เป็นอีกทีมที่ผ่านไปได้แบบไม่ยากลำบาก สำหรับโปรตุเกส หลังจากเอาชนะ สวิตเซอร์แลนด์ไป 6 - 1 โดยรูปเกมส์ถือว่าทีมแดนฝอยทอง ค่อนข้างได้เปรียบทีมจากแดนนาฬิกาอยู่ค่อนข้างมาก โดยในชัยชนะครั้งนี้มีจุดที่น่าสนใจที่สุดก็คือ การตัดสินใจดรอป คริสเตียโน โรนัลโด้ ของ กุนซือ แฟร์นานโด ซานโตส ซึ่งหลังจากชัยชนะนัดนี้ ส่งผลให้โปรตุเกสจะเข้าไปพบกับโมร็อกโกในรอบ 8 ทีมต่อไป และจากนี้จะเป็นการกล่าวถึงรายละเอียดภายในเกมส์ จากสิ่งที่ผมได้เห็นครับ
1.การจัดตัวผู้เล่น
- โปรตุเกสเปลี่ยนผู้เล่น 8 คน โดยเป็นการเปลี่ยนผู้เล่นชุดหลักกลับมาทำหน้าที่ และมีผู้เล่นหน้าใหม่บางคนได้รับโอกาสในเกมส์นี้ ซึ่งผู้เล่นที่ถูกเปลี่ยนลงมาได้แก่ ราฟาเอล เกร์เรโร , รูเบน ดิอาส , แบร์นาร์โด้ ซิลวา , วิลเลียม คาร์วัลโญ , โอตาวิโอ , ชูเอา เฟลิกซ์ , บรูโน แฟร์นันด์ส และไฮไลท์คือการเปลี่ยนกอนซาโล รามอส ลงทำหน้าที่แทน คริสเตียโน โรนัลโด้
- สวิตเซอร์แลนด์เปลี่ยนผู้เล่น 2 ตำแหน่ง โดยเปลี่ยน ยานน์ ซอมเมอร์ แทนที่ของ เกรกอร์ โคเบิล และ เอดิมิลสัน เฟอร์นันเดส แทน ซิลวาน วิดเมอร์
2.ระบบการเล่น
เกมส์นี้อาจจะพูดถีงระบบการเล่นน้อยหน่อยนะครับ เนื่องจากทั้ง 2 ทีม ไม่ได้ใช้วิธีการอะไรที่ซับซ้อนเลย โดยเฉพาะโปรตุเกส ที่วิธีการเล่นค่อนข้างเบสิคมากๆ แต่เป็นสวิตเซอร์แลนด์เอง ที่เล่นเข้าทางโปรตุเกส เป็นสาเหตุที่ทำให้ทีมเสียถึง 6 ประตู ในเกมส์นี้
โดยโปรตุเกส เลือกที่จะตั้งรับ ยืนคุมพื้นที่ในแดนตัวเอง รอให้สวิตเซอร์แลนด์เซ็ตเกมส์รุกเข้าใส่ ซึ่งเมื่อมิดฟิลด์ฝั่งสวิตเซอร์แลนด์ เริ่มเซ็ตบอล กินแดนเข้ามายังพื้นที่ของโปรตุเกส ทีมฝอยทองจะเริ่มบีบใส่ เพื่อดักตัดบอลตรงกลางสนาม และเมื่อตัดบอลได้ จะรีบทิ้งที่ว่างหรือฝากบอลไปให้ ชูเอา เฟลิกซ์ใช้ความเร็วลากเลื้อยขึ้นไปแดนบน ในระหว่างนี้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส จะวิ่งประคองไปด้วย เพื่อคอยซัพพอร์ตในกรณีที่ เฟลิกซ์ โดนซ้อน ซึ่งเมื่อเข้าระยะอันตราย กอนซาโล รามอส จะคอยหาพื้นที่ในกรอบเขตโทษเพื่อรอการสร้างจังหวะจาก บรูโน หรือ เฟลิกซ์
โดยฝั่งสวิตเซอร์แลนด์จะใช้วิธีการเซ็ตบอล ขึ้นมาจากแนวรับ พร้อมให้มิดฟิลด์อย่างเรโม ฟรอยเลอร์ เป็นคนขึ้นเกมส์รุก และซัพพอร์ตผู้เล่นหมายเลข10 โดยจังหวะสุดท้ายในการเข้าทำ จะพยายามใช้ความสามารถเฉพาะตัวของริมเส้นอย่าง รูเบ็น วาร์กาส และเซอร์ดาน ชากิรี ในการสร้างสรรค์โอกาส โดยมีผู้เล่นหมายเลข 10 อย่าง ฌิบริล โซว์ เป็นคนคอยเชื่อม และใช้ บรีล เอ็มโบโล ในการหาพื้นที่ทำประตู
