‘นักธุรกิจใต้’ เชียร์เพื่อไทยเป็น รบ.อีก แก้ท่องเที่ยว-ประมง อัดยุคตู่แก้พลาด ซ้ำเติมปัญหา
https://www.matichon.co.th/politics/news_3720627
‘นักธุรกิจภาคใต้’ หนุนค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ชี้เป็นโอกาสผลักดันเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ฝากความหวัง ‘เพื่อไทย’ กลับมาเป็นรัฐบาล เร่งสางปัญหาซ้ำเติมวิถีชีวิตชาวประมง วอนช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้ ปชช.
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรค พท. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนและนวัตกรรมพรรค พท. และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นาย
ชัยเกษม นิติสิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค พท. นาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วยแกนนำพรรค พท. ร่วมหารือกับตัวแทนนักธุรกิจประมงและตัวแทนผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภาคใต้ เขาพลายดำรีสอร์ท อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช เพื่อรับฟังการสะท้อนปัญหาของธุรกิจประมงและการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับนำไปสู่การพิจารณาจัดทำนโยบายการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน
น.ส.
แพทองธารกล่าวว่า ยินดีที่ได้มาเยี่ยมเยียนพี่น้องชาวนครศรีธรรมราชในครั้งนี้ และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น อีกทั้งยังมีโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการที่จะมีส่วนร่วมผลักดันในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนร่วมกัน
ด้าน นพ.
ชลน่านกล่าวว่า พรรค พท.ตั้งใจจะมารับฟังปัญหาจากทุกท่าน เพราะพรรคให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องชาวประมงมาตลอด โดยประสานข้อมูลกับสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยและผลักดันการแก้ไขปัญหาในทุกช่องทาง ขณะนี้พรรค พท. โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง และที่ปรึกษาคณะทำงานนโยบายด้านวางระบบเกษตรกรรม พรรค พท. พร้อมคณะ ได้รวบรวมข้อมูลและหาหนทางในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องในทุกๆ ด้าน ซึ่งพรรค พท.ยินดีที่จะรับปัญหาที่ได้รับการจากสะท้อนของทุกท่านเพื่อนำไปสู่การแก้ไขต่อไป
นพ.
ชลน่านกล่าวต่อว่า สำหรับด้านการท่องเที่ยว พรรค พท.มองเห็นศักยภาพการท่องเที่ยวในภาคใต้ทั้งฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทย เรามีนโยบายเฉพาะในแต่ละพื้นที่ โดยพิจารณาจากศักยภาพของพื้นที่ต่างๆ โดยละเอียด หากแต่ละพื้นที่ภาคเอกชนเข้มแข็งแล้วมาร่วมมือกับพรรค พท.กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาจะถือเป็นโอกาสอย่างมาก และถ้าพรรค พท.มีโอกาสเป็นรัฐบาลก็จะสามารถผลักดันการแก้ไขปัญหาในแต่ละด้านได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ ตัวแทนนักธุรกิจประมง สะท้อนปัญหาการแก้ไขปัญหา IUU ที่ผิดพลาดของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และได้กลายเป็นการซ้ำเติมชาวประมง ไม่สอดคล้องกับบริบทความเป็นจริงและวิถีชีวิตของพี่น้องชาวประมง ซึ่งวันนี้ปัญหาต่างๆ ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข อีกทั้งยังมีการออกกฎหมายที่บทบัญญัติมีปัญหาเรื่องการตีความและไม่เป็นธรรม จนพี่น้องชาวประมงต้องล้มหายตายจากไปกว่าครึ่ง
นาย
สุธรรม วิชชุไตรภพ นายกสมาคมประมงอำเภอสิชล กล่าวว่า ปัญหาหลักชาวประมงคือต้นทุนสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ปัจจุบันสูงถึง 70% ของต้นทุนทั้งหมด ในอดีตรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่นำโดยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยช่วยแก้ไขปัญหาช่วยเหลือพี่น้องชาวประมงเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ แต่ขณะนี้ก็กลับมาเกิดปัญหาขึ้นอีก ดังนั้น เราจึงมีความหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งแล้วแก้ไขปัญหาให้พี่น้องชาวประมงได้อีก
“
นครศรีธรรมราชไม่เคยขายข้าวได้เกินตันละ 15,000 บาท พรรคเพื่อไทยก็เคยทำได้จนเป็นประวัติศาสตร์ ยางพาราคาขายได้ถึง 180 บาทต่อกิโลกรัม หากวันนี้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งแล้วช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้พี่น้องชาวประมงได้ ท่านจะเป็นขวัญใจพวกเราตลลอดไป และพี่น้องเกษตรกรจะไม่มีวันลืมท่าน” นาย
สุธรรมกล่าว
ด้าน นาย
เบญจภพ เบญจธรรมธร ตัวแทนผู้ประกอบการท่องเที่ยว จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ปัจจุบัน จ.นครศรีธรรมราช เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ภายหลังการตัดถนนเส้นใหม่ สิชล-ขนอม ซึ่งเป็นถนนเลียบชายฝั่งอ่าวไทยที่สวยที่สุด ซึ่งอนุมัติงบประมาณการก่อสร้างในช่วงรัฐบาลพรรค พท.ที่นำโดย น.ส.
