"ผมไม่รู้หรอกว่าพี่เคยรักผมจริงบ้างหรือเปล่า แต่ผมรักพี่มาตลอด แม้จะรู้ว่าคงไม่มีโอกาสที่เราจะมีชีวิตคู่ร่วมกันเหมือนคู่อื่น ๆ เพราะข้อจำกัดเรื่องครอบครัวพี่ ซึ่งผมก็พยายามเข้าใจและปรับตัวเองให้อยู่ในจุดที่สมดุลมากที่สุดเท่าที่พี่อยากให้ผมอยู่ ไม่พยายามเรียกร้องหรือขออะไรไปมากกว่าสิ่งที่พี่ให้ผมได้ ให้เกียรติและอิสระในการใช้ชีวิตกับพี่อย่างเต็มที่ซึ่งพี่ก็ให้ผมด้วยเช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจำมาตลอด คือ ในช่วงเวลาที่เรามีความสุขร่วมกัน พี่มักพูดกับผมว่า ขอให้ผมเป็นของพี่แค่คนเดียวได้มั้ย อย่าไปมีอะไรกับคนอื่นนอกจากพี่นะ ซึ่งห้าปีที่ผ่านมาผมก็ซื่อสัตย์กับพี่มาตลอด และเชื่อใจว่าพี่ก็คงซื่อสัตย์กับผมเช่นกันโดยที่ผมไม่ต้องร้องขอ
วันนี้ผมได้รู้ว่า ผมไม่ใช่คนเดียวที่พี่มีความสัมพันธ์ด้วยมานานหลายปี ผมเสียใจจนไม่รู้จะอธิบายให้พี่เข้าใจมันยังไง ที่แย่กว่านั้นคือผมเข้าไปมีส่วนทำให้คนที่เขารักพี่ ทุ่มเทเพื่อพี่ และยอมอดทนเสียสละเพื่อพี่ต้องเสียใจมากที่สุดเหมือนกัน มันจะเป็นตราบาปติดอยู่ในใจผมไปตลอด ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะทำใจให้กลับไปเหมือนเดิมได้ และไม่รู้จะเรียกร้องอะไรในเมื่อมันไม่มีอะไรให้ผมเรียกร้องกลับได้เลย ทำไมพี่ใจร้ายกับผมจัง พี่ไม่สงสารผมบ้างเลยหรอครับ ครั้งแรกที่เราเริ่มคุยกัน ผมก็เคยเล่าให้พี่ฟังไม่ใช่หรอว่าผมเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่พี่ก็ยังตั้งใจทำกับผมซ้ำอีกรอบ แล้ววันนี้ที่ผมเจ็บ พี่รู้สึกเจ็บไปกับผมด้วยมั้ย ผมพยายามเข้าใจและแคร์ความรู้สึกของพี่มาตลอด แต่สุดท้ายพี่ก็ยังทำร้ายผม ผมต้องเข้มแข็งหรืออ่อนแอมากกว่าที่เป็นอยู่เท่าไหร่ พี่ถึงจะเห็นใจผมบ้าง
ห้าปีที่ผ่านมา ผมก็ให้พี่ได้แค่ความรักกับร่างกาย ซึ่งตอนนี้ผมรู้แล้วว่าสิ่งที่ผมให้พี่ได้คนอื่นก็ให้พี่ได้เหมือนกัน และให้มานานมากกว่าผมด้วยซ้ำ มันก็คงถึงเวลาที่ผมหมดความจำเป็นสำหรับพี่แล้ว ขอบคุณนะครับสำหรับช่วงเวลาดี ๆ ของเราที่ทำให้ผมมีความสุข ห้าปีจะว่านานก็นาน แต่สำหรับผมมันสั้นมากกว่าที่ผมคาดหวังไว้เยอะ ต่อไปในชีวิตผมที่ยังเหลืออยู่ ไม่ว่าผมจะมีคนเข้ามาในชีวิตอีกหรือไม่ แต่ความทรงจำส่วนหนึ่งก็ยังมีพี่อยู่เสมอ พี่ไม่ต้องห่วงผมนะ เวลาต่อจากนี้ความรู้สึกแย่ ๆ ความเสียใจที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้มันจะค่อย ๆ ดีขึ้น ขอให้พี่โชคดีและมีความสุขนะครับ"
