การควรจะรับมือการการที่ชาวเขมรมาอ้างว่าวัฒนธรรมไทยต่างๆเป็นของเขาดีครับ

ยิ่งนับวันประเทศกัมพูชายิ่งเอาใหญ่ยิ่งมีโซเชียลTIKTOK ยิ่งมอมเมาคนประเทศตัวเองว่าชุดไทยเราเป็นชุดเขมรเห็นทุกวันไม่ว่าจะคลิปคนไทยลงหรือชาวต่างชาติลง เครมมั่วซั่วไปหมดล่าสุดก็เครมขนมไทยต้อนรับทูตแถวยุโร

จากที่กะแส เครมวัฒนธรรมไทย หรือพยายามจะอ้างสิทธิ ใช้ วัฒนธรรมร่วม หรือ บางทีก็บอกว่า(วัฒนธรรมประเพณี ของไทย ที่เราต่อยอดกันมานาน ต่อยอดสานต่อไปสู่ชาวโลกได้) กลับกลายบอก เป็นของกัมพูชาเอง แบบ งงๆ ซะงั้

เช่นมวยเขมรจู่ๆก็ copy มวยไทยแล้วอ้างว่าตัวเองเป็นต้นตำรับ อ้างภาพบนกำแพง แต่จริงๆแล้วไม่มีประวัติศาสตร์การก่อตั้งหรือการใช้งานมวยเขมรมาก่อนเลยตรงข้ามกับมวยไทยที่สืบทอดและมีหลักฐานมาอย่างยาวนาน ประกอบ

ด้วยกระแส จากการประกวดนางงามหรืออะไรก็ตาม ที่ออกมาตามสื่อโซเชียล ที่คนกัมพูชา เครมวัฒนธรรม เครมศิลปิน ของชาติอื่นๆ เหมือนมีความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ที่บิดเบี้ยว สงสัยว่าคนกัมพูชามีความคิดแบบนี้ทุกคนไ

ถ้าดูในทางประวัติศาสตร์ยุควิคตอเรียน อำนาจชายเป็นใหญ่ ผู้ชายบลูลี่ผู้หญิง ทำไมผู้ชายมีอะไรกับผู้หญิงหลายคนได้ แต่ผู้หญิงมีไม่ได้หละ ผู้หญิงเองก็ไม่ได้ว่าอะไรซักคำ แต่อย่าเอาเปรียบก็พอแล้ว ไม่โกหกกัน

ตอนแรกเราเริ่มกันแบบไม่ผูกมัด เป็นเพื่อนที่มีความสัมพันธ์ (FWB) จนต่อมาได้ตกลงคบกันเป็นแฟนจริง ๆ ฉันทุ่มเทให้เขามาก แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการถูกนอกใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเล่นทุกแอพหาคู่ นัดเจอคนนู้นคน

ความเสียหายของทรัพยากรบุคคล จากการรีแบรนด์เศรษฐกิจชุมชนเป็นนโยบายประชานิยม ในยุคแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) ประเทศไทยเริ่มขับเคลื่อนแนวนโยบาย “คนเป็นศูนย์ก