แต่จุดอ่อนของพวกเขาคือ มิดฟิลด์ที่เป็นศูนกลางย์ในการออกบอลอย่าง เรโม ฟรอยเลอร์ ซึ่งมีความเชื่องช้า จึงเป็นเป้าหมายหลักในการโดนบีบ และโดนตัดบอลได้ รวมถึงผู้เล่นหมาย10 อย่าง ฌิบริล โซว์ ก็ไม่สามารถเชื่อมเกมส์รุก เก็บบอล หรือเชื่อมแดนกลางได้เลย ทำให้เรโม ฟรอยเลอร์ ที่ก็ไม่ได้เล่นดีเท่าไหร่นัก ต้องพาบอลขึ้นหน้าไปเอง และเสียบอลกลางทางอยู่บ่อยๆ เรียกได้ว่าที่เกมส์รุกของสวิตเซอร์แลนด์ถูกตัดออกจากเกมส์นี้ มีต้นเหตุมาจาก 2 คนนี้ก็ได้
ชึ่งเกมส์นี้สำหรับผมเอง ก็คิดว่ามูรัต ยาคิน ดื้อไปสักหน่อยเพราะทั้งๆที่เห็นแล้วว่า วิธีการเล่นของพวกเขามีปัญหา นอกจากจะสร้างอันตรายให้คู่แข่งไม่ได้แล้ว ยังเสี่ยงถูกลงโทษจากความผิดพลาดของตัวเองด้วย แต่ก็ยังเลือกใช้วิธีการเดิม จนจบเกมส์ มีจุดที่พอจะทำได้ดีหน่อยก็คือ การเลือกเปลี่ยนผู้เล่นที่ก่อความผิดพลาดมากที่สุดในสนาม 2 คน อย่าง ฌิบริล โซว์ และ เรโม ฟรอยเลอร์ ออกไป นอกจากนั้นเกมส์นี้ ถือว่าเขาไม่ได้โชว์ความสามารถในการแก้ปัญหาให้เห็นได้เลย
โดยทางฝั่งโปรตุเกสที่ส่งกอนซาโล รามอส ลงมาแทนที่ของโรนัลโด้ นั้น ความจริงหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายในวันนี้ คือหน้าที่เดียวกับโรนัลโด้ ในเกมส์ที่ผ่านมา เพียงแต่สิ่งที่รามอสทำได้ดีกว่าคือ ความเร็วในการเข้าหาบอล เพราะช่วงหลังๆทั้งในทีมชาติและสโมสร โรนัลโด้มักจะเข้าหาบอลช้า ทำให้โอกาสที่เพื่อนสร้างสรรค์มาให้หลุดลอยไปหลายๆครั้ง โดยสาเหตุน่าจะมาจากสภาพร่างกายของเจ้าตัว ที่เริ่มเคลื่อนไหวตามสิ่งที่คิดไม่ได้ ซึ่งจากที่เราได้เห็นผลงานของรามอส ในเกมส์นี้ ผมคิดว่าเราน่าจะมีโอกาสห็นเจ้าตัวเป็นตัวจริงในแดนหน้าไปอีกยาวๆ จนกว่าจะจบทัวร์นาเมนต์นี้เลย
3.นักเตะที่ทำได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
- เรโม ฟรอยเลอร์ ถือว่าทำได้น่าผิดหวังมาตลอดทัวร์นาเมนต์ และน่าแปลกใจอย่างมาก ที่เจ้าตัวยังคงได้เป็นตัวจริงจนกระทั่งตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยจุดอ่อนของเจ้าตัวยังคงเป็นปัญหาเดิมๆ คือ ความเชื่องช้า การออกบอลที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อแนวรุก และการเคลื่อนที่ที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่สามารถเพิ่มทางเลือกในการแกะเพลสซิ่งให้แก่เพื่อนร่วมทีมได้ และสุดท้ายก็ถูกแทนที่ในครึ่งหลังโดย เดนิส ซากาเรีย
