เมื่อเชื้อพระวงศ์เกดะห์ก่อเหตุฆาตกรรมสะเทือนสิงคโปร์ เพียงเพราะเอาใจสาวไทย!

"สักวันหนึ่งถ้าคุณจะมีคนสวนเป็นตุนกู ก็อย่าแปลกใจ" เป็นคำกล่าวของตุนกู อับดุล ระห์มัน ที่เคยกล่าวไว้กับคณะคนไทยที่มาเยือนเมื่อหลายสิบปีก่อน
โดยตำแหน่ง ตุนกู หรือ เต็งกู รวมถึง รายา ในบางรัฐ เป็นตำแหน่งนำหน้าชื่อเชื้อพระวงศ์ในมาเลเซีย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเจ้านายเพราะตำแหน่งนี้
การเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ได้ ไม่เพียงต้องมีตุนกูหรือเต็งกู แต่ต้องมีฐานะเป็นพระประยูรญาติที่ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ของรัฐนั้นๆ และมีตำแหน่ง
เข้าใจว่าเขาน่าจะนับความเป็นเจ้าเฉพาะบรรดาพระราชโอรสในพระมหากษัตริย์ และพระราชนัดดาในพระราชโอรสเหล่านี้เท่านั้น พ้นจากนี้คือไม่ใช่เจ้า
ให้เข้าใจอีกนิดก็คือ เรียงตามความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์องค์นั้น คนที่เข้าใจฐานันดรแบบอังกฤษจะเข้าใจได้ง่าย เพราะคิดว่าเขาคงใช้เหมือนกัน

แต่ไม่ว่าอย่างไร ตุนกู อับดุล ระห์มัน คงจะไม่คาดคิดว่า แม้แต่ฆาตกรใจโหด ก็เป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง ที่สำคัญคือ เป็นคนในราชวงศ์เดียวกันอีกด้วย
เรื่องเกิดขึ้นในเดือนเมษายน ปี 1998 (พ.ศ. 2541) มีผู้พบศพหญิงสาวคนหนึ่งที่พุ่มไม้ใกล้ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่งในเขต Marina South บนเกาะสิงคโปร์
ภายหลังสืบทราบว่าเธอมีชื่อว่า ซัลลี่ โปห์ (Sally Poh) วัย 42 ปี ทำอาชีพช่างแต่งหน้าเสริมสวย มีสถานภาพแต่งงานแล้วกับครูวัย 47 ปี มีบุตร 2 คน
ตำรวจสืบสวนแล้วพบว่าของหลายอย่างของเธอนั้นหายไป รวมถึงนาฬิกาข้อมือ Rolex ซึ่งทำให้กลายเป็นคดีฆ่าชิงทรัพย์สะเทือนขวัญผู้คนในเวลานั้น
หลังจากนั้นไม่นานก็พบเบาะแสว่า ฆาตกรอาจจะเป็นชายที่ใช้ชื่อนามแฝง ว่า Liar Joe และเรื่องที่ตกตะลึงก็คือ Lair Joe นั้น เป็นเชื้อพระวงศ์สำคัญ!

Liar Joe ตัวจริงมีชื่อว่า ตุนกู โจนาริส บาดิลชาห์ (Tunku Jonaris Badlishah) เป็นบุตรชาย ตุนกู อับดุล ฮามิด ษอนี (Tunku Abdul Hamid Thani)
มีฐานะเป็นพระราชนัดดา เนื่องจากบิดาเป็นพระราชโอรสของสุลต่านบาดิลชาห์ และยังทรงเป็นพระอนุชาของสุลต่านอับดุล ฮาลิม สุลต่านในเวลานั้น
โดยปัจจุบัน ตุนกู อับดุล ฮามิด ษอนี บิดา ดำรงตำแหน่งตุนกูบันดาฮาราแห่งรัฐเกดะห์ และทรงอยู่ในสิทธิ์สืบราชบัลลังก์ของรัฐเกดะห์เป็นอันดับที่ 4 
แต่ถึงกระนั้น ตุนกูโจนาริสได้อธิบายว่า บิดากับมารดาชาวสิงคโปร์แยกทางกัน แล้วเขาอยู่มารดา มีชีวิตที่ค่อนข้างโหดร้ายกับพ่อเลี้ยงที่เป็นสามีใหม่
เขาถูกทารุณกรรมจากมารดาและพ่อเลี้ยง เช่น การคุกเข่าหลายชั่วโมง การบังคับให้กินพริกสด รวมถึงถูกเฆี่ยนตีด้วยเข็มขัด และห้ามเรียกว่าแม่อีก

ตุนกูโจนาริส อ้างว่าเขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งยังมีความสุขหลังการฆาตกรรม และยังกลับไปนอนหลับได้เหมือนไม่มีอะไร
แต่ผลการสืบสวน พบว่าความจริง เขาฆาตกรรมซัลลี่เพราะต้องการนาฬิกาของเธอ โดยลวงเธอและนัดเธอมาโดยหลอกว่าจะพาเธอไปช่วยแต่งหน้า
เขากระหน่ำค้อนทุบหัวเธอจนสลบ และพยายามรีดไถทรัพย์ แต่เมื่อพบว่าเธอยังมีสติ ก็ยังพยายามทุบอีกเป็น 10 กว่าครั้งก่อนที่จะกรีดข้อมืออีกครั้ง
ตำรวจพบสาเหตุและแรงจูงใจ มาจากแฟนสาวชาวไทยที่ชื่อ สายฝน ซึ่งเธออ้างว่าอยากได้นาฬิกาซึ่งได้จากสามีเก่าคืนหลังจากได้นำไปจำนำขาย
ซึ่งบังเอิญมากที่วันเกิดเหตุนั้น ตรงกับวันเกิดของสายฝนอยู่พอดี ซึ่งหลังจากก่อเหตุ ตุนกูโจนาริสได้มอบนาฬิกาให้เธอพร้อมกับของขวัญอื่นๆ อีก

ศาลปฏิเสธคำกล่าวอ้างที่ว่าเขาป่วยทางจิต และเห็นว่าเขากระทำทุกอย่างทั้งมีสติครบถ้วนและมีการไตร่ตรองล่วงหน้า จึงได้ตัดสินให้ประหารชีวิต
ตุนกูโจนาริสพยายามยื่นอุทธรณ์ แต่ก็ไม่เป็นผล และเขาถูกประหารชีวิตในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) อายุเวลานั้น เพียงแค่ 24 ปี
ถึงกระนั้น ตุนกู โจนาริส ยังมีน้องชายร่วมพ่อแม่อีก 1 คน และตามลำดับสืบราชบัลลังก์ เขาอยู่ถัดจากบิดาของเขาเป็นอันดับที่ 5 แทนพี่ชายของเขา
แต่โดยพฤตินัยแล้ว ยังไม่แน่ใจว่าทางราชวงศ์เกดะห์จะนับหรือไม่ เพราะพวกเขา 2 พี่น้องตัดขาดกับบิดาและอยู่กับมารดาในสิงคโปร์มานานแล้ว
ที่สำคัญ สิ่งที่พี่ชายของเขาได้ทำลงไปในคราวนั้น อาจจะเชื่อสนิทใจได้ว่า บิดาของเขา อาจจะตัดขาดกับพวกเขาไปอย่างไม่มีวันกลับคืนเลยก็ได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่