ในวันนี้เราจะไปสำรวจธรรมชาติ กันที่ เด่นช้างนอน โดยเด่นช้างนอนตั้งอยู่ที่ ตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว โดยฝืนป่าแห่งนี้อยู่ในความดูแล
ของ อช.ภูคามีเนื้อที่ทั้งหมด 3,000 ไร่ โดยป่าแห่งนี้เป็นป่าที่ อุทยานขอคืนจากชาวบ้านเมื่อ 40 ปีแล้วและทำการร่วมมือกับชาวบ้าน
ทำปลูกป่าขึ้นมาใหม่ ดังนั้นป่าที่เราเห็นในช่วงต้น-กลาง ของการเดินนั้นเป็นป่าที่ ถูกปลูกขึ้นและมีอายุไม่นานเลย แต่มันกลับทำให้เรา
อื่มเอมใจอย่างมากเมื่อรู้ว่า อย่างน้อยมันก็ถูกฟื้นฟูเพื่อให้ความสวยงามและชิวิต แก่พวกเราต่อไป
คำว่าเด่นช้างนอน จากคำบอกเล่าของลุงวิเชียร ความว่า เมื่อก่อนป่าแห่งนี้ได้ถูกใช้ประโยชน์ โดยชาวบ้านในการทำไร่ ตัดไม้เพื่อนำมา
ทำฝืน และสร้างบ้าน ทำให้ต้องมีการใช้ช้างจำนวนมากในการ ลากไม้ และถางพื้นที่ ทำให้เกิดการทำ ลานที่ให้น้องช้างได้พักหลังจาก
ทำงานบริเวณบนภูเขาแห่งนี้ โดยลานในภาษาถิ่นจะเรียกว่า เด่น จึงเป็นที่มาของชื่อ เด่นช้างนอน
รายละเอียดการจองตามได้ที่เพจ วิสาหกิจชุมชน "เส้นทางศึกษาธรรมชาติเดินป่าเด่นช้างนอน จ.น่าน"
https://www.facebook.com/profile.php?id=100085024370055
ในครั้งนี้เราเริ่มเดินทางจากรุงเทพ ในบ่ายวันพฤหัส ทำการนอนพักในบริเวณเมืองน่าน 1 คืน เพื่อที่หวังว่าเราจะมีร่างกายที่พร้อมในการเดินขึ้น
ทางที่ ขึ้นชื่อว่า ชันเป็นอันดับต้นๆของประเทศไทย หลังจากรับกาแฟเข้าร่างกาย เราทำการมุ่งหน้าสู่ น้ำตกศิลาเพชรอันเป็นจุดเริ่มเดินของเรา
โดยจากตัวเมือง น่านเราจะเดินทางกัน 60 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
เราเดินทางมาถึงจุดรวมพลของเราบริเวณ ทางเข้าของน้ำตกศิลาเพชร โดยมีลุงสังเวียน และ ลุงวิเชียร ยืนรอพวกเราอยู่แล้ว ใครที่นำรถมาเราสามารถ
จอดไว้ที่นี้ได้เลย ปลอดภัย มีรั้วรอบขอบชิด
จัดแจงเตรียมของ จ่ายค่าอุทยาน รอคนในทีม เตรียมตัวเดินทาง โดยในการเดินในครั้งนี้ พวกเราจะถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มละ 10 คน โดยพวกเราได้อยู่กลุ่มที่ 2 ที่มีสมาชิกกันแค่ 4 คนเนื่องจากคนอื่นในทีมในได้ทำการถอนตัวออกไป เวลาประมาณ 9.30 เราเดินเข้ามาบริเวณน้ำตกศิลาเพชร ซึ่งอยู่ติดกับจุดรวมพลเพื่อทำการเริ่มขึ้นเขากัน โดยในวันนี้เราจะเดินระยะทางประมาณ 7 กม. เพื่อไปยังจุดตั้งแค้มป์ในคืนแรก
เอาเป้ของเราขึ้นหลัง เริ่มเดินมาได้ประมาณ 50 ม.เราก็พบว่าทางเดินที่นำเราสู่ยอดเขาในวันนี้ คงจะทำให้ออกเสียเหงื่อได้มากทีเดียว
ทางเดินขึ้นจะเป็นทางชันอย่างเดียว ขึ้นกับว่าจะชั้นมากหรือชันน้อย ในช่วงแรกยุงจะค่อนข้างเยอะทีเดียว ฉะนั้นอย่าลืมกางเกงขายาวแขนยาว หรือเสปรย์กันยุงกันนะครับ
เนื่องจากเป็นป่าใหม่ ก็จะไม่ได้รกอะไรมากมาย อากาศค่อนข้างเย็น ยิ่งสูงขึ้นก็เย็นขึ้นเรื่อยๆพวกเราเดินไป เล่นต่อเพลงกันไป
เพื่อให้ลืมความทรมานของขาในตอนนี้
เดินมาซักพักเราก็เจอกับป้ายจุดเติมน้ำ ผมจัดแจงลงเป้เตรียมที่จะเดินลงไปเติมน้ำเพื่อนำไปใช้ที่แคมป์
แต่พอลงไปแล้วกลับพบว่า มันไม่มีน้ำ !!!!