ทั้งหมดเป็นข้อความสุดท้ายที่ผมส่งให้ผู้ชายคนหนึ่ง หลังจากรู้ความจริงว่าตลอดระยะเวลาห้าปีที่คบกัน เขาไม่ได้มีผมแค่คนเดียว แต่ยังมีอีกคนที่อยู่มาก่อนผมแล้วเป็น 10 ปี ผมถือว่ามันเป็นข้อความจากลาที่ขอให้จากกันด้วยดี แม้จะต้องแลกมาด้วยความเสียใจของคนสองคนหรือสามคนก็ตาม แต่จะกลายเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับผมและใครอีกหลายคนที่ได้เข้ามาอ่าน
เรื่องระหว่างผมกับเขาเริ่มขึ้นในช่วงกลางเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2560 ผมเข้าไปหาเพื่อนคุยในเว็บแชทเกย์เว็บหนึ่ง และเขาก็ทักทายผมมา ด้วยความที่คุยกันถูกคอ ผมจึงให้ไลน์เขาไปเพื่อจะได้มีโอกาสคุยกันเพื่อเรียนรู้กันให้มากขึ้น และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เราก็คุยกันทุกวันทั้งทางไลน์และโทรคุย ความสัมพันธ์จากคนแปลกหน้าที่รู้จักกันทางออนไลน์จึงเริ่มกลายเป็นความคิดถึง ความห่วงใย และความผูกพันมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาอายุเยอะกว่าผม 7 ปี ทำงานเป็นช่างเทคนิคอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ เคยแต่งงานมีครอบครัวและมีลูกติดหนึ่งคน เขาบอกผมว่าเลิกกับแม่ของเด็กมาเกือบ 10 ปี เพราะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไม่รอด หลังจากนั้นเขาก็เริ่มหันมาสนใจผู้ชายด้วยกัน เพราะอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจมากกว่า มีความเข้าอกเข้าใจกันมากกว่า และเรื่องอย่างว่าก็ทำให้เขามีความสุขกว่าผู้หญิง เขาบอกผมว่าเคยคบกับผู้ชายมาบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นแฟนจริงจัง และเขายืนยันหนักแน่นว่า ณ วันที่กำลังคุยกับผม เขาไม่ได้คบกับใคร ไม่ได้มีความสัมพันธ์ในรูปแบบใด ๆ กับใครทั้งหมดทั้งสิ้น
เวลาผ่านไประยะหนึ่ง เราก็ได้นัดเจอกัน เขาให้ผมไปหาเขาที่ห้องซึ่งอยู่แถวพระสมุทรเจดีย์ ผมก็นั่งรถเมล์จากที่พักแถวจตุจักรไปตามที่เขาบอก ซึ่งโชคดีที่นั่งรถเมล์เพียงสายเดียวก็ไปถึงจุดที่เขานัดจะมารับ ผมเลยไม่ต้องต่อรถหลายครั้ง และใช้เวลาเดินทางไม่นาน การเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างผมกับเขาจึงไม่ใช่อุปสรรคในการพบกันของเรา วันแรกที่เราพบกันเขาขี่มอเตอร์ไซด์มารับผมที่จุดนัดพบหน้าอู่รถเมล์ พาผมซ้อนมอเตอร์ไซด์ไปกินข้าวแถวหอนาฬิกาตรงสามแยกพระสมุทรเจดีย์ ก่อนที่จะพาไปห้องเขาซึ่งอยู่ทางลงไปป้อมพระจุล ตอนนั้นผมก็แอบรู้สึกกลัวอยู่บ้าง เพราะที่ที่เขาพาผมไปมันไกลจากที่พักผมมากและไม่เคยไปไม่คุ้นเคยกับสถานที่ แต่พอได้พบเขา ได้เห็นแววตา ได้ยินคำพูด และการปฏิบัติที่ดีต่อผม ทำให้ผมไว้ใจเขามากขึ้น และคืนนั้นก็เป็นครั้งแรกที่เรามีความสัมพันธ์กัน