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันก็มีกระแสแรงศรัทธาไอ้ไข่ ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมา จ.นครศรีธรรมราช จำนวนมาก สร้างเงิน สร้างงานในพื้นที่จำนวนมหาศาล
นาย
เบญจภพกล่าวว่า ปัจจุบันซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด จากการขาดการพัฒนาและสนับสนุนอย่างจริงจัง แต่เราก็มีความหวังว่าเมื่อพรรค พท.กลับมาเป็นรัฐบาล จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาแลนด์มาร์กแห่งใหม่ในพื้นที่ พร้อมกับการพัฒนาท่าเรือให้เป็นจุดเชื่อมต่อนักท่องเที่ยวในพื้นที่กับเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีในด้านการท่องเที่ยว และเป็นการสร้างโอกาสให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ด้วยเช่นกัน
“
ยอมรับว่าตอนแรกที่ได้ยินเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ภายในปี 2570 ก็ตกใจ แต่เมื่อมาฟังรายละเอียดก็มองเห็นภาพในอนาคต และมองเห็นโอกาสความเป็นไปได้ เพราะจะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน ทำให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม ที่สำคัญคือจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการเอง เนื่องจากจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ เพราะทุกคนจะมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสุดท้ายเงินเหล่านั้นก็จะหมุนมาผลักดันเศรษฐกิจสนับสนุนผู้ประกอบการทุกคน” นาย
เบญจภพระบุ
เฮ! สนั่น ‘ณัฐวุฒิ’ ขึ้นเวทีใต้ ยำใหญ่รัฐบาลประยุทธ์ ยืนยัน ‘อุ๊งอิ๊ง’ แคนดิเดตนายกฯ
https://www.matichon.co.th/clips/news_3720676
“
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ขึ้นเวทีนครศรีธรรมราช ซัดแหลกรัฐบาลประยุทธ์ 8 ปี ย้ำชัด “
อุ๊งอิ๊ง”
แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แน่นอน ยืนยัน “
เพื่อไทย” เป็นรัฐบาลทำนโยบายที่ประกาศไว้ได้ ลั่นอยากเห็นประชาธิปไตยให้เลือก “เพื่อไทย” ทั้งแผ่นดิน ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้
คาดภาษีคาร์บอนข้ามแดนกระทบส่งออกไทยหนัก ท่องเที่ยวฟื้นแต่ขาดแรงงาน
https://prachatai.com/journal/2022/12/101833
'อนุสรณ์ ธรรมใจ' คาดภาษีคาร์บอนข้ามแดนกระทบส่งออกไทยหนัก ท่องเที่ยวฟื้นแต่ขาดแรงงาน ตลาดแรงงานขาดแคลนต้องขึ้นค่าแรง แรงงานเอาต์ซอร์ซไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องค่าจ้าง สวัสดิการและความมั่นคงในงานสถานการณ์ Deglobalization ดีขึ้นหลังการระบาดโควิดคลี่คลาย ความตึงเครียดการค้าลดลง ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับชาติตะวันตกซับซ้อนขึ้นจากความเคลื่อนไหวล่าสุดของผู้นำจีนและโลกอาหรับ
11 ธ.ค. 2565 รศ.ดร.
อนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ อดีตสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ แจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนกล่าวถึงการขาดการเตรียมการที่ดีพอของภาครัฐและภาคเอกชนไทยจะทำให้ อุตสาหกรรมส่งออกไทยได้รับผลกระทบจากภาษีคาร์บอนข้ามแดน ตลาดสินค้าส่งออกสำคัญของไทยทั้งสหรัฐอเมริกา และ ยุโรป เร่งรัดการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามแดนเร็วขึ้น มากขึ้นและขยายขอบเขตมากขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงการลดการปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจก กระทบต่อชั้นบรรยากาศและปัญหาภาวะโลกร้อนซึ่งรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ โดยรัฐสภาสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมาย Clean Competition Act (CCA) ตั้งเป้าเก็บภาษีคาร์บอนกับสินค้าที่มีกระบวนการผลิตปล่อยคาร์บอนปริมาณสูง โดยเสนอให้ผู้ผลิตของสหรัฐและผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จะต้องเสียภาษีคาร์บอน 55 ดอลลาร์ต่อการปล่อยคาร์บอน 1 ตัน หากกระบวนการผลิตสินค้ามีการปล่อยคาร์บอนเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คาดว่า ร่างกฎหมายเสนอโดยพรรคแดโมแครตผ่านรัฐสภาแน่นอน เนื่องจากการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯพรรคแดโมแครตเป็นส่วนข้างมากในวุฒิสภา ขณะนี้ สวีเดนเก็บภาษีคาร์บอนสูงที่สุดในโลกอยู่ที่ 137 ดอลลาร์ สวิตเซอร์แลนด์เก็บภาษี 101 ดอลลาร์ต่อคาร์บอน 1 ตัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อกฎหมายดังกล่าวหากผ่านรัฐสภาสหรัฐฯแล้ว แม้นว่ากฎหมายได้วางกรอบเวลาเริ่มบังคับใช้กับประเทศคู่ค้าในปี พ.ศ. 2567 เพื่อให้มีการปรับตัวตามข้อกำหนดเรื่องการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการการผลิต แต่จะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมส่งออกไทยค่อนข้างมากเพราะจะปรับตัวกันไม่ทันและต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น กฎหมายนี้จะเริ่มใช้บังคับกับสินค้า อาทิ เชื้อเพลิงฟอสซิล ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ปุ๋ย ไฮโดรเจน กรดอะดิพิก ซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม กระจก เยื่อกระดาษและกระดาษ และเอทานอล และภายในปี 2569 จะขยายให้ครอบคลุมสินค้าสำเร็จรูปที่มีสินค้าข้างต้นเป็นส่วนประกอบในการผลิต อาจทำให้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ได้รับผลกระทบชะลอลงอย่างชัดเจนหากปรับตัวไม่ทัน
ส่วนมาตรการกีดกันทางการค้าโดยใช้ประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อมของอียูนั้นจะใช้แนวคิดกลไกตลาดมาควบคุมการปล่อยมลพิษมากกว่าการควบคุมโดยตั้งกำแพงภาษีแบบสหรัฐฯ สหภาพยุโรปหรืออียูได้ประกาศนโยบาย European Green Deal มาหลายปีแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้อียูบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 55% ภายในปี 2573 และมุ่งสู่ Net zero emissions ภายในปี 2593 ซึ่งมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) ซึ่งมีวัตุประสงค์เพื่อป้องกันการรั่วไหลของคาร์บอนและลดความเหลื่อมล้ำในการแข่งขัน ปกป้องอุตสาหกรรมภายในจากการเสียเปรียบคู่แข่งนำเข้าต่างชาติในเอเชียและภูมิภาคอื่นๆที่มีมาตรการปล่อยก๊าซเรือนกระจากที่เข้มข้นน้อยกว่าอียู อย่างกรณีของไทยเราก็มีมาตรการเข้มข้นในการควบคุมการปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าอียูหลายระดับ
รศ.ดร.
