สวัสดีครับ ช่วงนี้ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว (2022ไป2023) ในปีนี้ชีวิตของผมค่อนข้างบัดซบ ไม่สิ! โคตรจะบัดซบเลยต่างหาก แค่อยากมาเขียนระบายครับใครว่างๆก็เข้ามาอ่านได้
จะเริ่มยังไงดี?
ผมอายุ 21 ปี อายุเข้าช่วงวัยเกณฑ์ทหารพอดี อย่างที่หลายๆคนเขาพูดกันไปทำหน้าที่ลูกผู้ชาย ตัวผมเองก็ไปจับใบดำใบแดงที่บ้านเกิด ผลสรุปคือ แดง ครับโดนเต็มๆ 2 ปี เสียเวลาชีวิตชิปหาย ระหว่างรอรายงานตัวเข้ากรมมีเวลา 1 เดือนก่อนเข้าไปรับใช้ชาติ(ตัดหญ้านั้นแหละ) ช่วงนั้นผมก็ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดไปจนได้พบรักกับรุ่นน้องคนหนึ่ง(ฮ่า ใช้คำซะโรแมนติก) เราทำทุกอย่างเหมือนเป็นแฟนกัน(ทุกอย่างจริงๆ18+) จนกระทั่งถึงเวลาที่ผมจะต้องไปเข้ากรมเธอก็บอกกับผมว่าคงรอผมไม่ได้หรอกลืมๆกันไปซะเถอะ(

อะไรว่ะเนี้ย) ถึงจะคบกันได้แค่เดือนเดียวก็เถอะเล่นเอาเจ็บจี๊ดอยู่นะ แต่ก็นั้นแหละช่างมันถือว่าเป็นโชคชะตาเล่นตลก
อยากจะบอกว่าการไปเป็นทหารเกณฑ์นั้นโคตรจะลำบากทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ช่วงระหว่างฝึกทำเอาผมอยากหนีเป็นวันละ1000ครั้ง แต่ก็ทำไรไม่ได้ต้องยอมรับชะตากรรมไป ฝึกอยู่ประมาณ 2 เดือนกว่าๆ ก็จบจากการเป็นทหารใหม่ขึ้นกองร้อย
สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ขอบคุณมากๆครับ แต่เรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตผมกำลังจะเริ่มต่อจากนี้
วันนั้นน่าจะเป็นช่วงพักจากการทำงานจิปาถะในกองร้อย ผมนั่งคุยเล่นกับเพื่อนทหารรุ่นเดียวกัน อยู่ๆก็มีข้อความเด้งขึ้นมาจากพ่อของผม มันเป็นรูปพ่อของผมใส่ชุดผู้ป่วยมีสายยางจากเครื่องช่วยหายใจอยู่ที่จมูกและสายอะไรอีกไม่รู้เยอะแยะ พ่อผมพิมบอกมาว่าป่วยนิดหน่อยเลยมาที่โรงบาล จากนั้นพ่อก็ให้เบอร์ผมคุยกับพยาบาล พยาบาลบอกว่าตอนนี้พ่อผมป่วยเป็นโรคปอดติดเชื้อไม่สามารถหายใจเองได้อาการน่าเป็นห่วงอยู่ที่ห้อง ICU ให้ญาติรีบกลับมาดูอาการด่วน (สำหรับใครที่เคยเป็นทหารเกณฑ์จะเข้าใจว่าคุณไม่สามารถไปไหนมาไหนได้อิสระเหมือนตอนเป็นพลเรือนต้องขออนุญาตผู้บังคับบัญชาก่อนถึงจะไปไหนมาไหนได้และก็เป็นเรื่องที่ยากมากกว่าจะขอได้)
เวลานั้นผมทำอะไรไม่ถูกแล้วรีบไปบอกสิบเวรว่าพ่อป่วยหนักขอลาด่วนกลับไปดูอาการพ่อ แต่ก็อย่างที่บอกข้างต้นว่ากว่าจะลาได้ก็ใช้เวลาพอสมควร สุดท้ายผมก็พยายามทุกวิถีทางจนสามารถออกมาได้
