เห็นตั้งกระทู้ถามกันอยู่ได้เป็นประจำใน PANTIP ว่า ราชการ หรือ เอกชน อะไรดี
หรือเป็นเพราะเขาต้องคิดวิเคราะห์เรื่องนี้ตอนอายุ 20 ต้น หรือ 30 เลยนึกภาพหลักกิโลฯที่ 40 ไม่ออก ถ้าไม่มีคนไกด์ให้หรือตัวอย่างใกล้ตัวเลยตัดสินใจผิด
หลักๆมันมีอยู่ 4 เรื่องที่คุณคิดไปไม่ถึง
1.40 คือจุดที่รายได้จากการทำงานราชการหรือรัฐวิวาหกิจ ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน +เงินประจำตำแหน่ง+ค่าวิชาชีพ+ค่าครองชีพ เทียบเท่าหรือเริ่มแซงเอกชน ในตำแหน่งทั่วๆไปที่ไม่ประหลาดหวือหวา ไม่ว่าคุณเริ่มต้นจากตรงไหน
2.สุขภาพของมนุษย์ทุกผู้ทุกนามจะถดถอยลงในวัยนี้ โรคาพยาธิที่ซุ่มซ่อนอยู่ในกรรมพันธุ์ หรือ สั่งสมมาในร่างกายจะเริ่มทะยอยรายงานตัว ถึงกระทบการทำงาน แต่ถ้าไม่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ หรือ ให้ล้มหมอนนอนเสื่อก็ได้ ราชการ รัฐวิสาหกิจ คุณได้ไปต่อ แต่เอกชน แค่ประสิทธิภาพคุณดรอปลงมา ต่อให้คุณเก่งแค่ไหน คุณก็จบ
3. ไม่ว่าเกิดวิกฤติใดๆในโลก งานราชการคือคนที่จะเข้าสู่สมรภูมิเป็น คนสุดท้ายและ เผ่นออกจากสนามรบเป็นคนแรกเสมอ ดูโควิดเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่เริ่ม จนจบ นอกจากพาครอบครัวไปเที่ยวญี่ปุ่นไม่ได้แล้วครอบครัวราชการ รัฐวิสาหกิจไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว หลังจบวิกฤติ ราชการหลายหน่วยงานทะยอยเบิกเบี้ยเสี่ยงภัย ค่าล่วงเวลา ฯ ขณะที่เอกชน เพิ่งทะยอยรับคนที่ไล่ออกไปกลับมาทำงานใหม่ ??????
4. ประเทศไทยเป็นรัฐข้าราชการ ฟ้ารู้ดินรู้มาตลอดว่าต้องลดขนาดอ้วนท้วนอุ้ยอ้ายของระบบราชการลงและเพิ่มประสิทธิภาพ ก่อนที่งบประมาณประจำจะกินงบเสียเกือบหมดจนไม่มีเหลือลงทุนหรือใช้หนี้ แต่รู้ก็ส่วนรู้ ในทางปฎิบัติทำไม่ได้เพราะลดขนาดราชการ = ลดอำนาจ ซึ่งไม่มีใครเขาทำกัน ฉะนั้นปลอภัย วางใจได้
ชัดขนาดนี้แล้วยังต้องถกเถียงกันอยู่อีกหรือครับ
หมายเหตุ* นี้ไม่นับคนทำเอกชนเพื่อประกอบธุรกิจนะครับ อันนั้นยังไงก็ดีกว่ามนุษย์เงินดือนทั้งสองแบบแน่ๆ ถ้าทำสำเร็จน่ะนะ
มนุษย์เงินเดือนที่ยังสงสัยในงานราชการ รัฐวิวาหกิจ ถามจริง เขาไม่รู้กันจริงๆหรือว่า 40 คือจุดเปลี่ยน ?
หรือเป็นเพราะเขาต้องคิดวิเคราะห์เรื่องนี้ตอนอายุ 20 ต้น หรือ 30 เลยนึกภาพหลักกิโลฯที่ 40 ไม่ออก ถ้าไม่มีคนไกด์ให้หรือตัวอย่างใกล้ตัวเลยตัดสินใจผิด
หลักๆมันมีอยู่ 4 เรื่องที่คุณคิดไปไม่ถึง
1.40 คือจุดที่รายได้จากการทำงานราชการหรือรัฐวิวาหกิจ ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน +เงินประจำตำแหน่ง+ค่าวิชาชีพ+ค่าครองชีพ เทียบเท่าหรือเริ่มแซงเอกชน ในตำแหน่งทั่วๆไปที่ไม่ประหลาดหวือหวา ไม่ว่าคุณเริ่มต้นจากตรงไหน
2.สุขภาพของมนุษย์ทุกผู้ทุกนามจะถดถอยลงในวัยนี้ โรคาพยาธิที่ซุ่มซ่อนอยู่ในกรรมพันธุ์ หรือ สั่งสมมาในร่างกายจะเริ่มทะยอยรายงานตัว ถึงกระทบการทำงาน แต่ถ้าไม่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ หรือ ให้ล้มหมอนนอนเสื่อก็ได้ ราชการ รัฐวิสาหกิจ คุณได้ไปต่อ แต่เอกชน แค่ประสิทธิภาพคุณดรอปลงมา ต่อให้คุณเก่งแค่ไหน คุณก็จบ
3. ไม่ว่าเกิดวิกฤติใดๆในโลก งานราชการคือคนที่จะเข้าสู่สมรภูมิเป็น คนสุดท้ายและ เผ่นออกจากสนามรบเป็นคนแรกเสมอ ดูโควิดเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่เริ่ม จนจบ นอกจากพาครอบครัวไปเที่ยวญี่ปุ่นไม่ได้แล้วครอบครัวราชการ รัฐวิสาหกิจไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว หลังจบวิกฤติ ราชการหลายหน่วยงานทะยอยเบิกเบี้ยเสี่ยงภัย ค่าล่วงเวลา ฯ ขณะที่เอกชน เพิ่งทะยอยรับคนที่ไล่ออกไปกลับมาทำงานใหม่ ??????
4. ประเทศไทยเป็นรัฐข้าราชการ ฟ้ารู้ดินรู้มาตลอดว่าต้องลดขนาดอ้วนท้วนอุ้ยอ้ายของระบบราชการลงและเพิ่มประสิทธิภาพ ก่อนที่งบประมาณประจำจะกินงบเสียเกือบหมดจนไม่มีเหลือลงทุนหรือใช้หนี้ แต่รู้ก็ส่วนรู้ ในทางปฎิบัติทำไม่ได้เพราะลดขนาดราชการ = ลดอำนาจ ซึ่งไม่มีใครเขาทำกัน ฉะนั้นปลอภัย วางใจได้
ชัดขนาดนี้แล้วยังต้องถกเถียงกันอยู่อีกหรือครับ
หมายเหตุ* นี้ไม่นับคนทำเอกชนเพื่อประกอบธุรกิจนะครับ อันนั้นยังไงก็ดีกว่ามนุษย์เงินดือนทั้งสองแบบแน่ๆ ถ้าทำสำเร็จน่ะนะ