- ฌิบริล โซว์ ไม่มีประโยชน์ใดๆเลยในเกมส์นี้ ทั้งในเรื่องของการเก็บบอลในแดนบน การเชื่อมจากกลางไปสู่แนวรุก หรือการเชื่อมเกมส์และซัพพอร์ตผู้เล่นริมเส้น เหมือนส่งลงมาให้ครบ 11 คนจริงๆ และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ เรโม ฟรอยเลอร์ ที่ไม่ดีอยู่แล้ว ดูไม่ดียิ่งไปกว่าเดิมอีก ซึ่งสุดท้ายก็ถูกแทนที่โดย ฮาริส เซเฟโรวิช ในที่สุด
**ถือว่าเข้ารอบได้ตามเป้าสำหรับโปรตุเกส รวมถึงตัวกุนซืออย่าง แฟร์นานโด ซานโตส เนื่องจากเจ้าตัวต้องทำการตัดสินใจที่ค่อนข้างเสี่ยงมากๆ คือการเลือกดรอป คริสเตียโน โรนัลโด้ เพราะถ้าเกิดเกมส์นี้ผลไม่เป็นใจขึ้นมา ตัวเขาอาจเป็นเป้าหมายแรกในการถุกโจมตีจากสื่อ แฟนบอลในประเทศและทั่วโลก แต่ตัวเขาก็ได้แสดงให้เห็นว่า การตัดสินใจของเขานั้นถูกต้อง โดยในรอบต่อไป โปรตุเกสจะต้องเข้าไปพบกับโมร็อกโก ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในการผ่านเข้ารอบต่อไป เนื่องจากโมร็อกโก น่าจะอ่อนล้ามากๆ จากการแข่งขันกับสเปนมา 120 นาที
**ทางฝั่งสวิตเซอร์แลนด์ ก็ไม่ได้มีอะไรน่าแปลกใจนัก เนื่องจากพวกเขาก็ทำผลงานได้ตามศักยภาพที่ตนเองมีแล้ว ซึ่งจากนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ สวิตเซอร์แลนด์จะสร้างนักเตะหน้าใหม่ ขึ้นมาทดแทนนักเตะชุดเก่าๆ ที่กำลังโรยราลงไปอย่าง ฮาริส เซเฟโรวิช หรือ เซอร์ดาน ชากิรี่ ได้หรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องติดตามต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเกมส์โปรตุเกสพบสวิตเซอร์แลนด์
1.การจัดตัวผู้เล่น
- โปรตุเกสเปลี่ยนผู้เล่น 8 คน โดยเป็นการเปลี่ยนผู้เล่นชุดหลักกลับมาทำหน้าที่ และมีผู้เล่นหน้าใหม่บางคนได้รับโอกาสในเกมส์นี้ ซึ่งผู้เล่นที่ถูกเปลี่ยนลงมาได้แก่ ราฟาเอล เกร์เรโร , รูเบน ดิอาส , แบร์นาร์โด้ ซิลวา , วิลเลียม คาร์วัลโญ , โอตาวิโอ , ชูเอา เฟลิกซ์ , บรูโน แฟร์นันด์ส และไฮไลท์คือการเปลี่ยนกอนซาโล รามอส ลงทำหน้าที่แทน คริสเตียโน โรนัลโด้
- สวิตเซอร์แลนด์เปลี่ยนผู้เล่น 2 ตำแหน่ง โดยเปลี่ยน ยานน์ ซอมเมอร์ แทนที่ของ เกรกอร์ โคเบิล และ เอดิมิลสัน เฟอร์นันเดส แทน ซิลวาน วิดเมอร์
2.ระบบการเล่น
เกมส์นี้อาจจะพูดถีงระบบการเล่นน้อยหน่อยนะครับ เนื่องจากทั้ง 2 ทีม ไม่ได้ใช้วิธีการอะไรที่ซับซ้อนเลย โดยเฉพาะโปรตุเกส ที่วิธีการเล่นค่อนข้างเบสิคมากๆ แต่เป็นสวิตเซอร์แลนด์เอง ที่เล่นเข้าทางโปรตุเกส เป็นสาเหตุที่ทำให้ทีมเสียถึง 6 ประตู ในเกมส์นี้