ผมเดินทางกลับบ้านเกิดไปดูอาการพ่อ ตอนที่ผมไปเจอพ่อที่โรงบาลอาการพ่อดูแย่มากไม่สามารถพูดได้ สื่อสารกันโดยการเขียนอย่างเดียว พ่อรักษาตัวที่โรงบาลประมาณ 10 วัน หมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้
ผมคิดว่าพ่อน่าจะเริ่มหายดีแล้วจึงกลับเข้าค่ายไปทำหน้าที่ลูกผู้ชายต่อ คิดว่าคงไม่มีอะไรแล้ว
หลังจากที่ผมกลับมาค่ายได้ประมาณ 2 วัน
เวลาตี 4 มีสายจากโรงบาลโทรมาว่าหัวใจของพ่อผมหยุดเต้นตอนนี้กำลังปั้มหัวใจอยู่ถ้าอีกครั้งชั่วโมงไม่ฟื้นก็คือไม่รอด ตี 5 สายจากโรงบาลโทรมาบอกว่าพ่อผมเสียแล้ว
ผมถอดชุดทหารเปลี่ยนใส่ชุดธรรมดากะว่าจะไปบอกสิบเวรเรื่องพ่อและจะขอออกจากค่าย ณ เวลานั้น แต่ก็ทำไม่ได้รอจนกว่า 7 โมงเช้าถึงทำเรื่องให้ผมออกค่ายได้
ระหว่างนั่งรถกลับบ้านเกิดมีหลากหลายอารมณ์เข้ามาปะทะกันในหัวผมจนแทบเป็นบ้า ในที่สุดผมก็มาถึงงานศพของพ่อ ข้างๆโรงศพมีปู่ของผมเฝ้าอยู่ เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันแค่สบตาเราก็รับรู้ถึงความเศร้า
งานจัดแค่ 2 วัน เนื่องด้วยสถานะทางการเงินของบ้านผม
ผมตังใจบวชใหัพ่อเป็นเวลา 3 วัน จากนั้นก็สึกออกมา
บ้านที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็กมีแค่ ปู่ พ่อ และก็ผม เราสามคนอยู่ด้วยกัน แม่ผมหย่ากับพ่อตั้งแต่ผมยังเด็ก ส่วนย่าก็เสียไปตั้งแต่ผมเด็กเช่นกัน น้องสาวของพ่อก็ไปอยู่กับแฟนเขาตั้งแต่ผมยังเด็ก
สรุปว่าผมโตมาโดยมีพ่อกับปู่ดูแลทั้งสองจึงเปรียบเสมือนโลกทั้งใบของผม
ระหว่างนี้ผมก็ยังไม่ได้กลับค่าย(คิดว่าจะไม่กลับไปแล้วถึงมันจะผิดกฎหมายผิดเชี้ยอะไรก็ช่างเถอะ)ผมอยากใช้เวลาอยู่กับปู่ให้ได้นานที่สุดเพราะปู่ผมแก่แล้วอายุประมาณ70ปี
แต่ผมก็ทำไม่ได้เหมือนที่คิดการจะใช้ชีวิตในยุคนี้ต้องมีเงินถ้าอยู่เฉยๆก็ไม่มีอะไรกิน ผมตัดสินใจเข้ากรุงเทพมาหาแม่ เพื่อจะทำงานและส่งเงินให้ปู่ใช้
ส่วนเรื่องทหารผมเคลียร์กับทางเบื้องบนแล้วว่าขอออกมาอยู่ข้างนอกและยกเงินเดือนให้ เพราะเงินเดือนทหารมันไม่พอที่จะใช้หนี้สิ้นของทางบ้านผมที่ไม่มีพ่ออยู่แล้ว
ถนัดจากเหตุการณ์พ่อเสียมา 1 เดือน
น้าผม(เป็นน้องสาวของพ่อแต่ผมเรียกน้า) โทรมาบอกกลางดึกว่าตอนนี้ปู่หลับไปปลุกยังไงก็ไม่ตื่น ส่งตัวไปที่โรงบาลในเมืองแล้วหมอบอกว่าเส้นเลือดในสมองแตกเลือดคลั่งในสมองมาก ต้องรีบผ่าตัดแต่โอกาศรอดก็คือ50-50เพราะปู่ผมแก่มากแล้วร่างกายก็ไม่แข็งแรง ให้ญาติรีบตัดสินใจ ในขณะที่ผมกับน้ากำลังลังเลกันอยู่ว่าจะทำยังไง ข่าวร้ายก็มาเยือนปู่ผมท่านทนไม่ไหว ท่านได้จากไปแล้ว
ผมกลับบ้านเกิดอีกครั้ง
