มาเลเซีย-ฟิลิปปินส์-อินโดฯ-สิงคโปร์ เมินคําเชิญไทย ไม่เข้าร่วมประชุมเรื่องวิกฤตเมียนมา ที่กรุงเทพฯ
https://thematter.co/brief/193454/193454
เมื่อวานนี้ (22 ธันวาคม) ประเทศไทย นำโดย ดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพิ่งเป็นเจ้าภาพในการ ‘หารืออย่างไม่เป็นทางการ’ เกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา โดยที่รองนายกฯ ดอน เป็นผู้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจากประเทศในอาเซียนด้วยตนเอง
ปัญหาก็คือ ชาติหลักๆ ในอาเซียนหลายชาติ กลับไม่ได้เข้าร่วมประชุม แม้จะมีการเชิญแล้วก็ตาม ประเทศที่ไม่ได้เข้าร่วมประกอบไปด้วย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย (ซึ่งจะรับบทบาทเป็นประธานอาเซียนในปีหน้าด้วย) สิงคโปร์ รวมถึงบรูไน ก็ไม่ปรากฏว่าเข้าร่วมการประชุมเช่นเดียวกัน
ประเด็นหลัก ที่สื่อต่างประเทศหลายแห่งให้ความสนใจ ก็คือ งานนี้มีผู้แทนระดับสูงจากเมียนมาเข้าร่วมหลายคน
แถลงการณ์ของเมียนมาระบุว่า มีทั้ง วันนะ หม่อง ลวิน (Wunna Maung Lwin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คาน ซอว์ (Kan Zaw) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ และ โก โก หล่าย (Ko Ko Hlaing) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความร่วมมือระหว่างประเทศ
ทั้ง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการว่าเหตุใดจึงไม่ได้เข้าร่วม ขณะที่อินโดนีเซียและเวียดนาม ระบุว่า นักการทูตระดับสูงของทั้ง 2 ประเทศ กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมการจัดการเยือนกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย อย่างเป็นทางการ ของประธานาธิบดีเวียดนาม
แต่สำนักข่าว Reuters ก็รายงานอ้างอิงแหล่งข่าวทางการทูตของสิงคโปร์ว่า สาเหตุที่ไม่เข้าร่วมเป็นเพราะการปรากฏตัวของผู้แทนเมียนมา โดยมีจดหมายจากกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ ส่งถึงเจ้าภาพ ก็คือไทย คัดค้านการจัดงานดังกล่าว เนื่องจากอาเซียนเคยตกลงกันมาก่อนแล้ว ว่าจะไม่ให้รัฐบาลเผด็จการเมียนมาเข้าร่วมการประชุมใดๆ ในลักษณะนี้
“การประชุมใดๆ ที่จัดขึ้นภายใต้อาเซียน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ไม่ควรผิดแปลกไปจากการตัดสินใจนี้” คือบางส่วนในจดหมายของสิงคโปร์ถึงไทย
ในเรื่องนี้ กาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เพิ่งแถลงในวันนี้ (23 ธันวาคม) ว่า “การประชุมครั้งนี้ไม่ใช่การประชุมอาเซียน เป็นการหารือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลกระทบโดยตรง และก็อยากจะเห็นทางออก อย่างนั้นก็ไม่ถือเป็นการไปกีดกันหรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการในกระบวนการอาเซียน ในทางตรงกันข้าม อันนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดความคืบหน้าในกระบวนการหาหนทางออกแก้ไขปัญหา
“ขอเรียนย้ำว่า อันนี้เป็นความพยายามที่จะเกื้อหนุน สนับสนุนและเกื้อกูลต่อกระบวนการทำงานของอาเซียน เพราะว่าที่ผ่านมาก็เป็นเวลากว่า 1 ปี แล้ว ที่อาเซียนไม่ได้มีโอกาสหารือในระดับรัฐมนตรี หรือฟังตรงๆ กับทางฝ่ายเมียนมาในระดับสูง” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าว
กาญจนายังเล่าถึงบรรยากาศการประชุมด้วยว่า เป็น “บรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ และเป็นกันเอง” โดยเป็นการหารือใน “ห้วงของอาหารกลางวัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา และสร้างสรรค์ เราต้องการเน้นให้เกิด เราต้องการเน้นให้เกิดปฏิสัมพันธ์ที่เกิดผลที่ปฏิบัติได้จริง เป็นรูปธรรม”
อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์การประชุมก็ไม่ได้มีให้เห็นเป็นรูปธรรม กาญจนาอธิบายว่า เพราะเป็นการหารืออย่างไม่เป็นทางการ จึงไม่มีการแจกเอกสารผลลัพธ์การประชุมแต่อย่างใด แต่เธอก็ย้ำด้วยว่า ประเด็นที่การหารือครั้งให้ความสำคัญ คือ การอำนวยความสะดวกในเรื่องความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม การลดผลกระทบทางมนุษยธรรมต่อประชาชนเมียนมาเองและประชาชนตามแนวชายแดน รวมถึงการปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (21 ธันวาคม) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council) ก็เพิ่งลงมติ 12-0 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง (จีน อินเดีย และรัสเซีย) รับข้อมติที่ 2669 (2022) เรียกร้องให้ยุติความรุนแรงทุกรูปแบบในเมียนมาโดยทันที เรียกร้องให้มีการลดระดับความขัดแย้ง และให้กองทัพเมียนมาปล่อยตัวนักโทษที่ถูกจับกุมอย่างไม่ชอบธรรมโดยทันทีด้วย
“ชูศักดิ์” เย้ย “ประยุทธ์” อยากเป็นนายกฯต่อ ก็พูดตรงๆ แนะ “พปชร.” ถอนตัวเป็นแกนนำรบ. ชวนเลิก ม.272
https://www.matichon.co.th/politics/news_3740412
“ชูศักดิ์” เย้ย “ประยุทธ์” อยากเป็นนายกฯต่อ ก็พูดตรงๆ แนะ “พปชร.” ถอนตัวเป็นแกนนำรบ. ชวนเลิก ม.272 คืนอำนาจพรรคการเมือง
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม นาย
ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค และประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า จากกรณี พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศเป็นสมาชิก และจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยอ้างว่าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งเคยเสนอชื่อตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีได้ประกาศให้ พล.อ.
ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไปแล้วนั้น ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงการเมืองไทยในกะลา (ครอบ) ถอยหลังลงคลอง อ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ
นาย
ชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า ถ้าตนเองเป็นพรรค พปชร.จะทบทวนการเป็นรัฐบาล ทั้งนี้ การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พปชร.เสนอชื่อพล.อ.
ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ทั้งที่พล.อ.
ประยุทธ์ มิได้เป็นแม้แต่สมาชิกพรรคตนเองจึงต้องไปอยู่พรรคอื่น เป็นการให้เหตุผลที่ไม่มีตรรกะอะไรเลย จริงๆ ตนเองอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ ก็ให้เหตุผลไปตรงไปตรงมา ไม่ต้องไปอ้างว่า พปชร.เสนอชื่อคนอื่น เหมือนว่ามิได้เสนอชื่อตนเอง จะเสนอชื่อได้อย่างไร ใครๆ เขาก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าแตกกันมานานแล้ว
นาย
ชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนขอฝากถึงพรรค พปชร.ในฐานะที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมา เมื่อพรรคของตนเองเสนอชื่อพล.อ.
ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อพล.อ.
ประยุทธ์ ได้แสดงให้เห็นว่าไม่ประสงค์จะช่วยพรรค พปชร.อีกต่อไปแล้ว พรรค พปชร.ก็ควรจะแสดงเจตนาถอนตัวจากการเป็นแกนนำรัฐบาลเพื่อแสดงความรับผิดชอบที่ตนเองเป็นฝ่ายเสนอให้พล.อ.
ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาล การประกาศตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมือง
นาย
ชูศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ขณะที่เรารับรู้กันว่าพล.อ.
ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 8 ปี ถ้าจะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกก็เป็นได้แค่ 2 ปี ประชาชนทั่วไปรับรู้ว่าพล.อ.
ประยุทธ์ บริหารประเทศมา 8 ปี ผลสำรวจของประชาชนตลอดมา ก็รับรู้กันว่าเป็นเช่นไร จึงอดคิดไม่ได้ว่าอาจมีการใช้อำนาจแย่งชิงการจัดตั้งรัฐบาลโดยสวนกระแสความต้องการของประชาชนคล้ายกับการเลือกตั้งที่ผ่านมา และจะเป็นเรื่องที่ท้าทายต่อความรู้สึกของพี่น้องประชาชนเป็นอย่างยิ่ง
“
คณิตศาสตร์ทางการเมือง ขณะนี้มีว่าพรรคการเมืองที่พล.อ.ประยุทธ์ จะไปอยู่นั้น จะมีคะแนนเสียงเป็นกอบเป็นกำที่จะอ้างความชอบธรรมสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ บางท่านถึงกับวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะได้ถึง 25 เสียงหรือไม่ กรณีเช่นนี้หนีไม่พ้นว่าจะต้องอาศัยเสียงของส.ว.เข้ามาช่วยสนับสนุนร่วมโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี ถึงจะได้เป็น จึงขอฝากถึงพรรคการเมืองทั้งหลายช่วยกันสนับสนุนเรื่องของการยกเลิกมาตรา 272 ให้อำนาจการจัดตั้งรัฐบาลมาอยู่ในอำนาจดุลพินิจของพรรคการเมือง และขอฝากถึงท่านส.ว.ทั้งหลายว่าครั้งก่อนท่านโหวตให้พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค พปชร. ในครั้งนี้เปลี่ยนพรรคแล้วท่านยังจะโหวตให้อีกหรือไม่ ทางที่ดีที่สุดเพื่อความยุติธรรม เสมอภาค ไม่มีตัวช่วย การเมืองเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ให้โอกาสกันมา 8 ปีแล้ว ช่วยกันยกเลิกมาตรา 272 จะเป็นทางออกของประเทศที่ดีที่สุด” นาย
ชูศักดิ์ กล่าว
ณัฐชา เย้ย ประยุทธ์ หลังชนฝา ประกาศนั่งแคนดิเดตนายกฯ รทสช. แค่กลบกระแสเรือล่ม
https://www.matichon.co.th/politics/news_3740258
‘ณัฐชา’ เย้ย ‘ประยุทธ์’ ประกาศนั่งแคนดิเดตนายกฯ ให้ ‘รทสช.’ แค่เบี่ยงประเด็น ปกป้องกองทัพ-กลบกระแสเรือล่ม
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม นาย
ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พรรคร่วมฝ่ายค้านจะต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไรหรือไม่ ว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.
ประยุทธ์ ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แต่ตอนนี้ก็เป็นไปตามกระแสข่าวที่คาดการณ์กัน คือการไปตั้งพรรคใหม่ และแยกทางกับ พล.อ.
ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่เคยสนับสนุน พล.อ.
ประยุทธ์ เป็นนายกฯ คิดว่าคนแบบนี้พี่น้องประชาชนทราบดีว่าเป็นคนประเภทไหน ส่วนพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่ต้องเตรียมตัวอะไร แค่นายกฯ แข่งกับคะแนนนิยมของตัวเอง ตนคิดว่าก็เหนื่อยและไปต่อได้ยาก จนไม่ต้องมาแข่งกับพรรคร่วมฝ่ายค้านแล้ว เมื่อไปอยู่กับพรรค รทสช. จะได้ส.ส.ถึง 25 เสียง เพื่อเสนอแคนดิเดตนายกฯ ได้หรือไม่ ตนก็ไม่ขอสบประมาท
เมื่อถามว่า การเปิดตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค รทสช. ในขณะที่พรรค พปชร. จะเสนอชื่อ พล.อ.