อนุสรณ์ กล่าวต่ออีกว่า มาตรการ CBAM กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าจะต้องซื้อใบรับรอง CBAM (CBAM certificate) โดยราคาใบรับรองจะอ้างอิงตามราคาซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกในตลาดคาร์บอนของอียู โดยราคาซื้อขาย เดือน พ.ย. 2565 อยู่ที่ 76 ยูโรต่อตันคาร์บอน กิจการอุตสาหกรรมส่งออกไทยสามารถนำใบอนุญาตเหล่านี้มาซื้อขายในตลาดได้หากมีการลงทุนเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมและควบคุมการปล่อยมลพิษได้ดีขึ้น สำหรับ มาตรการ CBAM นั้นจะเริ่มบังคับใช้ในปีหน้ากับสินค้า 8 ประเภท ที่นำเข้ามาจำหน่ายในสหภาพยุโรป ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า ไฮโดรเจน เคมีภัณฑ์ และพลาสติกและอาจพิจารณาขยายขอบเขตให้ครอบคลุมสินค้าประเภทอื่นเพิ่มเติมได้ในอนาคต คาดว่าจะกระทบภาคส่งออกสินค้ากลุ่มมาตรการ CBAM อย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 66-68 ผู้นำเข้าอาจมีหน้าที่เพียงแค่รายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป จะเริ่มบังคับใช้มาตรการนี้เต็มรูปแบบ ซึ่งผู้นำเข้าจะต้องซื้อและส่งมอบใบรับรอง CBAM การที่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมไทยโดยเฉลี่ยยังลงทุนทางด้านสิ่งแวดล้อมไม่มาก และยังไม่ได้ลงทุนพัฒนากระบวนการผลิตปล่อยของเสียน้อยลงมากนัก ทำให้ภาคธุรกิจอาจไม่ได้ประโยชน์จากตลาดซื้อขายใบอนุญาตปล่อยคาร์บอนเท่าไหร่ นอกจากนี้ยังจะมีเก็บภาษีนำเข้าเม็ดพลาสติกใหม่ และ สินค้าพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งทั้งในสหรัฐฯและอียู อาจกระทบต่อผู้ประกอบการส่งออกที่ใช้พลาสติกดังกล่าวของไทย นอกจากนี้อียูยังประกาศมาตรการห้ามใช้ Single Use Plastics – SUPs มาตั้งแต่ปีที่แล้วส่งผลต่อผู้ประกอบการ SMEs ส่งออกไทยเกี่ยวกับพลาสติก 10 รายการ ได้แก่ ภาชนะใส่อาหาร ถ้วยเครื่องดื่ม ก้านสำลีเช็ดหู ช้อนส้อม ลูกโป่ง ก้นบุหรี่ ถุงพลาสติก ทิชชูเปียกและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย กติกาของการค้าโลกใหม่ มุ่งสู่การทำธุรกิจการค้าคาร์บอนต่ำ หรือ Low Carbon มากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นจะเป็นโอกาสของสินค้าที่อยู่ภายใต้โมเดล BCG เป็นสินค้าแนวสร้างความยั่งยื
JJNY : 5in1 ‘นักธุรกิจใต้’เชียร์เพื่อไทย│‘ณัฐวุฒิ’ยำใหญ่รบ.│คาดภาษีคาร์บอนกระทบส่งออก│โคราชเศร้า!│ปูตินส่ง“โดรนกามิกาเซ”
https://www.matichon.co.th/politics/news_3720627
‘นักธุรกิจภาคใต้’ หนุนค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ชี้เป็นโอกาสผลักดันเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ฝากความหวัง ‘เพื่อไทย’ กลับมาเป็นรัฐบาล เร่งสางปัญหาซ้ำเติมวิถีชีวิตชาวประมง วอนช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้ ปชช.
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรค พท. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนและนวัตกรรมพรรค พท. และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายชัยเกษม นิติสิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค พท. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วยแกนนำพรรค พท. ร่วมหารือกับตัวแทนนักธุรกิจประมงและตัวแทนผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภาคใต้ เขาพลายดำรีสอร์ท อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช เพื่อรับฟังการสะท้อนปัญหาของธุรกิจประมงและการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับนำไปสู่การพิจารณาจัดทำนโยบายการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน
น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ยินดีที่ได้มาเยี่ยมเยียนพี่น้องชาวนครศรีธรรมราชในครั้งนี้ และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น อีกทั้งยังมีโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการที่จะมีส่วนร่วมผลักดันในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนร่วมกัน