งานศพของพ่อผม งานศพของปู่ผม ถัดกันแค่หนึ่งเดือน ตอนนี้ผมไม่มีความรู้สึกอะไรอีกแล้วไม่มีแม้กระทั้งความเศร้าไม่มีแม้กระทั่งความสุข เหมือนกลายเป็นคนที่ไม่มีความรู้สึก
ตอนนี้โลกของผมมันไม่เหลืออะไรแล้ว ญาติของผมในตอนนี้มี แม่ น้า น้องอีกสามคน ( น้องต่างพ่อ2คน ลูกของน้า1คน ) แต่ทั้งหมดนี้เขาก็ไม่ได้รู้จักตัวตนผมจริงๆแบบที่พ่อกับปู่รู้จัก และผมสัมผัสได้ว่าพวกเขาก็ไม่ได้รักผมเหมือนที่พ่อกับปู่รักผม
แม่กับน้าผมก็เอาแต่พูดเรื่องเงิน มันไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกผมจริงๆว่าผมกำลังแบกรับความรู้สึกอะไรอยู่
ตั้งแต่เรื่องทั้งหมดก็ผ่านมานี่ก็ผ่านมาจนสิ้นปีแล้ว ผมยังจมอยู่กับการคิดถึงพ่อกับปู่ทุกคืน คนรอบตัวผมก็เอาแต่พูดเรื่องเงิน
ชีวิตของผมตอนนี้คือทำงานกลับบ้านกินข้าวอาบน้ำนอน
ผมออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกแต่ชื่อก็ยังเป็นพลทหาร ไม่สามารถทำอะไรได้จนกว่าจะครบ 2 ปี ถึงจะได้ปลดจากการเป็นทหารเกณฑ์
ปีนี้เป็นปีที่แย่มากสำหรับผม
ชีวิตผมมันพังทลายไปหมดจนกระทั่งตอนนี้ความรู้สึกของผมก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติผมไม่เศร้าผมไม่ยิ้มผมไม่ร้องไห้ผมไม่มีความสุขหรือว่ามีความรู้สึกกับอะไรทั้งสิ้น
ผมรู้แค่อย่างเดียวคือตัวผมนั้นโดดเดียวอ้างว้าง เดียวดายและทรมาน
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
การสูญเสียสิ่งสำคัญทำให้มนุษย์เปลี่ยนไป
จะเริ่มยังไงดี?
ผมอายุ 21 ปี อายุเข้าช่วงวัยเกณฑ์ทหารพอดี อย่างที่หลายๆคนเขาพูดกันไปทำหน้าที่ลูกผู้ชาย ตัวผมเองก็ไปจับใบดำใบแดงที่บ้านเกิด ผลสรุปคือ แดง ครับโดนเต็มๆ 2 ปี เสียเวลาชีวิตชิปหาย ระหว่างรอรายงานตัวเข้ากรมมีเวลา 1 เดือนก่อนเข้าไปรับใช้ชาติ(ตัดหญ้านั้นแหละ) ช่วงนั้นผมก็ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดไปจนได้พบรักกับรุ่นน้องคนหนึ่ง(ฮ่า ใช้คำซะโรแมนติก) เราทำทุกอย่างเหมือนเป็นแฟนกัน(ทุกอย่างจริงๆ18+) จนกระทั่งถึงเวลาที่ผมจะต้องไปเข้ากรมเธอก็บอกกับผมว่าคงรอผมไม่ได้หรอกลืมๆกันไปซะเถอะ(
อยากจะบอกว่าการไปเป็นทหารเกณฑ์นั้นโคตรจะลำบากทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ช่วงระหว่างฝึกทำเอาผมอยากหนีเป็นวันละ1000ครั้ง แต่ก็ทำไรไม่ได้ต้องยอมรับชะตากรรมไป ฝึกอยู่ประมาณ 2 เดือนกว่าๆ ก็จบจากการเป็นทหารใหม่ขึ้นกองร้อย
สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ขอบคุณมากๆครับ แต่เรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตผมกำลังจะเริ่มต่อจากนี้