หลังจากวันนั้น เราก็ยังคุยกันทุกวันและไปมาหาสู่กันเป็นระยะ ๆ แต่เวลาว่างของผมกับเขาจะไม่ตรงกัน เพราะเขาทำงานเป็นกะ ส่วนผมทำงานตามวันเวลาราชการ ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาที่เราจะคบกัน วันไหนเขาหยุดเขาก็มาหาผมที่ห้อง วันไหนผมหยุดก็ไปที่ห้องเขา บางครั้งเขามีเวลาว่างแค่สามสี่ชั่วโมงก็ยังมาหาผม มานอนกอดผมแล้วก็กลับไปทำงานต่อ คืนไหนผมต้องอยู่เวรเฝ้าที่ทำงาน เขาก็โทรมาอยู่เป็นเพื่อนผม ซึ่งสำหรับเขาเป็นผู้ชายที่มีความเพียบพร้อมคนนึงทั้งรูปร่างหน้าตา นิสัย อารมณ์ การเอาใจใส่ดูแล และความห่วงใยที่มีให้กันตลอด ผมรู้สึกได้รับความรักความอบอุ่นจากเขาทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ ส่วนข้อเสียนอกจากเรื่องเวลาที่ไม่ตรงกัน เขายังเป็นคนอ่านและตอบไลน์ช้า บางครั้งทักไปหลายชั่วโมงหรือเป็นวันจึงจะอ่าน และส่วนใหญ่จะส่งเป็นสติ๊กเกอร์ตอบมาแทนพิมพ์เป็นข้อความ ซึ่งก็เป็นแบบนั้นสม่ำเสมอจนผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติ ผมถามเขาทุกครั้ง เขาก็ตอบเหมือนเดิมทุกครั้งว่าต้องทำงานไม่มีเวลาอ่านไลน์ หรือถ้ามีช่วงไหนเขากลับบ้านที่ต่างจังหวัดไปหาลูกหรือไปเที่ยวกับเพื่อน เขาก็จะบอกผมก่อนว่าจะไม่ค่อยได้อ่านไลน์หรือไม่ได้ติดต่อมาหาผม และช่วงปิดเทอมใหญ่ของทุกปีเขาจะพาลูกมาอยู่ด้วยที่ห้อง ผมกับเขาก็จะไม่ได้เจอกันไประยะหนึ่ง แต่ก็ยังคุยผ่านไลน์กันเกือบทุกวัน ทั้งเขาและผมมีเฟสบุ๊กแต่ก็ไม่ได้แอดเป็นเพื่อนกัน เพราะเฟสผมไม่ได้ให้ใครแอดมาเป็นเพื่อนอยู่แล้ว สมัครไว้ใช้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองเท่านั้น แต่ผมก็พอจะรู้ว่าชื่อเฟสเขาชื่ออะไร และแอบเข้าไปส่องอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงที่เขาหายไปแบบผิดปกติ ซึ่งก็ไม่พบความเคลื่อนไหวอะไรที่เป็นพิรุธหรือผิดปกติไปจากที่มันควรเป็น เว้นแต่ว่าเวลาเขาไปเที่ยวกับผม เขาก็จะลงรูปเขาคนเดียวและตอบคนที่มาถามในคอมเม้นต์ว่าไปคนเดียวบ้าง หรือไปกับเพื่อน ซึ่งรายละเอียดหรือเงื่อนไขบนความสัมพันธ์ของเราทั้งหมดนี้ ผมก็เต็มใจยอมรับและเข้าใจได้ว่าเขาไม่ต้องการให้สังคมรู้ว่าเขากำลังคบกับเพศเดียวกัน