เรื่องน้ำทำให้ผมกังวลใจทีเดียว เพราะทราบมาว่าข้างบนนั้นไม่มีแหล่งน้ำใดๆ และน้ำที่เราเตรียมมาก็ดื่มไปจวนจะหมดแล้ว จนกระทั่ง
เดินมาอีกซักพักแล้วเจอความชัน ของเขาลูกที่ 1 ลูกที่ 2 ความชันที่ดูจะไม่สิ้นสุดของมันทำให้ผมลืมเรื่องน้ำไปสนิท
หลังจากแข็งใจเดินข้ามเขาลูกที่สาม เราก็ได้พบกับสัญญานว่าเรามาถึงจุดตั้งแคมป์แล้ว โดยเราใช้เวลาไปประมาณ 5 ชม.
โดยเจ้าหน้าที่จะแบ่งจุดตั้งแคมป์เป็นสามจุดตามกลุ่มที่เราอยู่ เราจะเดินผ่านแคมป์ของกลุ่มที่ 1 2 และ 3 ตามลำดับ โดยเราจะได้
กางเต้นท์กันในจุดที่ 2 แอบกระซิบว่าความสวยของวิวที่จุดกางเต้นท์ก็เรียงตามลำดับเหมือนกัน คือ 1 ไม่มีวิว 2 สวย 3 สวยมาก
ทำการ เลือกวิวกันแบบตามสบาย เพราะกลุ่มเรามีกันแค่ 4 คน
พักผ่อนกินข้าวเที่ยงของเราที่ลากมากินตอนบ่าย นั่งชมวิว จากหน้าเต้นท์โดยผมยกให้ที่นี้เป็นจุดกางเต้นท์ที่วิว สวยที่สุดตั้งแต่ เดินป่ามาเลย
ลุงสังเวียน ทำการเตรียมแคร่ไม้ไผ่ เพื่อให้เรา 4 คนกินข้าวกันในคืนนี้
หลังจากนั้นไม่นานพระอากาศก็ลาขอบฟ้าไป เรานำของที่เตรียมมากันอย่างง่ายๆมา กินกัน ด้วยความหิว ทุกอย่างเลยถูกจัดการอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศพวกเราในตอนกินข้าวเย็น นับเป็นช่วงเวลาที่ดีทีเดียว
หลังจากเข้าพักผ่อนกันตั้งแต่ยังไม่สองทุ่มด้วยความเหนื่อย เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับวิวที่น่าสนใจทีเดียว
อาหารเช้ามื้อง่าย ตามด้วยการขุดส้วมหลุมของตัวเอง พร้อมชมวิวหมอกยามเช้าไปด้วย
เวลาประมาณ 9.30 ลุงสังเวียนได้พาเราทั้งสี่เดินขึ้นผ่านสันเขา
บรรยากาศในช่วงเวลานั้นช่างแปลกประหลาด เวลาเพียงเสี้ยวนาทีหมอกหนาเปลี่ยนเป็นฟ้าใส และทั้งในทาง
กลับกันได้อย่างน่าทึ่ง
พระเอกของเรา ผู้ทั้งนำทาง ทำทางเดิน หาน้ำให้เรา อีกทั้งรับบทท่องคาถาไล่หมอกเพื่อหวังจะให้เราพบกับฟ้าที่สวยงาม
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราได้สัมผัสด้วยตาวันนี้ มันช่างวิเศษที่สุดแล้ว
เราเริ่มทำการไต่ลงมาจากสันเขา
เวลาประมาณ 11 โมง ลุงสังเวียนบอกให้เราปลดเป้ ทิ้งไว้ตรงนี้ก่อน แกจะพาเข้าใบดูใบเมเปิ้ลแดง พวกเราไม่ลังเล ปลดเป้เตรียมตัวกันเดินเข้าไปทันที
ลุงนำเราเดินเข้าไปในป่าค่อนข้างรก ระยะทางไม่ไกลประมาณ 1 กิโลแต่บรรยากาศกลับแปลกไปจากที่เราเดินผ่านมา
ป่านี้เป็นป่าตั้งเดิมที่ไม่ได้ถูกทำลายในครั้งที่ภูเขาแห่งนี้กลายเป็นแหล่งทำกินของชาวบ้าน