วันนั้นน่าจะเป็นช่วงพักจากการทำงานจิปาถะในกองร้อย ผมนั่งคุยเล่นกับเพื่อนทหารรุ่นเดียวกัน อยู่ๆก็มีข้อความเด้งขึ้นมาจากพ่อของผม มันเป็นรูปพ่อของผมใส่ชุดผู้ป่วยมีสายยางจากเครื่องช่วยหายใจอยู่ที่จมูกและสายอะไรอีกไม่รู้เยอะแยะ พ่อผมพิมบอกมาว่าป่วยนิดหน่อยเลยมาที่โรงบาล จากนั้นพ่อก็ให้เบอร์ผมคุยกับพยาบาล พยาบาลบอกว่าตอนนี้พ่อผมป่วยเป็นโรคปอดติดเชื้อไม่สามารถหายใจเองได้อาการน่าเป็นห่วงอยู่ที่ห้อง ICU ให้ญาติรีบกลับมาดูอาการด่วน (สำหรับใครที่เคยเป็นทหารเกณฑ์จะเข้าใจว่าคุณไม่สามารถไปไหนมาไหนได้อิสระเหมือนตอนเป็นพลเรือนต้องขออนุญาตผู้บังคับบัญชาก่อนถึงจะไปไหนมาไหนได้และก็เป็นเรื่องที่ยากมากกว่าจะขอได้)
เวลานั้นผมทำอะไรไม่ถูกแล้วรีบไปบอกสิบเวรว่าพ่อป่วยหนักขอลาด่วนกลับไปดูอาการพ่อ แต่ก็อย่างที่บอกข้างต้นว่ากว่าจะลาได้ก็ใช้เวลาพอสมควร สุดท้ายผมก็พยายามทุกวิถีทางจนสามารถออกมาได้
ผมเดินทางกลับบ้านเกิดไปดูอาการพ่อ ตอนที่ผมไปเจอพ่อที่โรงบาลอาการพ่อดูแย่มากไม่สามารถพูดได้ สื่อสารกันโดยการเขียนอย่างเดียว พ่อรักษาตัวที่โรงบาลประมาณ 10 วัน หมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้
ผมคิดว่าพ่อน่าจะเริ่มหายดีแล้วจึงกลับเข้าค่ายไปทำหน้าที่ลูกผู้ชายต่อ คิดว่าคงไม่มีอะไรแล้ว
หลังจากที่ผมกลับมาค่ายได้ประมาณ 2 วัน
เวลาตี 4 มีสายจากโรงบาลโทรมาว่าหัวใจของพ่อผมหยุดเต้นตอนนี้กำลังปั้มหัวใจอยู่ถ้าอีกครั้งชั่วโมงไม่ฟื้นก็คือไม่รอด ตี 5 สายจากโรงบาลโทรมาบอกว่าพ่อผมเสียแล้ว
ผมถอดชุดทหารเปลี่ยนใส่ชุดธรรมดากะว่าจะไปบอกสิบเวรเรื่องพ่อและจะขอออกจากค่าย ณ เวลานั้น แต่ก็ทำไม่ได้รอจนกว่า 7 โมงเช้าถึงทำเรื่องให้ผมออกค่ายได้
ระหว่างนั่งรถกลับบ้านเกิดมีหลากหลายอารมณ์เข้ามาปะทะกันในหัวผมจนแทบเป็นบ้า ในที่สุดผมก็มาถึงงานศพของพ่อ ข้างๆโรงศพมีปู่ของผมเฝ้าอยู่ เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันแค่สบตาเราก็รับรู้ถึงความเศร้า
งานจัดแค่ 2 วัน เนื่องด้วยสถานะทางการเงินของบ้านผม
ผมตังใจบวชใหัพ่อเป็นเวลา 3 วัน จากนั้นก็สึกออกมา
บ้านที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็กมีแค่ ปู่ พ่อ และก็ผม เราสามคนอยู่ด้วยกัน แม่ผมหย่ากับพ่อตั้งแต่ผมยังเด็ก ส่วนย่าก็เสียไปตั้งแต่ผมเด็กเช่นกัน น้องสาวของพ่อก็ไปอยู่กับแฟนเขาตั้งแต่ผมยังเด็ก
สรุปว่าผมโตมาโดยมีพ่อกับปู่ดูแลทั้งสองจึงเปรียบเสมือนโลกทั้งใบของผม