เวลาของเราผ่านจากหลายเดือนเป็นปี สองปี สามปี สี่ปี ห้าปี จนเข้าสู่ปีที่หก ผมกับเขาก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อเรื่อยมา เขาเองก็สม่ำเสมอกับผมมาตลอด มีหลายครั้งที่เราไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน ผ่านเรื่องราวที่เป็นโมเม้นท์ความทรงจำดี ๆ น่าประทับใจอะไรต่าง ๆ นานามานับไม่ถ้วน เขายังคงเป็นผู้ชายที่ดีและอบอุ่นคนเดิมของผม แม้การใช้ชีวิตคู่ของเราจะไม่สมบูรณ์แบบ ด้วยเพราะเหตุผลเรื่องครอบครัวของเขา ที่ทำให้ไม่สามารถเปิดเผยการมีผมอยู่ต่อสังคมญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงเขาได้ ซึ่งผมก็เข้าใจและเต็มใจปรับตัว ปรับความคิดให้เป็นไปตามครรลองที่มันควรเป็น ผมยอมรับ "ผมรักเขามากขึ้นเรื่อย ๆ" รักโดยไม่สนใจว่าอนาคตเส้นทางของผมกับเขาจะเป็นทางที่ไปต่อได้ไม่จบสิ้นหรือทางตัน และเชื่อว่า "เขาก็รักผมเช่นกัน" เพราะเขาก็เคยพูดคำว่ารักให้ผมได้ยินอยู่หลายครั้งและการปฏิบัติของเขาต่อผมก็เป็นไปตามคำที่เขาพูด ที่สำคัญคือ หลายครั้งขณะที่ร่างกายเรากำลังประสานรวมกัน เขาจะพูดกับผมว่า "ขอให้ผมเป็นของเขาคนเดียว" หรือ "อย่าไปมีอะไรกับคนอื่นนอกจากเขา" และเขาจะพยายามทำให้ผมมีความสุขที่สุดทุกครั้งที่ได้อยู่กับเขา แม้มันจะฟังดูคล้ายคำพูดของพระเอกในนิยาย แต่ผมสาบานได้ว่าผมได้ยินมันจริง ๆ และไม่ใช่เพียงครั้งเดียว ผมจำได้เสมอและซื่อสัตย์ต่อเขาตามที่เขาขอมาตลอด โดยที่ตัวผมเองก็เชื่อและไว้ใจเขาเช่นกันว่าเขาจะมีผมแค่คนเดียว ซึ่งมันอาจจะเป็นข้อเสียของผมที่ปล่อยให้ความเชื่อใจของผมและความซื่อสัตย์ของเขาควบคุมตัวเขาเอง ผมให้อิสระเสรีในชีวิตเขาเต็มที่เหมือนตอนที่เขายังไม่มีผมเข้าไปในชีวิต ผมไม่เคยตามถามตามเช็คว่าเขาทำอะไรอยู่ไหน อยู่กับใคร หรือจะกลับเมื่อไหร่ เพราะถือเป็นการเคารพและให้เกียรติแก่กัน จะได้ไม่อยู่ด้วยกันแบบอึดอัด ยกเว้นถ้าเขาหายไปแบบผิดปกติจึงจะเข้าไปดูในเฟสเขาเพื่อให้สบายใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ปกติ ซึ่งเขาเองก็ไม่เคยเข้ามาก้าวกายเรื่องชีวิตส่วนตัวของผม เรื่องเงินเราก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวของกันและกัน เวลาไปกินข้าวด้วยกันก็สลับกันจ่ายบ้างแชร์กันบ้าง หรือเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดก็แชร์ค่าใช้จ่ายกันทุกครั้ง ความสุขของเขาที่ผมสังเกตเห็นตลอดเวลาที่เราคบกันคือ การที่เขาได้มาพบผม ได้มองหน้าผม ได้แกล้งผม และได้สัมผัสร่างกายผม ซึ่งทั้งรอยยิ้ม แววตา และร่างกายของเขา มันแสดงออกให้เห็นชัดว่าเขามีความสุขกับผมจริง ๆ ส่วนความสุขของผมก็คือการได้มีเขาอยู่ในชีวิตไว้คอยปรึกษา ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันในแต่ละวัน และได้ดูแลกันในวันที่อีกคนหนึ่งอ่อนแอ ซึ่งผมก็คิดว่ามันจะเป็นความสุขที่ยาวนานออกไปเรื่อย ๆ
..........