ประวิตร จะเป็นผลดีผลเสียระหว่างกันอย่างไร นาย
ณัฐชากล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าจะเป็นผลดีผลเสียต่อ พล.อ.
ประยุทธ์ และ พล.อ.
ประวิตร หรือไม่ แต่จะเป็นผลเสียกับพี่น้องประชาชนแน่นอน เพราะเป็นการปู้ยี่ปู้ยำประเทศ เมื่อนานาชาติได้เห็นก็งงไปตามๆ กันว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ที่สองนายพล ซึ่งออกจากกองทัพเพื่อมายึดอำนาจจากประชาชนกำลังจะสืบทอดอำนาจต่อ แม้รัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นมาเอง จะเขียนกติกาว่า พล.อ.
ประยุทธ์ สามารถเป็นนายกฯ ต่อได้อีก 2 ปีก็ตาม หมายความว่า พล.อ.
ประยุทธ์ กำลังทำร้ายประเทศชาติ และความรู้สึกของประชาชน โดยไม่สนใจความทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชนที่ต้องเผชิญอยู่กับวิกฤตต่างๆ
ถามว่า เหตุใด พล.อ.
ประยุทธ์ จึงมาประกาศชัดเจนในช่วงนี้ นายณัฐชากล่าวว่า จังหวะในการสื่อสารของ พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงนี้เพราะกำลังหลังชนฝา เนื่องจากขณะนี้เกิดเหตุเรือรบหลวงสุโขทัยล่ม พล.อ.
ประยุทธ์ เป็นนายกฯ มา 8 ปี ตั้งแต่ยึดอำนาจ ยังทำให้กองทัพดีขึ้นไม่ได้เลย และวันนี้ยังเกิดความสูญเสียกับกองทัพและกำลังพลอย่างต่อเนื่อง เมื่อกระแสสังคมถาโถมไปยังกองทัพอย่างหนัก พล.อ.
ประยุทธ์ จึงจำเป็นต้องช่วยองคาพยพและพี่น้องของตัวเอง จึงใช้การประกาศเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค รทสช. เพื่อจบกระแส และแทรกประเด็นพื้นที่ข่าว แต่ความจริงกินอยู่หลับนอนกับพรรค รทสช. มานานแล้ว อย่างไรก็ตาม การเบี่ยงประเด็นนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ยิ่งเป็นการทำร้ายประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า
JJNY : 5in1 เมินคำเชิญ|“ชูศักดิ์”เย้ยอยากเป็นนายกฯต่อ| ณัฐชาเย้ยประยุทธ์| โรมจี้‘สมศักดิ์’| น้ำมันโลกพุ่งกว่า 1%
https://thematter.co/brief/193454/193454
ปัญหาก็คือ ชาติหลักๆ ในอาเซียนหลายชาติ กลับไม่ได้เข้าร่วมประชุม แม้จะมีการเชิญแล้วก็ตาม ประเทศที่ไม่ได้เข้าร่วมประกอบไปด้วย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย (ซึ่งจะรับบทบาทเป็นประธานอาเซียนในปีหน้าด้วย) สิงคโปร์ รวมถึงบรูไน ก็ไม่ปรากฏว่าเข้าร่วมการประชุมเช่นเดียวกัน
ประเด็นหลัก ที่สื่อต่างประเทศหลายแห่งให้ความสนใจ ก็คือ งานนี้มีผู้แทนระดับสูงจากเมียนมาเข้าร่วมหลายคน
แถลงการณ์ของเมียนมาระบุว่า มีทั้ง วันนะ หม่อง ลวิน (Wunna Maung Lwin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คาน ซอว์ (Kan Zaw) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ และ โก โก หล่าย (Ko Ko Hlaing) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความร่วมมือระหว่างประเทศ
ทั้ง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการว่าเหตุใดจึงไม่ได้เข้าร่วม ขณะที่อินโดนีเซียและเวียดนาม ระบุว่า นักการทูตระดับสูงของทั้ง 2 ประเทศ กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมการจัดการเยือนกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย อย่างเป็นทางการ ของประธานาธิบดีเวียดนาม