ระหว่างนี้ผมก็ยังไม่ได้กลับค่าย(คิดว่าจะไม่กลับไปแล้วถึงมันจะผิดกฎหมายผิดเชี้ยอะไรก็ช่างเถอะ)ผมอยากใช้เวลาอยู่กับปู่ให้ได้นานที่สุดเพราะปู่ผมแก่แล้วอายุประมาณ70ปี
แต่ผมก็ทำไม่ได้เหมือนที่คิดการจะใช้ชีวิตในยุคนี้ต้องมีเงินถ้าอยู่เฉยๆก็ไม่มีอะไรกิน ผมตัดสินใจเข้ากรุงเทพมาหาแม่ เพื่อจะทำงานและส่งเงินให้ปู่ใช้
ส่วนเรื่องทหารผมเคลียร์กับทางเบื้องบนแล้วว่าขอออกมาอยู่ข้างนอกและยกเงินเดือนให้ เพราะเงินเดือนทหารมันไม่พอที่จะใช้หนี้สิ้นของทางบ้านผมที่ไม่มีพ่ออยู่แล้ว
ถนัดจากเหตุการณ์พ่อเสียมา 1 เดือน
น้าผม(เป็นน้องสาวของพ่อแต่ผมเรียกน้า) โทรมาบอกกลางดึกว่าตอนนี้ปู่หลับไปปลุกยังไงก็ไม่ตื่น ส่งตัวไปที่โรงบาลในเมืองแล้วหมอบอกว่าเส้นเลือดในสมองแตกเลือดคลั่งในสมองมาก ต้องรีบผ่าตัดแต่โอกาศรอดก็คือ50-50เพราะปู่ผมแก่มากแล้วร่างกายก็ไม่แข็งแรง ให้ญาติรีบตัดสินใจ ในขณะที่ผมกับน้ากำลังลังเลกันอยู่ว่าจะทำยังไง ข่าวร้ายก็มาเยือนปู่ผมท่านทนไม่ไหว ท่านได้จากไปแล้ว
ผมกลับบ้านเกิดอีกครั้ง
งานศพของพ่อผม งานศพของปู่ผม ถัดกันแค่หนึ่งเดือน ตอนนี้ผมไม่มีความรู้สึกอะไรอีกแล้วไม่มีแม้กระทั้งความเศร้าไม่มีแม้กระทั่งความสุข เหมือนกลายเป็นคนที่ไม่มีความรู้สึก
ตอนนี้โลกของผมมันไม่เหลืออะไรแล้ว ญาติของผมในตอนนี้มี แม่ น้า น้องอีกสามคน ( น้องต่างพ่อ2คน ลูกของน้า1คน ) แต่ทั้งหมดนี้เขาก็ไม่ได้รู้จักตัวตนผมจริงๆแบบที่พ่อกับปู่รู้จัก และผมสัมผัสได้ว่าพวกเขาก็ไม่ได้รักผมเหมือนที่พ่อกับปู่รักผม
แม่กับน้าผมก็เอาแต่พูดเรื่องเงิน มันไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกผมจริงๆว่าผมกำลังแบกรับความรู้สึกอะไรอยู่
ตั้งแต่เรื่องทั้งหมดก็ผ่านมานี่ก็ผ่านมาจนสิ้นปีแล้ว ผมยังจมอยู่กับการคิดถึงพ่อกับปู่ทุกคืน คนรอบตัวผมก็เอาแต่พูดเรื่องเงิน
ชีวิตของผมตอนนี้คือทำงานกลับบ้านกินข้าวอาบน้ำนอน
ผมออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกแต่ชื่อก็ยังเป็นพลทหาร ไม่สามารถทำอะไรได้จนกว่าจะครบ 2 ปี ถึงจะได้ปลดจากการเป็นทหารเกณฑ์
ปีนี้เป็นปีที่แย่มากสำหรับผม
ชีวิตผมมันพังทลายไปหมดจนกระทั่งตอนนี้ความรู้สึกของผมก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติผมไม่เศร้าผมไม่ยิ้มผมไม่ร้องไห้ผมไม่มีความสุขหรือว่ามีความรู้สึกกับอะไรทั้งสิ้น
ผมรู้แค่อย่างเดียวคือตัวผมนั้นโดดเดียวอ้างว้าง เดียวดายและทรมาน
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