ต่อในคอมเม้นต์นะครับ
เมื่อ 5 ปีของผม จบลงด้วย 5 พยางค์ของเขา
วันนี้ผมได้รู้ว่า ผมไม่ใช่คนเดียวที่พี่มีความสัมพันธ์ด้วยมานานหลายปี ผมเสียใจจนไม่รู้จะอธิบายให้พี่เข้าใจมันยังไง ที่แย่กว่านั้นคือผมเข้าไปมีส่วนทำให้คนที่เขารักพี่ ทุ่มเทเพื่อพี่ และยอมอดทนเสียสละเพื่อพี่ต้องเสียใจมากที่สุดเหมือนกัน มันจะเป็นตราบาปติดอยู่ในใจผมไปตลอด ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะทำใจให้กลับไปเหมือนเดิมได้ และไม่รู้จะเรียกร้องอะไรในเมื่อมันไม่มีอะไรให้ผมเรียกร้องกลับได้เลย ทำไมพี่ใจร้ายกับผมจัง พี่ไม่สงสารผมบ้างเลยหรอครับ ครั้งแรกที่เราเริ่มคุยกัน ผมก็เคยเล่าให้พี่ฟังไม่ใช่หรอว่าผมเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่พี่ก็ยังตั้งใจทำกับผมซ้ำอีกรอบ แล้ววันนี้ที่ผมเจ็บ พี่รู้สึกเจ็บไปกับผมด้วยมั้ย ผมพยายามเข้าใจและแคร์ความรู้สึกของพี่มาตลอด แต่สุดท้ายพี่ก็ยังทำร้ายผม ผมต้องเข้มแข็งหรืออ่อนแอมากกว่าที่เป็นอยู่เท่าไหร่ พี่ถึงจะเห็นใจผมบ้าง
ห้าปีที่ผ่านมา ผมก็ให้พี่ได้แค่ความรักกับร่างกาย ซึ่งตอนนี้ผมรู้แล้วว่าสิ่งที่ผมให้พี่ได้คนอื่นก็ให้พี่ได้เหมือนกัน และให้มานานมากกว่าผมด้วยซ้ำ มันก็คงถึงเวลาที่ผมหมดความจำเป็นสำหรับพี่แล้ว ขอบคุณนะครับสำหรับช่วงเวลาดี ๆ ของเราที่ทำให้ผมมีความสุข ห้าปีจะว่านานก็นาน แต่สำหรับผมมันสั้นมากกว่าที่ผมคาดหวังไว้เยอะ ต่อไปในชีวิตผมที่ยังเหลืออยู่ ไม่ว่าผมจะมีคนเข้ามาในชีวิตอีกหรือไม่ แต่ความทรงจำส่วนหนึ่งก็ยังมีพี่อยู่เสมอ พี่ไม่ต้องห่วงผมนะ เวลาต่อจากนี้ความรู้สึกแย่ ๆ ความเสียใจที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้มันจะค่อย ๆ ดีขึ้น ขอให้พี่โชคดีและมีความสุขนะครับ"
ทั้งหมดเป็นข้อความสุดท้ายที่ผมส่งให้ผู้ชายคนหนึ่ง หลังจากรู้ความจริงว่าตลอดระยะเวลาห้าปีที่คบกัน เขาไม่ได้มีผมแค่คนเดียว แต่ยังมีอีกคนที่อยู่มาก่อนผมแล้วเป็น 10 ปี ผมถือว่ามันเป็นข้อความจากลาที่ขอให้จากกันด้วยดี แม้จะต้องแลกมาด้วยความเสียใจของคนสองคนหรือสามคนก็ตาม แต่จะกลายเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับผมและใครอีกหลายคนที่ได้เข้ามาอ่าน
เรื่องระหว่างผมกับเขาเริ่มขึ้นในช่วงกลางเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2560 ผมเข้าไปหาเพื่อนคุยในเว็บแชทเกย์เว็บหนึ่ง และเขาก็ทักทายผมมา ด้วยความที่คุยกันถูกคอ ผมจึงให้ไลน์เขาไปเพื่อจะได้มีโอกาสคุยกันเพื่อเรียนรู้กันให้มากขึ้น และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เราก็คุยกันทุกวันทั้งทางไลน์และโทรคุย