โดยโปรตุเกส เลือกที่จะตั้งรับ ยืนคุมพื้นที่ในแดนตัวเอง รอให้สวิตเซอร์แลนด์เซ็ตเกมส์รุกเข้าใส่ ซึ่งเมื่อมิดฟิลด์ฝั่งสวิตเซอร์แลนด์ เริ่มเซ็ตบอล กินแดนเข้ามายังพื้นที่ของโปรตุเกส ทีมฝอยทองจะเริ่มบีบใส่ เพื่อดักตัดบอลตรงกลางสนาม และเมื่อตัดบอลได้ จะรีบทิ้งที่ว่างหรือฝากบอลไปให้ ชูเอา เฟลิกซ์ใช้ความเร็วลากเลื้อยขึ้นไปแดนบน ในระหว่างนี้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส จะวิ่งประคองไปด้วย เพื่อคอยซัพพอร์ตในกรณีที่ เฟลิกซ์ โดนซ้อน ซึ่งเมื่อเข้าระยะอันตราย กอนซาโล รามอส จะคอยหาพื้นที่ในกรอบเขตโทษเพื่อรอการสร้างจังหวะจาก บรูโน หรือ เฟลิกซ์
โดยฝั่งสวิตเซอร์แลนด์จะใช้วิธีการเซ็ตบอล ขึ้นมาจากแนวรับ พร้อมให้มิดฟิลด์อย่างเรโม ฟรอยเลอร์ เป็นคนขึ้นเกมส์รุก และซัพพอร์ตผู้เล่นหมายเลข10 โดยจังหวะสุดท้ายในการเข้าทำ จะพยายามใช้ความสามารถเฉพาะตัวของริมเส้นอย่าง รูเบ็น วาร์กาส และเซอร์ดาน ชากิรี ในการสร้างสรรค์โอกาส โดยมีผู้เล่นหมายเลข 10 อย่าง ฌิบริล โซว์ เป็นคนคอยเชื่อม และใช้ บรีล เอ็มโบโล ในการหาพื้นที่ทำประตู
แต่จุดอ่อนของพวกเขาคือ มิดฟิลด์ที่เป็นศูนกลางย์ในการออกบอลอย่าง เรโม ฟรอยเลอร์ ซึ่งมีความเชื่องช้า จึงเป็นเป้าหมายหลักในการโดนบีบ และโดนตัดบอลได้ รวมถึงผู้เล่นหมาย10 อย่าง ฌิบริล โซว์ ก็ไม่สามารถเชื่อมเกมส์รุก เก็บบอล หรือเชื่อมแดนกลางได้เลย ทำให้เรโม ฟรอยเลอร์ ที่ก็ไม่ได้เล่นดีเท่าไหร่นัก ต้องพาบอลขึ้นหน้าไปเอง และเสียบอลกลางทางอยู่บ่อยๆ เรียกได้ว่าที่เกมส์รุกของสวิตเซอร์แลนด์ถูกตัดออกจากเกมส์นี้ มีต้นเหตุมาจาก 2 คนนี้ก็ได้
ชึ่งเกมส์นี้สำหรับผมเอง ก็คิดว่ามูรัต ยาคิน ดื้อไปสักหน่อยเพราะทั้งๆที่เห็นแล้วว่า วิธีการเล่นของพวกเขามีปัญหา นอกจากจะสร้างอันตรายให้คู่แข่งไม่ได้แล้ว ยังเสี่ยงถูกลงโทษจากความผิดพลาดของตัวเองด้วย แต่ก็ยังเลือกใช้วิธีการเดิม จนจบเกมส์ มีจุดที่พอจะทำได้ดีหน่อยก็คือ การเลือกเปลี่ยนผู้เล่นที่ก่อความผิดพลาดมากที่สุดในสนาม 2 คน อย่าง ฌิบริล โซว์ และ เรโม ฟรอยเลอร์ ออกไป นอกจากนั้นเกมส์นี้ ถือว่าเขาไม่ได้โชว์ความสามารถในการแก้ปัญหาให้เห็นได้เลย