ใบเมเปิ้ลแดงที่ร่วงหล่นเต็มพื้น
อันนี้เป็นต้นเมเปิ้ลแดงที่ลุงสังเวียนสร้างขึ้นให้เราเห็นกันแบบชัดๆ
จุดนี้เป็นจุดที่หมูป่าอาศัยหลับนอน ลุงสังเวียนบอกว่า เจ้าหมูคงพึ่งออกไปหากินเมื่อเช้านี้
รากไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยมอส รูปร่างคล้ายปูยักษ์
หลังจากกลับมาที่จุดที่เราทิ้งกระเป๋าไว้ กินข้าวเที่ยงที่เตรียมมา เราก็เริ่มออกเดินทางต่อเพื่อไปยังแค้มป์ของเรา ระยะทางอีกประมาณ 4 กิโล
แต่ทางที่ทั้งชันและลื่น ก็ทำให้เราต้องใช้เวลาเดินอีกพอสมควรทีเดียว
เวลาประมาณ บ่ายสองครึ่งเราก็มาถึงแค้มป์ของเราในคืนสุดท้าย แค้มป์นี้จะมีลำธารให้เราได้อาบน้ำกันด้วย น้ำเย็นจนเราตัวสั่นเลยที่เดียว
ลุงวิเชียรทำการจัดแจงก่อกองไฟ เราก็กางเต้นท์เตรียมอาหารเย็น
ตั้งวงกินอากาศเย็นกันไป คุยกันไป
เมนูต่างๆ ถูกงัดออกมาเรื่อยๆ เหมือนอะไรๆก็จะอร่อยขึ้นเยอะในป่าแบบนี้
นั่งๆอยู่ก็มีเจ้าตั๊กแตนอยากจะมานั่งร่วมวงด้วย
เช้าวันสุดท้ายหลังจากเราตื่นมา เราเดินตามลุงสังเวียนไปดูวิวแถวๆลานกางเต้นท์
ซักพัก หลังจากอาหารเช้าแบบง่ายๆ ทำการเก็บข้าวของ เราก็เริ่มเดินลงมาที่น้ำตกศิลาเพชรกัน ระยะทางเดินลงประมาณ 6 กิโล
ระหว่างทางจะมีน้ำตกให้แวะล้างหน้าล้างตา นั่งพักกัน
และแล้วเราก็เดินลงมาถึงน้ำตก ศิลาเพชร ลุงสังเวียนพาเราเดินข้ามน้ำให้พอได้ชุ่มช่ำ
เดินทางกลับมาถึงจุดเดิม พวกเราได้อาบน้ำอาบท่าให้สดชื่น เตรียมตัวกลับกัน ก่อนกลับมีน้องหมาตัวโตแวะมาเล่นกับลุงสังเวียนด้วย
จบทริปการเดินทางในครั้งนี้ ขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทางทุกคน ขอบคุณธรรมชาติและสรรพสิ่งรอบตัว ที่งดงามให้เราได้สัมผัส
[CR] เดินป่า เด่นช้างนอน ออนเดอะคลาวด์
ในวันนี้เราจะไปสำรวจธรรมชาติ กันที่ เด่นช้างนอน โดยเด่นช้างนอนตั้งอยู่ที่ ตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว โดยฝืนป่าแห่งนี้อยู่ในความดูแล
ของ อช.ภูคามีเนื้อที่ทั้งหมด 3,000 ไร่ โดยป่าแห่งนี้เป็นป่าที่ อุทยานขอคืนจากชาวบ้านเมื่อ 40 ปีแล้วและทำการร่วมมือกับชาวบ้าน
ทำปลูกป่าขึ้นมาใหม่ ดังนั้นป่าที่เราเห็นในช่วงต้น-กลาง ของการเดินนั้นเป็นป่าที่ ถูกปลูกขึ้นและมีอายุไม่นานเลย แต่มันกลับทำให้เรา
อื่มเอมใจอย่างมากเมื่อรู้ว่า อย่างน้อยมันก็ถูกฟื้นฟูเพื่อให้ความสวยงามและชิวิต แก่พวกเราต่อไป