ความสัมพันธ์จากคนแปลกหน้าที่รู้จักกันทางออนไลน์จึงเริ่มกลายเป็นความคิดถึง ความห่วงใย และความผูกพันมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาอายุเยอะกว่าผม 7 ปี ทำงานเป็นช่างเทคนิคอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ เคยแต่งงานมีครอบครัวและมีลูกติดหนึ่งคน เขาบอกผมว่าเลิกกับแม่ของเด็กมาเกือบ 10 ปี เพราะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไม่รอด หลังจากนั้นเขาก็เริ่มหันมาสนใจผู้ชายด้วยกัน เพราะอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจมากกว่า มีความเข้าอกเข้าใจกันมากกว่า และเรื่องอย่างว่าก็ทำให้เขามีความสุขกว่าผู้หญิง เขาบอกผมว่าเคยคบกับผู้ชายมาบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นแฟนจริงจัง และเขายืนยันหนักแน่นว่า ณ วันที่กำลังคุยกับผม เขาไม่ได้คบกับใคร ไม่ได้มีความสัมพันธ์ในรูปแบบใด ๆ กับใครทั้งหมดทั้งสิ้น
เวลาผ่านไประยะหนึ่ง เราก็ได้นัดเจอกัน เขาให้ผมไปหาเขาที่ห้องซึ่งอยู่แถวพระสมุทรเจดีย์ ผมก็นั่งรถเมล์จากที่พักแถวจตุจักรไปตามที่เขาบอก ซึ่งโชคดีที่นั่งรถเมล์เพียงสายเดียวก็ไปถึงจุดที่เขานัดจะมารับ ผมเลยไม่ต้องต่อรถหลายครั้ง และใช้เวลาเดินทางไม่นาน การเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างผมกับเขาจึงไม่ใช่อุปสรรคในการพบกันของเรา วันแรกที่เราพบกันเขาขี่มอเตอร์ไซด์มารับผมที่จุดนัดพบหน้าอู่รถเมล์ พาผมซ้อนมอเตอร์ไซด์ไปกินข้าวแถวหอนาฬิกาตรงสามแยกพระสมุทรเจดีย์ ก่อนที่จะพาไปห้องเขาซึ่งอยู่ทางลงไปป้อมพระจุล ตอนนั้นผมก็แอบรู้สึกกลัวอยู่บ้าง เพราะที่ที่เขาพาผมไปมันไกลจากที่พักผมมากและไม่เคยไปไม่คุ้นเคยกับสถานที่ แต่พอได้พบเขา ได้เห็นแววตา ได้ยินคำพูด และการปฏิบัติที่ดีต่อผม ทำให้ผมไว้ใจเขามากขึ้น และคืนนั้นก็เป็นครั้งแรกที่เรามีความสัมพันธ์กัน
หลังจากวันนั้น เราก็ยังคุยกันทุกวันและไปมาหาสู่กันเป็นระยะ ๆ แต่เวลาว่างของผมกับเขาจะไม่ตรงกัน เพราะเขาทำงานเป็นกะ ส่วนผมทำงานตามวันเวลาราชการ ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาที่เราจะคบกัน วันไหนเขาหยุดเขาก็มาหาผมที่ห้อง วันไหนผมหยุดก็ไปที่ห้องเขา บางครั้งเขามีเวลาว่างแค่สามสี่ชั่วโมงก็ยังมาหาผม มานอนกอดผมแล้วก็กลับไปทำงานต่อ คืนไหนผมต้องอยู่เวรเฝ้าที่ทำงาน เขาก็โทรมาอยู่เป็นเพื่อนผม ซึ่งสำหรับเขาเป็นผู้ชายที่มีความเพียบพร้อมคนนึงทั้งรูปร่างหน้าตา นิสัย อารมณ์ การเอาใจใส่ดูแล และความห่วงใยที่มีให้กันตลอด