โดยทางฝั่งโปรตุเกสที่ส่งกอนซาโล รามอส ลงมาแทนที่ของโรนัลโด้ นั้น ความจริงหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายในวันนี้ คือหน้าที่เดียวกับโรนัลโด้ ในเกมส์ที่ผ่านมา เพียงแต่สิ่งที่รามอสทำได้ดีกว่าคือ ความเร็วในการเข้าหาบอล เพราะช่วงหลังๆทั้งในทีมชาติและสโมสร โรนัลโด้มักจะเข้าหาบอลช้า ทำให้โอกาสที่เพื่อนสร้างสรรค์มาให้หลุดลอยไปหลายๆครั้ง โดยสาเหตุน่าจะมาจากสภาพร่างกายของเจ้าตัว ที่เริ่มเคลื่อนไหวตามสิ่งที่คิดไม่ได้ ซึ่งจากที่เราได้เห็นผลงานของรามอส ในเกมส์นี้ ผมคิดว่าเราน่าจะมีโอกาสห็นเจ้าตัวเป็นตัวจริงในแดนหน้าไปอีกยาวๆ จนกว่าจะจบทัวร์นาเมนต์นี้เลย
3.นักเตะที่ทำได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
- เรโม ฟรอยเลอร์ ถือว่าทำได้น่าผิดหวังมาตลอดทัวร์นาเมนต์ และน่าแปลกใจอย่างมาก ที่เจ้าตัวยังคงได้เป็นตัวจริงจนกระทั่งตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยจุดอ่อนของเจ้าตัวยังคงเป็นปัญหาเดิมๆ คือ ความเชื่องช้า การออกบอลที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อแนวรุก และการเคลื่อนที่ที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่สามารถเพิ่มทางเลือกในการแกะเพลสซิ่งให้แก่เพื่อนร่วมทีมได้ และสุดท้ายก็ถูกแทนที่ในครึ่งหลังโดย เดนิส ซากาเรีย
- ฌิบริล โซว์ ไม่มีประโยชน์ใดๆเลยในเกมส์นี้ ทั้งในเรื่องของการเก็บบอลในแดนบน การเชื่อมจากกลางไปสู่แนวรุก หรือการเชื่อมเกมส์และซัพพอร์ตผู้เล่นริมเส้น เหมือนส่งลงมาให้ครบ 11 คนจริงๆ และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ เรโม ฟรอยเลอร์ ที่ไม่ดีอยู่แล้ว ดูไม่ดียิ่งไปกว่าเดิมอีก ซึ่งสุดท้ายก็ถูกแทนที่โดย ฮาริส เซเฟโรวิช ในที่สุด
**ถือว่าเข้ารอบได้ตามเป้าสำหรับโปรตุเกส รวมถึงตัวกุนซืออย่าง แฟร์นานโด ซานโตส เนื่องจากเจ้าตัวต้องทำการตัดสินใจที่ค่อนข้างเสี่ยงมากๆ คือการเลือกดรอป คริสเตียโน โรนัลโด้ เพราะถ้าเกิดเกมส์นี้ผลไม่เป็นใจขึ้นมา ตัวเขาอาจเป็นเป้าหมายแรกในการถุกโจมตีจากสื่อ แฟนบอลในประเทศและทั่วโลก แต่ตัวเขาก็ได้แสดงให้เห็นว่า การตัดสินใจของเขานั้นถูกต้อง โดยในรอบต่อไป โปรตุเกสจะต้องเข้าไปพบกับโมร็อกโก ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในการผ่านเข้ารอบต่อไป เนื่องจากโมร็อกโก น่าจะอ่อนล้ามากๆ จากการแข่งขันกับสเปนมา 120 นาที
**ทางฝั่งสวิตเซอร์แลนด์ ก็ไม่ได้มีอะไรน่าแปลกใจนัก เนื่องจากพวกเขาก็ทำผลงานได้ตามศักยภาพที่ตนเองมีแล้ว ซึ่งจากนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ สวิตเซอร์แลนด์จะสร้างนักเตะหน้าใหม่ ขึ้นมาทดแทนนักเตะชุดเก่าๆ ที่กำลังโรยราลงไปอย่าง ฮาริส เซเฟโรวิช หรือ เซอร์ดาน ชากิรี่ ได้หรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องติดตามต่อไป