แต่สำนักข่าว Reuters ก็รายงานอ้างอิงแหล่งข่าวทางการทูตของสิงคโปร์ว่า สาเหตุที่ไม่เข้าร่วมเป็นเพราะการปรากฏตัวของผู้แทนเมียนมา โดยมีจดหมายจากกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ ส่งถึงเจ้าภาพ ก็คือไทย คัดค้านการจัดงานดังกล่าว เนื่องจากอาเซียนเคยตกลงกันมาก่อนแล้ว ว่าจะไม่ให้รัฐบาลเผด็จการเมียนมาเข้าร่วมการประชุมใดๆ ในลักษณะนี้
“การประชุมใดๆ ที่จัดขึ้นภายใต้อาเซียน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ไม่ควรผิดแปลกไปจากการตัดสินใจนี้” คือบางส่วนในจดหมายของสิงคโปร์ถึงไทย
ในเรื่องนี้ กาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เพิ่งแถลงในวันนี้ (23 ธันวาคม) ว่า “การประชุมครั้งนี้ไม่ใช่การประชุมอาเซียน เป็นการหารือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลกระทบโดยตรง และก็อยากจะเห็นทางออก อย่างนั้นก็ไม่ถือเป็นการไปกีดกันหรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการในกระบวนการอาเซียน ในทางตรงกันข้าม อันนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดความคืบหน้าในกระบวนการหาหนทางออกแก้ไขปัญหา
“ขอเรียนย้ำว่า อันนี้เป็นความพยายามที่จะเกื้อหนุน สนับสนุนและเกื้อกูลต่อกระบวนการทำงานของอาเซียน เพราะว่าที่ผ่านมาก็เป็นเวลากว่า 1 ปี แล้ว ที่อาเซียนไม่ได้มีโอกาสหารือในระดับรัฐมนตรี หรือฟังตรงๆ กับทางฝ่ายเมียนมาในระดับสูง” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าว
กาญจนายังเล่าถึงบรรยากาศการประชุมด้วยว่า เป็น “บรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ และเป็นกันเอง” โดยเป็นการหารือใน “ห้วงของอาหารกลางวัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา และสร้างสรรค์ เราต้องการเน้นให้เกิด เราต้องการเน้นให้เกิดปฏิสัมพันธ์ที่เกิดผลที่ปฏิบัติได้จริง เป็นรูปธรรม”
อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์การประชุมก็ไม่ได้มีให้เห็นเป็นรูปธรรม กาญจนาอธิบายว่า เพราะเป็นการหารืออย่างไม่เป็นทางการ จึงไม่มีการแจกเอกสารผลลัพธ์การประชุมแต่อย่างใด แต่เธอก็ย้ำด้วยว่า ประเด็นที่การหารือครั้งให้ความสำคัญ คือ การอำนวยความสะดวกในเรื่องความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม การลดผลกระทบทางมนุษยธรรมต่อประชาชนเมียนมาเองและประชาชนตามแนวชายแดน รวมถึงการปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (21 ธันวาคม) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council) ก็เพิ่งลงมติ 12-0 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง (จีน อินเดีย และรัสเซีย) รับข้อมติที่ 2669 (2022) เรียกร้องให้ยุติความรุนแรงทุกรูปแบบในเมียนมาโดยทันที เรียกร้องให้มีการลดระดับความขัดแย้ง และให้กองทัพเมียนมาปล่อยตัวนักโทษที่ถูกจับกุมอย่างไม่ชอบธรรมโดยทันทีด้วย
“ชูศักดิ์” เย้ย “ประยุทธ์” อยากเป็นนายกฯต่อ ก็พูดตรงๆ แนะ “พปชร.” ถอนตัวเป็นแกนนำรบ. ชวนเลิก ม.272
https://www.matichon.co.th/politics/news_3740412
“ชูศักดิ์” เย้ย “ประยุทธ์” อยากเป็นนายกฯต่อ ก็พูดตรงๆ แนะ “พปชร.” ถอนตัวเป็นแกนนำรบ. ชวนเลิก ม.272 คืนอำนาจพรรคการเมือง