คำว่าเด่นช้างนอน จากคำบอกเล่าของลุงวิเชียร ความว่า เมื่อก่อนป่าแห่งนี้ได้ถูกใช้ประโยชน์ โดยชาวบ้านในการทำไร่ ตัดไม้เพื่อนำมา
ทำฝืน และสร้างบ้าน ทำให้ต้องมีการใช้ช้างจำนวนมากในการ ลากไม้ และถางพื้นที่ ทำให้เกิดการทำ ลานที่ให้น้องช้างได้พักหลังจาก
ทำงานบริเวณบนภูเขาแห่งนี้ โดยลานในภาษาถิ่นจะเรียกว่า เด่น จึงเป็นที่มาของชื่อ เด่นช้างนอน
รายละเอียดการจองตามได้ที่เพจ วิสาหกิจชุมชน "เส้นทางศึกษาธรรมชาติเดินป่าเด่นช้างนอน จ.น่าน"
https://www.facebook.com/profile.php?id=100085024370055
ในครั้งนี้เราเริ่มเดินทางจากรุงเทพ ในบ่ายวันพฤหัส ทำการนอนพักในบริเวณเมืองน่าน 1 คืน เพื่อที่หวังว่าเราจะมีร่างกายที่พร้อมในการเดินขึ้น
ทางที่ ขึ้นชื่อว่า ชันเป็นอันดับต้นๆของประเทศไทย หลังจากรับกาแฟเข้าร่างกาย เราทำการมุ่งหน้าสู่ น้ำตกศิลาเพชรอันเป็นจุดเริ่มเดินของเรา
โดยจากตัวเมือง น่านเราจะเดินทางกัน 60 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
เราเดินทางมาถึงจุดรวมพลของเราบริเวณ ทางเข้าของน้ำตกศิลาเพชร โดยมีลุงสังเวียน และ ลุงวิเชียร ยืนรอพวกเราอยู่แล้ว ใครที่นำรถมาเราสามารถ
จอดไว้ที่นี้ได้เลย ปลอดภัย มีรั้วรอบขอบชิด
จัดแจงเตรียมของ จ่ายค่าอุทยาน รอคนในทีม เตรียมตัวเดินทาง โดยในการเดินในครั้งนี้ พวกเราจะถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มละ 10 คน โดยพวกเราได้อยู่กลุ่มที่ 2 ที่มีสมาชิกกันแค่ 4 คนเนื่องจากคนอื่นในทีมในได้ทำการถอนตัวออกไป เวลาประมาณ 9.30 เราเดินเข้ามาบริเวณน้ำตกศิลาเพชร ซึ่งอยู่ติดกับจุดรวมพลเพื่อทำการเริ่มขึ้นเขากัน โดยในวันนี้เราจะเดินระยะทางประมาณ 7 กม. เพื่อไปยังจุดตั้งแค้มป์ในคืนแรก
เอาเป้ของเราขึ้นหลัง เริ่มเดินมาได้ประมาณ 50 ม.เราก็พบว่าทางเดินที่นำเราสู่ยอดเขาในวันนี้ คงจะทำให้ออกเสียเหงื่อได้มากทีเดียว
ทางเดินขึ้นจะเป็นทางชันอย่างเดียว ขึ้นกับว่าจะชั้นมากหรือชันน้อย ในช่วงแรกยุงจะค่อนข้างเยอะทีเดียว ฉะนั้นอย่าลืมกางเกงขายาวแขนยาว หรือเสปรย์กันยุงกันนะครับ
เนื่องจากเป็นป่าใหม่ ก็จะไม่ได้รกอะไรมากมาย อากาศค่อนข้างเย็น ยิ่งสูงขึ้นก็เย็นขึ้นเรื่อยๆพวกเราเดินไป เล่นต่อเพลงกันไป
เพื่อให้ลืมความทรมานของขาในตอนนี้
เดินมาซักพักเราก็เจอกับป้ายจุดเติมน้ำ ผมจัดแจงลงเป้เตรียมที่จะเดินลงไปเติมน้ำเพื่อนำไปใช้ที่แคมป์
แต่พอลงไปแล้วกลับพบว่า มันไม่มีน้ำ !!!!
