สืบเนื่องจากกระทู้นี้.
https://m.pantip.com/topic/41773863?
ชี้เจตนาช่วยเหลือบ.อัลไพน์-เอื้อประโยชน์ตระกูลชินวัตร
การกระทําของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่28 กุมภาพันธ์2482 โดยเจตนาเพื่อช่วยเหลือบริษัทอัลไพน์เรียลเอสเตทจํากัดและบริษัทอัลไพน์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับจํากัด
และผู้ถือกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินดังกล่าวและที่ได้ถือกรรมสิทธิ์ในเวลาต่อมารวมทั้งตระกูลชินวัตรให้ได้รับประโยชน์โดยไม่ต้องถูกเพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิตามคําสั่งของอธิบดีกรมที่ดินจนผู้ฟ้องคดีได้รับผลประโยชน์ตอบแทนให้ดํารงตําแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยและเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
พฤติการณ์และการกระทําของผู้ฟ้องคดีมีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ
เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบของทางราชการมติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาลอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
และฐานกระทําการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามมาตรา82 วรรคสามมาตรา85 วรรคสองและมาตรา98 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา133 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2551 และมีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157
ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่3 เสียงข้างน้อยเห็นว่าพยานหลักฐานในสํานวนไม่พอฟังว่าผู้ฟ้องคดีมีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อกล่าวหาโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่3 ได้ส่งผลรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงเอกสารและความเห็นไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่1 เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยแก่ผู้ฟ้องคดี
ต่อมาอ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยในการประชุมครั้งที่8/2555 เมื่อวันที่14 กันยายน2555 พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทําของผู้ฟ้องคดีไม่มีมูลความผิดเข้าข่ายเป็นการกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อกล่าวหาของผู้ถูกฟ้องคดีที่3 แต่อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยไม่อาจพิจารณาเป็นอย่างอื่นได้ยังคงต้องพิจารณาโทษทางวินัยตามฐานความผิดที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่3 มีมติจึงมีมติให้ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
ตามฐานความผิดที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่3 มีมติผู้ถูกฟ้องคดีที่1 จึงได้มีคําสั่งกระทรวงมหาดไทยที่546/2555 ลงวันที่20 กันยายน2555 ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
ตามฐานความผิดที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่3 มีมติโดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่30 กันยายน2555
ซึ่งเป็นวันสิ้นปีงบประมาณที่ผู้ฟ้องคดีมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์เป็นต้นไป
ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่16 ตุลาคม2555 อุทธรณ์คําสั่งลงโทษดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่2 ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่2 ได้พิจารณาแล้วมีมติเสียงข้างมากด้วยคะแนน4 เสียงต่อ3 เสียง
เห็นว่าความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่3 เสียงข้างน้อยมีเหตุผลรับฟังได้ยิ่งกว่าเสียงข้างมากพยานหลักฐานในสํานวนไม่พอฟังว่าผู้ฟ้องคดีมีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อกล่าวหา
แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่2 ไม่อาจเปลี่ยนแปลงฐานความผิดตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่3 เสียงข้างมากวินิจฉัยมาแล้วได้ทําได้เพียงลดโทษ
ทั้งนี้ตามนัยคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่2/2546 เมื่อวันที่6 กุมภาพันธ์2546 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่14 ตุลาคม2546 ตามหนังสือสํานักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีลงวันที่16 ตุลาคม2546 จึงมีคําวินิจฉัยเรื่องดําที่5510078 เรื่องแดงที่0047156 ลงวันที่28 พฤษภาคม2556 ให้ลดโทษผู้ฟ้องคดีจากไล่ออกจากราชการเป็นปลดออกจากราชการโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่2 ได้มีหนังสือลงวันที่28 พฤษภาคม2556 แจ้งคําวินิจฉัยดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีที่2 ให้ผู้ฟ้องคดีทราบ
จากนั้นผู้ถูกฟ้องคดีที่1 ได้มีคําสั่งกระทรวงมหาดไทยลงวันที่30 พฤษภาคม2556 ลดโทษผู้ฟ้องคดีจากไล่ออกจากราชการเป็นปลดออกจากราชการตามคําวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่2