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค และประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศเป็นสมาชิก และจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยอ้างว่าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งเคยเสนอชื่อตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีได้ประกาศให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไปแล้วนั้น ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงการเมืองไทยในกะลา (ครอบ) ถอยหลังลงคลอง อ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ
นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า ถ้าตนเองเป็นพรรค พปชร.จะทบทวนการเป็นรัฐบาล ทั้งนี้ การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พปชร.เสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ทั้งที่พล.อ.ประยุทธ์ มิได้เป็นแม้แต่สมาชิกพรรคตนเองจึงต้องไปอยู่พรรคอื่น เป็นการให้เหตุผลที่ไม่มีตรรกะอะไรเลย จริงๆ ตนเองอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ ก็ให้เหตุผลไปตรงไปตรงมา ไม่ต้องไปอ้างว่า พปชร.เสนอชื่อคนอื่น เหมือนว่ามิได้เสนอชื่อตนเอง จะเสนอชื่อได้อย่างไร ใครๆ เขาก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าแตกกันมานานแล้ว
นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนขอฝากถึงพรรค พปชร.ในฐานะที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมา เมื่อพรรคของตนเองเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ ได้แสดงให้เห็นว่าไม่ประสงค์จะช่วยพรรค พปชร.อีกต่อไปแล้ว พรรค พปชร.ก็ควรจะแสดงเจตนาถอนตัวจากการเป็นแกนนำรัฐบาลเพื่อแสดงความรับผิดชอบที่ตนเองเป็นฝ่ายเสนอให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาล การประกาศตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมือง
นายชูศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ขณะที่เรารับรู้กันว่าพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 8 ปี ถ้าจะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกก็เป็นได้แค่ 2 ปี ประชาชนทั่วไปรับรู้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศมา 8 ปี ผลสำรวจของประชาชนตลอดมา ก็รับรู้กันว่าเป็นเช่นไร จึงอดคิดไม่ได้ว่าอาจมีการใช้อำนาจแย่งชิงการจัดตั้งรัฐบาลโดยสวนกระแสความต้องการของประชาชนคล้ายกับการเลือกตั้งที่ผ่านมา และจะเป็นเรื่องที่ท้าทายต่อความรู้สึกของพี่น้องประชาชนเป็นอย่างยิ่ง
“คณิตศาสตร์ทางการเมือง ขณะนี้มีว่าพรรคการเมืองที่พล.อ.ประยุทธ์ จะไปอยู่นั้น จะมีคะแนนเสียงเป็นกอบเป็นกำที่จะอ้างความชอบธรรมสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ บางท่านถึงกับวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะได้ถึง 25 เสียงหรือไม่ กรณีเช่นนี้หนีไม่พ้นว่าจะต้องอาศัยเสียงของส.ว.เข้ามาช่วยสนับสนุนร่วมโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี ถึงจะได้เป็น จึงขอฝากถึงพรรคการเมืองทั้งหลายช่วยกันสนับสนุนเรื่องของการยกเลิกมาตรา 272 ให้อำนาจการจัดตั้งรัฐบาลมาอยู่ในอำนาจดุลพินิจของพรรคการเมือง และขอฝากถึงท่านส.ว.ทั้งหลายว่าครั้งก่อนท่านโหวตให้พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค พปชร. ในครั้งนี้เปลี่ยนพรรคแล้วท่านยังจะโหวตให้อีกหรือไม่ ทางที่ดีที่สุดเพื่อความยุติธรรม เสมอภาค ไม่มีตัวช่วย การเมืองเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ให้โอกาสกันมา 8 ปีแล้ว ช่วยกันยกเลิกมาตรา 272 จะเป็นทางออกของประเทศที่ดีที่สุด” นายชูศักดิ์ กล่าว