เรื่องน้ำทำให้ผมกังวลใจทีเดียว เพราะทราบมาว่าข้างบนนั้นไม่มีแหล่งน้ำใดๆ และน้ำที่เราเตรียมมาก็ดื่มไปจวนจะหมดแล้ว จนกระทั่ง
เดินมาอีกซักพักแล้วเจอความชัน ของเขาลูกที่ 1 ลูกที่ 2 ความชันที่ดูจะไม่สิ้นสุดของมันทำให้ผมลืมเรื่องน้ำไปสนิท
หลังจากแข็งใจเดินข้ามเขาลูกที่สาม เราก็ได้พบกับสัญญานว่าเรามาถึงจุดตั้งแคมป์แล้ว โดยเราใช้เวลาไปประมาณ 5 ชม.
โดยเจ้าหน้าที่จะแบ่งจุดตั้งแคมป์เป็นสามจุดตามกลุ่มที่เราอยู่ เราจะเดินผ่านแคมป์ของกลุ่มที่ 1 2 และ 3 ตามลำดับ โดยเราจะได้
กางเต้นท์กันในจุดที่ 2 แอบกระซิบว่าความสวยของวิวที่จุดกางเต้นท์ก็เรียงตามลำดับเหมือนกัน คือ 1 ไม่มีวิว 2 สวย 3 สวยมาก
ทำการ เลือกวิวกันแบบตามสบาย เพราะกลุ่มเรามีกันแค่ 4 คน
พักผ่อนกินข้าวเที่ยงของเราที่ลากมากินตอนบ่าย นั่งชมวิว จากหน้าเต้นท์โดยผมยกให้ที่นี้เป็นจุดกางเต้นท์ที่วิว สวยที่สุดตั้งแต่ เดินป่ามาเลย
ลุงสังเวียน ทำการเตรียมแคร่ไม้ไผ่ เพื่อให้เรา 4 คนกินข้าวกันในคืนนี้
หลังจากนั้นไม่นานพระอากาศก็ลาขอบฟ้าไป เรานำของที่เตรียมมากันอย่างง่ายๆมา กินกัน ด้วยความหิว ทุกอย่างเลยถูกจัดการอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศพวกเราในตอนกินข้าวเย็น นับเป็นช่วงเวลาที่ดีทีเดียว
หลังจากเข้าพักผ่อนกันตั้งแต่ยังไม่สองทุ่มด้วยความเหนื่อย เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับวิวที่น่าสนใจทีเดียว
อาหารเช้ามื้อง่าย ตามด้วยการขุดส้วมหลุมของตัวเอง พร้อมชมวิวหมอกยามเช้าไปด้วย
เวลาประมาณ 9.30 ลุงสังเวียนได้พาเราทั้งสี่เดินขึ้นผ่านสันเขา
บรรยากาศในช่วงเวลานั้นช่างแปลกประหลาด เวลาเพียงเสี้ยวนาทีหมอกหนาเปลี่ยนเป็นฟ้าใส และทั้งในทาง
กลับกันได้อย่างน่าทึ่ง
พระเอกของเรา ผู้ทั้งนำทาง ทำทางเดิน หาน้ำให้เรา อีกทั้งรับบทท่องคาถาไล่หมอกเพื่อหวังจะให้เราพบกับฟ้าที่สวยงาม
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราได้สัมผัสด้วยตาวันนี้ มันช่างวิเศษที่สุดแล้ว
เราเริ่มทำการไต่ลงมาจากสันเขา