แคนดิเดตนายกเพื่อไทย พ่อสร้างมรดกอะไรไว้ ระวังอนาคตการเมืองจะจบไม่สวยอย่างฝัน
ชี้เจตนาช่วยเหลือบ.อัลไพน์-เอื้อประโยชน์ตระกูลชินวัตร
การกระทําของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่28 กุมภาพันธ์2482 โดยเจตนาเพื่อช่วยเหลือบริษัทอัลไพน์เรียลเอสเตทจํากัดและบริษัทอัลไพน์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับจํากัด
และผู้ถือกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินดังกล่าวและที่ได้ถือกรรมสิทธิ์ในเวลาต่อมารวมทั้งตระกูลชินวัตรให้ได้รับประโยชน์โดยไม่ต้องถูกเพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิตามคําสั่งของอธิบดีกรมที่ดินจนผู้ฟ้องคดีได้รับผลประโยชน์ตอบแทนให้ดํารงตําแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยและเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
พฤติการณ์และการกระทําของผู้ฟ้องคดีมีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ
เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบของทางราชการมติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาลอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
และฐานกระทําการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามมาตรา82 วรรคสามมาตรา85 วรรคสองและมาตรา98 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา133 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2551 และมีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157
ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่3 เสียงข้างน้อยเห็นว่าพยานหลักฐานในสํานวนไม่พอฟังว่าผู้ฟ้องคดีมีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อกล่าวหาโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่3 ได้ส่งผลรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงเอกสารและความเห็นไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่1 เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยแก่ผู้ฟ้องคดี
ต่อมาอ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยในการประชุมครั้งที่8/2555 เมื่อวันที่14 กันยายน2555 พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทําของผู้ฟ้องคดีไม่มีมูลความผิดเข้าข่ายเป็นการกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อกล่าวหาของผู้ถูกฟ้องคดีที่3 แต่อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยไม่อาจพิจารณาเป็นอย่างอื่นได้ยังคงต้องพิจารณาโทษทางวินัยตามฐานความผิดที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่3 มีมติจึงมีมติให้ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
ตามฐานความผิดที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่3 มีมติผู้ถูกฟ้องคดีที่1 จึงได้มีคําสั่งกระทรวงมหาดไทยที่546/2555 ลงวันที่20 กันยายน2555 ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
ตามฐานความผิดที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่3 มีมติโดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่30 กันยายน2555
ซึ่งเป็นวันสิ้นปีงบประมาณที่ผู้ฟ้องคดีมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์เป็นต้นไป
ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่16 ตุลาคม2555 อุทธรณ์คําสั่งลงโทษดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่2 ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่2 ได้พิจารณาแล้วมีมติเสียงข้างมากด้วยคะแนน4 เสียงต่อ3 เสียง
เห็นว่าความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่3 เสียงข้างน้อยมีเหตุผลรับฟังได้ยิ่งกว่าเสียงข้างมากพยานหลักฐานในสํานวนไม่พอฟังว่าผู้ฟ้องคดีมีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อกล่าวหา
แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่2 ไม่อาจเปลี่ยนแปลงฐานความผิดตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่3 เสียงข้างมากวินิจฉัยมาแล้วได้ทําได้เพียงลดโทษ
ทั้งนี้ตามนัยคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่2/2546 เมื่อวันที่6 กุมภาพันธ์2546 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่14 ตุลาคม2546 ตามหนังสือสํานักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีลงวันที่16 ตุลาคม2546 จึงมีคําวินิจฉัยเรื่องดําที่5510078 เรื่องแดงที่0047156 ลงวันที่28 พฤษภาคม2556 ให้ลดโทษผู้ฟ้องคดีจากไล่ออกจากราชการเป็นปลดออกจากราชการโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่2 ได้มีหนังสือลงวันที่28 พฤษภาคม2556 แจ้งคําวินิจฉัยดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีที่2 ให้ผู้ฟ้องคดีทราบ
จากนั้นผู้ถูกฟ้องคดีที่1 ได้มีคําสั่งกระทรวงมหาดไทยลงวันที่30 พฤษภาคม2556 ลดโทษผู้ฟ้องคดีจากไล่ออกจากราชการเป็นปลดออกจากราชการตามคําวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่2