ณัฐชา เย้ย ประยุทธ์ หลังชนฝา ประกาศนั่งแคนดิเดตนายกฯ รทสช. แค่กลบกระแสเรือล่ม
https://www.matichon.co.th/politics/news_3740258
‘ณัฐชา’ เย้ย ‘ประยุทธ์’ ประกาศนั่งแคนดิเดตนายกฯ ให้ ‘รทสช.’ แค่เบี่ยงประเด็น ปกป้องกองทัพ-กลบกระแสเรือล่ม
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พรรคร่วมฝ่ายค้านจะต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไรหรือไม่ ว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แต่ตอนนี้ก็เป็นไปตามกระแสข่าวที่คาดการณ์กัน คือการไปตั้งพรรคใหม่ และแยกทางกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่เคยสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ คิดว่าคนแบบนี้พี่น้องประชาชนทราบดีว่าเป็นคนประเภทไหน ส่วนพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่ต้องเตรียมตัวอะไร แค่นายกฯ แข่งกับคะแนนนิยมของตัวเอง ตนคิดว่าก็เหนื่อยและไปต่อได้ยาก จนไม่ต้องมาแข่งกับพรรคร่วมฝ่ายค้านแล้ว เมื่อไปอยู่กับพรรค รทสช. จะได้ส.ส.ถึง 25 เสียง เพื่อเสนอแคนดิเดตนายกฯ ได้หรือไม่ ตนก็ไม่ขอสบประมาท
เมื่อถามว่า การเปิดตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค รทสช. ในขณะที่พรรค พปชร. จะเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร จะเป็นผลดีผลเสียระหว่างกันอย่างไร นายณัฐชากล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าจะเป็นผลดีผลเสียต่อ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร หรือไม่ แต่จะเป็นผลเสียกับพี่น้องประชาชนแน่นอน เพราะเป็นการปู้ยี่ปู้ยำประเทศ เมื่อนานาชาติได้เห็นก็งงไปตามๆ กันว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ที่สองนายพล ซึ่งออกจากกองทัพเพื่อมายึดอำนาจจากประชาชนกำลังจะสืบทอดอำนาจต่อ แม้รัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นมาเอง จะเขียนกติกาว่า พล.อ.ประยุทธ์ สามารถเป็นนายกฯ ต่อได้อีก 2 ปีก็ตาม หมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ กำลังทำร้ายประเทศชาติ และความรู้สึกของประชาชน โดยไม่สนใจความทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชนที่ต้องเผชิญอยู่กับวิกฤตต่างๆ
ถามว่า เหตุใด พล.อ.ประยุทธ์ จึงมาประกาศชัดเจนในช่วงนี้ นายณัฐชากล่าวว่า จังหวะในการสื่อสารของ พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงนี้เพราะกำลังหลังชนฝา เนื่องจากขณะนี้เกิดเหตุเรือรบหลวงสุโขทัยล่ม พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ มา 8 ปี ตั้งแต่ยึดอำนาจ ยังทำให้กองทัพดีขึ้นไม่ได้เลย และวันนี้ยังเกิดความสูญเสียกับกองทัพและกำลังพลอย่างต่อเนื่อง เมื่อกระแสสังคมถาโถมไปยังกองทัพอย่างหนัก พล.อ.ประยุทธ์ จึงจำเป็นต้องช่วยองคาพยพและพี่น้องของตัวเอง จึงใช้การประกาศเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค รทสช. เพื่อจบกระแส และแทรกประเด็นพื้นที่ข่าว แต่ความจริงกินอยู่หลับนอนกับพรรค รทสช. มานานแล้ว อย่างไรก็ตาม การเบี่ยงประเด็นนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ยิ่งเป็นการทำร้ายประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า