ด้าน นพ.ชลน่านกล่าวว่า พรรค พท.ตั้งใจจะมารับฟังปัญหาจากทุกท่าน เพราะพรรคให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องชาวประมงมาตลอด โดยประสานข้อมูลกับสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยและผลักดันการแก้ไขปัญหาในทุกช่องทาง ขณะนี้พรรค พท. โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง และที่ปรึกษาคณะทำงานนโยบายด้านวางระบบเกษตรกรรม พรรค พท. พร้อมคณะ ได้รวบรวมข้อมูลและหาหนทางในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องในทุกๆ ด้าน ซึ่งพรรค พท.ยินดีที่จะรับปัญหาที่ได้รับการจากสะท้อนของทุกท่านเพื่อนำไปสู่การแก้ไขต่อไป
นพ.ชลน่านกล่าวต่อว่า สำหรับด้านการท่องเที่ยว พรรค พท.มองเห็นศักยภาพการท่องเที่ยวในภาคใต้ทั้งฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทย เรามีนโยบายเฉพาะในแต่ละพื้นที่ โดยพิจารณาจากศักยภาพของพื้นที่ต่างๆ โดยละเอียด หากแต่ละพื้นที่ภาคเอกชนเข้มแข็งแล้วมาร่วมมือกับพรรค พท.กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาจะถือเป็นโอกาสอย่างมาก และถ้าพรรค พท.มีโอกาสเป็นรัฐบาลก็จะสามารถผลักดันการแก้ไขปัญหาในแต่ละด้านได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ ตัวแทนนักธุรกิจประมง สะท้อนปัญหาการแก้ไขปัญหา IUU ที่ผิดพลาดของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และได้กลายเป็นการซ้ำเติมชาวประมง ไม่สอดคล้องกับบริบทความเป็นจริงและวิถีชีวิตของพี่น้องชาวประมง ซึ่งวันนี้ปัญหาต่างๆ ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข อีกทั้งยังมีการออกกฎหมายที่บทบัญญัติมีปัญหาเรื่องการตีความและไม่เป็นธรรม จนพี่น้องชาวประมงต้องล้มหายตายจากไปกว่าครึ่ง
นายสุธรรม วิชชุไตรภพ นายกสมาคมประมงอำเภอสิชล กล่าวว่า ปัญหาหลักชาวประมงคือต้นทุนสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ปัจจุบันสูงถึง 70% ของต้นทุนทั้งหมด ในอดีตรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่นำโดยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยช่วยแก้ไขปัญหาช่วยเหลือพี่น้องชาวประมงเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ แต่ขณะนี้ก็กลับมาเกิดปัญหาขึ้นอีก ดังนั้น เราจึงมีความหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งแล้วแก้ไขปัญหาให้พี่น้องชาวประมงได้อีก
“นครศรีธรรมราชไม่เคยขายข้าวได้เกินตันละ 15,000 บาท พรรคเพื่อไทยก็เคยทำได้จนเป็นประวัติศาสตร์ ยางพาราคาขายได้ถึง 180 บาทต่อกิโลกรัม หากวันนี้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งแล้วช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้พี่น้องชาวประมงได้ ท่านจะเป็นขวัญใจพวกเราตลลอดไป และพี่น้องเกษตรกรจะไม่มีวันลืมท่าน” นายสุธรรมกล่าว
ด้าน นายเบญจภพ เบญจธรรมธร ตัวแทนผู้ประกอบการท่องเที่ยว จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ปัจจุบัน จ.นครศรีธรรมราช เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ภายหลังการตัดถนนเส้นใหม่ สิชล-ขนอม ซึ่งเป็นถนนเลียบชายฝั่งอ่าวไทยที่สวยที่สุด ซึ่งอนุมัติงบประมาณการก่อสร้างในช่วงรัฐบาลพรรค พท.ที่นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันก็มีกระแสแรงศรัทธาไอ้ไข่ ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมา จ.นครศรีธรรมราช จำนวนมาก สร้างเงิน สร้างงานในพื้นที่จำนวนมหาศาล
นายเบญจภพกล่าวว่า ปัจจุบันซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด จากการขาดการพัฒนาและสนับสนุนอย่างจริงจัง แต่เราก็มีความหวังว่าเมื่อพรรค พท.กลับมาเป็นรัฐบาล จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาแลนด์มาร์กแห่งใหม่ในพื้นที่ พร้อมกับการพัฒนาท่าเรือให้เป็นจุดเชื่อมต่อนักท่องเที่ยวในพื้นที่กับเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีในด้านการท่องเที่ยว และเป็นการสร้างโอกาสให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ด้วยเช่นกัน
