นเพื่อนร่วมงาน น้องตกลงมาทำงานด้วยแต่ไม่ใช่ฐานะลูกน้องแต่เป็น Co-founder ซึ่งผมก็โอเค ความจริงด้วยคุณสมบัติของน้องสามารถสมัครงานบริษัทใหญ่ๆ ได้เลย แต่โชคดีที่น้องอยากมีบริษัทเป็นของตัวเอง เมื่อน้องไม่สามารถเปิดบริษัทเองได้ การเป็น Co-founder น่าจะเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย
ผลของการมีน้องเป็น Co-founder เราตัดสินใจว่าจะไม่ใช้สำนักงานเก่าของคุณพ่อ เพราะอย่างที่น้องวิเคราะห์ว่าลูกค้าที่มีตังค์ไม่มากอาจไม่กล้าเข้ามาใช้บริการ ด้วยสไตล์การออกแบบของน้องกับผมมันไม่ใช่แนวหรูหราหมาเห่าครับ ฉะนั้นเราควรเลือกสถานที่ที่ลูกค้าสบายใจที่จะเดินเข้ามาปรึกษาส่วนจะจ้างไม่จ้างค่อยว่ากันอีกที
ไอเดียน้องที่ผมชอบ (ตอนแรกก็ไม่ได้ชอบ) คือน้องอยากทำร้านคาเฟ่ กาแฟ อาหาร เครืองดื่ม เบเกอรี่ น้องบอกว่าหากทำสำนักงานรับออกแบบบ้าน แม้หลายคนอยากมีบ้านแบบที่ต้องการแต่ก็ไม่กล้าเดินเข้าสำนักงานรับออกแบบบ้านเพราะกลัวว่าจะมีเงินไม่พอ คนมีรายได้ปานกลางส่วนใหญ่ซื้อคอนโด หรือไม่ก็บ้านจัดสรร เพราะธนาคารปล่อยกู้ง่ายกว่า ดังนั้นการทำคาเฟ่ เป็นสถานที่ชิลๆ ที่คนเดินเข้าร้านได้โดยไม่เกร็ง ลูกค้าสามารถเห็น Signature ของทางร้าน แถมเราสามารถ Tie-in สร้างความรับรู้ให้ลูกค้าว่าเรารับออกแบบบ้านในราคาที่คุณเอื้อมถึง อีกอย่างการเปิดคาเฟ่ก็ทำให้เรามีเงินหมุนเวียนระหว่างที่ยังไม่มีลูกค้าอีกด้วย
สุดท้ายเราก็ได้เพื่อนร่วมงานอีก 1 คน (เพื่อให้เพื่อนๆในพันทิพไม่งง ผมขอแทนชื่อพวกเราทั้ง 3 คน ตามนี้นะครับ ผมชื่อ ต., น้อง ชื่อ ผ. และคนสุดท้ายที่เข้ามาชื่อ ข.)
ข. เป็นสาวสองที่ยังไม่แปลงร่างอย่างสมบูรณ์ เป็นเพื่อนกับ ผ. ตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย มีความสามารถด้านการทำกลับแกล้มอย่างดีมากอันนี้ผมยอมรับเลยอร่อยมาก ระหว่างที่ผมกับ ผ. กำลังหาที่ตั้งร้านคาเฟ่ ข. ก็ไปเรียนบาริสต้า และทำเบเกอรี่
เราใช้เวลาอยูนานกว่าจะได้ที่ตั้งคาเฟ่ แน่นอนว่า ผ. มีส่วนในการตัดสินใจอย่างมาก เป็นที่ที่มีโครงสร้างเก่าเอามา renovate ใหม่ ผ. ตั้งใจเอามาสร้างสตอรี่ Before & after เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าเราสามารถ renovate ของเก่าให้กลับมา Cool ได้ ที่สำคัญที่ลานจอดรถและพื้นที่สวนเพราะคาเฟ่ตั้งอยู่ชานเมือง ผมเลยตัดสินใจชื้อเลย จากนั้นเราก็มาออกแบบกัน ซึ่งก็มีความเห็นไม่ลงรอยกันบ้าง ต้องโต้แย้งกันบ้าง แต่เชื่อไหมครับผมแพ้ทุกทีเลย 555 ในที่สุดเราก็ได้เปิดคาเฟ่กันครับ
ธุรกิจคาเฟ่เราเป็นไปได้ดีครับได้รับการตอบรับดีจากลูกค้า ความจริงต้องขอบคุณ ผ. เพราะเธอทำการตลาดล่วงหน้าโดยการเดินสายไปยังบริษัท สำนักงาน ต่างๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ไปแนะนำตัวแล้วให้ลูกค้ากดติดตาม Facebook fanpage และ Line OA เพื่อรับส่วนลดทำให้เราได้ลูกค้าจำนวนมากตั้งแต่วันเปิดร้านเลย และ ข. ก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับจัดเต็มทุกเมนู แต่นั่นยังไม่ใช่ความฝันของผมและ ผ. นะครับ ตลอดเวลา 3 เดือนที่เปิดคาเฟ่มาลูกค้ารับรู้ว่าเรารับออกแบบบ้านด้วย แม้จะมีคนชมแบบบ้าน (ลืมบอกว่าเราแอบ Tie-in เอาผลงานมาแสดงโชว์ด้วยนะครับ) แต่ก็นั่นแหล่ะครับยังไม่มีลูกค้ามาว่าจ้างเลย คนหงอยสุดไม่ใช่ผมแต่เป็น ผ. ครับ เธอเลยเสนอแผนใหม่ ชวนผมให้ลงพื้นที่หาบ้านร้างที่เจ้าของบ้านประกาศขาย แล้วติดต่อเจ้าของบ้านว่าจะเอามาเป็นออกแบบใหม่แล้วโฆษณาขายเพื่อรับค่าออกแบบและค่านายหน้าขายบ้านด้วย ผมก็เห็นด้วย จากนั้นทุกวันหยุดที่ผมว่างจากงานครอบครัวผมจะตระเวนไปนอกพื้นที่กับ ผ. ให้ ข. อยู่เฝ้าร้านคนเดียว