เมื่อเช้าวันนี้ (31 ธ.ค.65) ผมมีโอกาสคุยจริงจังกับรุ่นพี่ท่านหนึ่ง (ช.) ซึ่งเออรี่จากงานราชการมาหลายปี เพราะแกป่วยเป็นอัมพฤกษ์ แกเล่าว่า เมื่อ 7 ปี ก่อน แกป่วยเป็น Stroke ถึงขั้นเส้นเลือดในสมองแตก ต้องนอนที่ รพ. อยู่เป็นเดือน ระหว่างที่รักษาอยู่ใน รพ. มีภาวะแทรกซ้อนสมองตาย แต่หัวใจยังเต้นอยู่ ระหว่างนั้นรู้สึกว่า จิตวิ่งออกจากร่างอย่างรวดเร็ว แล้วไปสถิตอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งรู้สึกโล่งว่างเปล่า ไมมีอาณาเขต เป็นสุขและอิ่มเอิบมาก จึงถามคนที่อยู่แถวนั้นว่า ที่นี่ที่ไหน ได้คำตอบว่า ที่นี่คือสวรรค์
ทำให้พี่แกรู้ว่า นี่เราคงตายไปแล้ว แน่ ๆ ใจนึงคิดว่า เรายังตายไม่ได้ เพราะต้องดูแลพ่อที่อายุมากแล้ว อีกใจนึงก็คิดว่า ตายแล้วก็ดี เพราะอยู่ที่นี่เป็นสุขมาก ๆ สุขยิ่งกว่าเป็นมนุษย์ไหน ๆ ทันใดนั้น แกก็ได้ยินเสียง ญาติที่มาเฝ้าไข้ ตะโกนเรียกมาจากเมืองมนุษย์ว่า ยังตายไม่ได้ ต้องดูแลพ่อก่อน ... แล้วแกก็ตัดสินใจ อธิษฐานถึง ลพ.พุธ ฐานิโย หากลูกยังพอมีอายุต่อไปได้ ขอให้บุญที่ลูกเคยทำไว้ ช่วยพาลูกกลับเข้าร่างที สักพักนึงก็มีคนบนสวรรค์ มาพาแกกลับไปเข้าร่างขณะนอนอยู่บนเตียงที่ รพ. แล้วแกก็รู้สึกตัว พยาบาลเล่าให้แกฟังว่า แกหมดสติ ร่างกายไม่ตอบสนอง เพราะสมองตาย แต่หัวใจยังเต้น พอแกตื่นขึ้นมา สมองก็กลับมาทำงานเหมือนปกติ นี่ผ่านมา 7 ปี แล้ว แกยังเดินเหมือนคนขาเป๋ และต้องใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ
พี่เขาบอกผมว่า เคยเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง ก็ไม่ใครเชื่อ เพราะคนเหล่านั้นคิดว่า แกคิดไปเอง และพี่เขาก็สอนผมว่า คนเราตายไปแล้ว เอาทรัพย์สินอะไรไปไม่ได้เลย มีแต่บุญกุศล ที่เคยทำไว้เท่านั้น จะส่งผลให้จิตของเราไปสู่สุขคติ ทุกวันนี้ พี่แกทำบุญ ใส่บาตร ถือศีล นั่งสมาธิ เสมอ เพราะคิดว่า สักวันนึงคงถึงวาระที่ต้องตายจริง ๆ ....
คิดดี ทำดี ละบาป .... ข้อคิดก่อนสิ้นปี 65
ทำให้พี่แกรู้ว่า นี่เราคงตายไปแล้ว แน่ ๆ ใจนึงคิดว่า เรายังตายไม่ได้ เพราะต้องดูแลพ่อที่อายุมากแล้ว อีกใจนึงก็คิดว่า ตายแล้วก็ดี เพราะอยู่ที่นี่เป็นสุขมาก ๆ สุขยิ่งกว่าเป็นมนุษย์ไหน ๆ ทันใดนั้น แกก็ได้ยินเสียง ญาติที่มาเฝ้าไข้ ตะโกนเรียกมาจากเมืองมนุษย์ว่า ยังตายไม่ได้ ต้องดูแลพ่อก่อน ... แล้วแกก็ตัดสินใจ อธิษฐานถึง ลพ.พุธ ฐานิโย หากลูกยังพอมีอายุต่อไปได้ ขอให้บุญที่ลูกเคยทำไว้ ช่วยพาลูกกลับเข้าร่างที สักพักนึงก็มีคนบนสวรรค์ มาพาแกกลับไปเข้าร่างขณะนอนอยู่บนเตียงที่ รพ. แล้วแกก็รู้สึกตัว พยาบาลเล่าให้แกฟังว่า แกหมดสติ ร่างกายไม่ตอบสนอง เพราะสมองตาย แต่หัวใจยังเต้น พอแกตื่นขึ้นมา สมองก็กลับมาทำงานเหมือนปกติ นี่ผ่านมา 7 ปี แล้ว แกยังเดินเหมือนคนขาเป๋ และต้องใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ
พี่เขาบอกผมว่า เคยเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง ก็ไม่ใครเชื่อ เพราะคนเหล่านั้นคิดว่า แกคิดไปเอง และพี่เขาก็สอนผมว่า คนเราตายไปแล้ว เอาทรัพย์สินอะไรไปไม่ได้เลย มีแต่บุญกุศล ที่เคยทำไว้เท่านั้น จะส่งผลให้จิตของเราไปสู่สุขคติ ทุกวันนี้ พี่แกทำบุญ ใส่บาตร ถือศีล นั่งสมาธิ เสมอ เพราะคิดว่า สักวันนึงคงถึงวาระที่ต้องตายจริง ๆ ....