“ยอมรับว่าตอนแรกที่ได้ยินเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ภายในปี 2570 ก็ตกใจ แต่เมื่อมาฟังรายละเอียดก็มองเห็นภาพในอนาคต และมองเห็นโอกาสความเป็นไปได้ เพราะจะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน ทำให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม ที่สำคัญคือจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการเอง เนื่องจากจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ เพราะทุกคนจะมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสุดท้ายเงินเหล่านั้นก็จะหมุนมาผลักดันเศรษฐกิจสนับสนุนผู้ประกอบการทุกคน” นายเบญจภพระบุ
เฮ! สนั่น ‘ณัฐวุฒิ’ ขึ้นเวทีใต้ ยำใหญ่รัฐบาลประยุทธ์ ยืนยัน ‘อุ๊งอิ๊ง’ แคนดิเดตนายกฯ
https://www.matichon.co.th/clips/news_3720676
“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ขึ้นเวทีนครศรีธรรมราช ซัดแหลกรัฐบาลประยุทธ์ 8 ปี ย้ำชัด “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แน่นอน ยืนยัน “เพื่อไทย” เป็นรัฐบาลทำนโยบายที่ประกาศไว้ได้ ลั่นอยากเห็นประชาธิปไตยให้เลือก “เพื่อไทย” ทั้งแผ่นดิน ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้
คาดภาษีคาร์บอนข้ามแดนกระทบส่งออกไทยหนัก ท่องเที่ยวฟื้นแต่ขาดแรงงาน
https://prachatai.com/journal/2022/12/101833
'อนุสรณ์ ธรรมใจ' คาดภาษีคาร์บอนข้ามแดนกระทบส่งออกไทยหนัก ท่องเที่ยวฟื้นแต่ขาดแรงงาน ตลาดแรงงานขาดแคลนต้องขึ้นค่าแรง แรงงานเอาต์ซอร์ซไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องค่าจ้าง สวัสดิการและความมั่นคงในงานสถานการณ์ Deglobalization ดีขึ้นหลังการระบาดโควิดคลี่คลาย ความตึงเครียดการค้าลดลง ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับชาติตะวันตกซับซ้อนขึ้นจากความเคลื่อนไหวล่าสุดของผู้นำจีนและโลกอาหรับ
11 ธ.ค. 2565 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ อดีตสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ แจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนกล่าวถึงการขาดการเตรียมการที่ดีพอของภาครัฐและภาคเอกชนไทยจะทำให้ อุตสาหกรรมส่งออกไทยได้รับผลกระทบจากภาษีคาร์บอนข้ามแดน ตลาดสินค้าส่งออกสำคัญของไทยทั้งสหรัฐอเมริกา และ ยุโรป เร่งรัดการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามแดนเร็วขึ้น มากขึ้นและขยายขอบเขตมากขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงการลดการปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจก กระทบต่อชั้นบรรยากาศและปัญหาภาวะโลกร้อนซึ่งรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ โดยรัฐสภาสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมาย Clean Competition Act (CCA) ตั้งเป้าเก็บภาษีคาร์บอนกับสินค้าที่มีกระบวนการผลิตปล่อยคาร์บอนปริมาณสูง โดยเสนอให้ผู้ผลิตของสหรัฐและผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จะต้องเสียภาษีคาร์บอน 55 ดอลลาร์ต่อการปล่อยคาร์บอน 1 ตัน หากกระบวนการผลิตสินค้ามีการปล่อยคาร์บอนเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คาดว่า ร่างกฎหมายเสนอโดยพรรคแดโมแครตผ่านรัฐสภาแน่นอน เนื่องจากการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯพรรคแดโมแครตเป็นส่วนข้างมากในวุฒิสภา ขณะนี้ สวีเดนเก็บภาษีคาร์บอนสูงที่สุดในโลกอยู่ที่ 137 ดอลลาร์ สวิตเซอร์แลนด์เก็บภาษี 101 ดอลลาร์ต่อคาร์บอน 1 ตัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อกฎหมายดังกล่าวหากผ่านรัฐสภาสหรัฐฯแล้ว แม้นว่ากฎหมายได้วางกรอบเวลาเริ่มบังคับใช้กับประเทศคู่ค้าในปี พ.