เวลาประมาณ 11 โมง ลุงสังเวียนบอกให้เราปลดเป้ ทิ้งไว้ตรงนี้ก่อน แกจะพาเข้าใบดูใบเมเปิ้ลแดง พวกเราไม่ลังเล ปลดเป้เตรียมตัวกันเดินเข้าไปทันที
ลุงนำเราเดินเข้าไปในป่าค่อนข้างรก ระยะทางไม่ไกลประมาณ 1 กิโลแต่บรรยากาศกลับแปลกไปจากที่เราเดินผ่านมา
ป่านี้เป็นป่าตั้งเดิมที่ไม่ได้ถูกทำลายในครั้งที่ภูเขาแห่งนี้กลายเป็นแหล่งทำกินของชาวบ้าน
ใบเมเปิ้ลแดงที่ร่วงหล่นเต็มพื้น
อันนี้เป็นต้นเมเปิ้ลแดงที่ลุงสังเวียนสร้างขึ้นให้เราเห็นกันแบบชัดๆ
จุดนี้เป็นจุดที่หมูป่าอาศัยหลับนอน ลุงสังเวียนบอกว่า เจ้าหมูคงพึ่งออกไปหากินเมื่อเช้านี้
รากไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยมอส รูปร่างคล้ายปูยักษ์
หลังจากกลับมาที่จุดที่เราทิ้งกระเป๋าไว้ กินข้าวเที่ยงที่เตรียมมา เราก็เริ่มออกเดินทางต่อเพื่อไปยังแค้มป์ของเรา ระยะทางอีกประมาณ 4 กิโล
แต่ทางที่ทั้งชันและลื่น ก็ทำให้เราต้องใช้เวลาเดินอีกพอสมควรทีเดียว
เวลาประมาณ บ่ายสองครึ่งเราก็มาถึงแค้มป์ของเราในคืนสุดท้าย แค้มป์นี้จะมีลำธารให้เราได้อาบน้ำกันด้วย น้ำเย็นจนเราตัวสั่นเลยที่เดียว
ลุงวิเชียรทำการจัดแจงก่อกองไฟ เราก็กางเต้นท์เตรียมอาหารเย็น
ตั้งวงกินอากาศเย็นกันไป คุยกันไป
เมนูต่างๆ ถูกงัดออกมาเรื่อยๆ เหมือนอะไรๆก็จะอร่อยขึ้นเยอะในป่าแบบนี้
นั่งๆอยู่ก็มีเจ้าตั๊กแตนอยากจะมานั่งร่วมวงด้วย
เช้าวันสุดท้ายหลังจากเราตื่นมา เราเดินตามลุงสังเวียนไปดูวิวแถวๆลานกางเต้นท์
ซักพัก หลังจากอาหารเช้าแบบง่ายๆ ทำการเก็บข้าวของ เราก็เริ่มเดินลงมาที่น้ำตกศิลาเพชรกัน ระยะทางเดินลงประมาณ 6 กิโล
ระหว่างทางจะมีน้ำตกให้แวะล้างหน้าล้างตา นั่งพักกัน
และแล้วเราก็เดินลงมาถึงน้ำตก ศิลาเพชร ลุงสังเวียนพาเราเดินข้ามน้ำให้พอได้ชุ่มช่ำ
เดินทางกลับมาถึงจุดเดิม พวกเราได้อาบน้ำอาบท่าให้สดชื่น เตรียมตัวกลับกัน ก่อนกลับมีน้องหมาตัวโตแวะมาเล่นกับลุงสังเวียนด้วย
จบทริปการเดินทางในครั้งนี้ ขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทางทุกคน ขอบคุณธรรมชาติและสรรพสิ่งรอบตัว ที่งดงามให้เราได้สัมผัส
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้