ศ. 2567 เพื่อให้มีการปรับตัวตามข้อกำหนดเรื่องการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการการผลิต แต่จะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมส่งออกไทยค่อนข้างมากเพราะจะปรับตัวกันไม่ทันและต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น กฎหมายนี้จะเริ่มใช้บังคับกับสินค้า อาทิ เชื้อเพลิงฟอสซิล ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ปุ๋ย ไฮโดรเจน กรดอะดิพิก ซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม กระจก เยื่อกระดาษและกระดาษ และเอทานอล และภายในปี 2569 จะขยายให้ครอบคลุมสินค้าสำเร็จรูปที่มีสินค้าข้างต้นเป็นส่วนประกอบในการผลิต อาจทำให้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ได้รับผลกระทบชะลอลงอย่างชัดเจนหากปรับตัวไม่ทัน
ส่วนมาตรการกีดกันทางการค้าโดยใช้ประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อมของอียูนั้นจะใช้แนวคิดกลไกตลาดมาควบคุมการปล่อยมลพิษมากกว่าการควบคุมโดยตั้งกำแพงภาษีแบบสหรัฐฯ สหภาพยุโรปหรืออียูได้ประกาศนโยบาย European Green Deal มาหลายปีแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้อียูบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 55% ภายในปี 2573 และมุ่งสู่ Net zero emissions ภายในปี 2593 ซึ่งมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) ซึ่งมีวัตุประสงค์เพื่อป้องกันการรั่วไหลของคาร์บอนและลดความเหลื่อมล้ำในการแข่งขัน ปกป้องอุตสาหกรรมภายในจากการเสียเปรียบคู่แข่งนำเข้าต่างชาติในเอเชียและภูมิภาคอื่นๆที่มีมาตรการปล่อยก๊าซเรือนกระจากที่เข้มข้นน้อยกว่าอียู อย่างกรณีของไทยเราก็มีมาตรการเข้มข้นในการควบคุมการปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าอียูหลายระดับ
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่ออีกว่า มาตรการ CBAM กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าจะต้องซื้อใบรับรอง CBAM (CBAM certificate) โดยราคาใบรับรองจะอ้างอิงตามราคาซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกในตลาดคาร์บอนของอียู โดยราคาซื้อขาย เดือน พ.ย. 2565 อยู่ที่ 76 ยูโรต่อตันคาร์บอน กิจการอุตสาหกรรมส่งออกไทยสามารถนำใบอนุญาตเหล่านี้มาซื้อขายในตลาดได้หากมีการลงทุนเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมและควบคุมการปล่อยมลพิษได้ดีขึ้น สำหรับ มาตรการ CBAM นั้นจะเริ่มบังคับใช้ในปีหน้ากับสินค้า 8 ประเภท ที่นำเข้ามาจำหน่ายในสหภาพยุโรป ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า ไฮโดรเจน เคมีภัณฑ์ และพลาสติกและอาจพิจารณาขยายขอบเขตให้ครอบคลุมสินค้าประเภทอื่นเพิ่มเติมได้ในอนาคต คาดว่าจะกระทบภาคส่งออกสินค้ากลุ่มมาตรการ CBAM อย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 66-68 ผู้นำเข้าอาจมีหน้าที่เพียงแค่รายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป จะเริ่มบังคับใช้มาตรการนี้เต็มรูปแบบ ซึ่งผู้นำเข้าจะต้องซื้อและส่งมอบใบรับรอง CBAM การที่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมไทยโดยเฉลี่ยยังลงทุนทางด้านสิ่งแวดล้อมไม่มาก และยังไม่ได้ลงทุนพัฒนากระบวนการผลิตปล่อยของเสียน้อยลงมากนัก ทำให้ภาคธุรกิจอาจไม่ได้ประโยชน์จากตลาดซื้อขายใบอนุญาตปล่อยคาร์บอนเท่าไหร่ นอกจากนี้ยังจะมีเก็บภาษีนำเข้าเม็ดพลาสติกใหม่ และ สินค้าพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งทั้งในสหรัฐฯและอียู อาจกระทบต่อผู้ประกอบการส่งออกที่ใช้พลาสติกดังกล่าวของไทย นอกจากนี้อียูยังประกาศมาตรการห้ามใช้ Single Use Plastics – SUPs มาตั้งแต่ปีที่แล้วส่งผลต่อผู้ประกอบการ SMEs ส่งออกไทยเกี่ยวกับพลาสติก 10 รายการ ได้แก่ ภาชนะใส่อาหาร ถ้วยเครื่องดื่ม ก้านสำลีเช็ดหู ช้อนส้อม ลูกโป่ง ก้นบุหรี่ ถุงพลาสติก ทิชชูเปียกและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย กติกาของการค้าโลกใหม่ มุ่งสู่การทำธุรกิจการค้าคาร์บอนต่ำ หรือ Low Carbon มากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นจะเป็นโอกาสของสินค้าที่อยู่ภายใต้โมเดล BCG เป็นสินค้าแนวสร้างความยั่งยื