ผมรู้สึกได้รับความรักความอบอุ่นจากเขาทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ ส่วนข้อเสียนอกจากเรื่องเวลาที่ไม่ตรงกัน เขายังเป็นคนอ่านและตอบไลน์ช้า บางครั้งทักไปหลายชั่วโมงหรือเป็นวันจึงจะอ่าน และส่วนใหญ่จะส่งเป็นสติ๊กเกอร์ตอบมาแทนพิมพ์เป็นข้อความ ซึ่งก็เป็นแบบนั้นสม่ำเสมอจนผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติ ผมถามเขาทุกครั้ง เขาก็ตอบเหมือนเดิมทุกครั้งว่าต้องทำงานไม่มีเวลาอ่านไลน์ หรือถ้ามีช่วงไหนเขากลับบ้านที่ต่างจังหวัดไปหาลูกหรือไปเที่ยวกับเพื่อน เขาก็จะบอกผมก่อนว่าจะไม่ค่อยได้อ่านไลน์หรือไม่ได้ติดต่อมาหาผม และช่วงปิดเทอมใหญ่ของทุกปีเขาจะพาลูกมาอยู่ด้วยที่ห้อง ผมกับเขาก็จะไม่ได้เจอกันไประยะหนึ่ง แต่ก็ยังคุยผ่านไลน์กันเกือบทุกวัน ทั้งเขาและผมมีเฟสบุ๊กแต่ก็ไม่ได้แอดเป็นเพื่อนกัน เพราะเฟสผมไม่ได้ให้ใครแอดมาเป็นเพื่อนอยู่แล้ว สมัครไว้ใช้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองเท่านั้น แต่ผมก็พอจะรู้ว่าชื่อเฟสเขาชื่ออะไร และแอบเข้าไปส่องอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงที่เขาหายไปแบบผิดปกติ ซึ่งก็ไม่พบความเคลื่อนไหวอะไรที่เป็นพิรุธหรือผิดปกติไปจากที่มันควรเป็น เว้นแต่ว่าเวลาเขาไปเที่ยวกับผม เขาก็จะลงรูปเขาคนเดียวและตอบคนที่มาถามในคอมเม้นต์ว่าไปคนเดียวบ้าง หรือไปกับเพื่อน ซึ่งรายละเอียดหรือเงื่อนไขบนความสัมพันธ์ของเราทั้งหมดนี้ ผมก็เต็มใจยอมรับและเข้าใจได้ว่าเขาไม่ต้องการให้สังคมรู้ว่าเขากำลังคบกับเพศเดียวกัน
เวลาของเราผ่านจากหลายเดือนเป็นปี สองปี สามปี สี่ปี ห้าปี จนเข้าสู่ปีที่หก ผมกับเขาก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อเรื่อยมา เขาเองก็สม่ำเสมอกับผมมาตลอด มีหลายครั้งที่เราไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน ผ่านเรื่องราวที่เป็นโมเม้นท์ความทรงจำดี ๆ น่าประทับใจอะไรต่าง ๆ นานามานับไม่ถ้วน เขายังคงเป็นผู้ชายที่ดีและอบอุ่นคนเดิมของผม แม้การใช้ชีวิตคู่ของเราจะไม่สมบูรณ์แบบ ด้วยเพราะเหตุผลเรื่องครอบครัวของเขา ที่ทำให้ไม่สามารถเปิดเผยการมีผมอยู่ต่อสังคมญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงเขาได้ ซึ่งผมก็เข้าใจและเต็มใจปรับตัว ปรับความคิดให้เป็นไปตามครรลองที่มันควรเป็น ผมยอมรับ "ผมรักเขามากขึ้นเรื่อย ๆ" รักโดยไม่สนใจว่าอนาคตเส้นทางของผมกับเขาจะเป็นทางที่ไปต่อได้ไม่จบสิ้นหรือทางตัน และเชื่อว่า "เขาก็รักผมเช่นกัน" เพราะเขาก็เคยพูดคำว่ารักให้ผมได้ยินอยู่หลายครั้งและการปฏิบัติของเขาต่อผมก็เป็นไปตามคำที่เขาพูด ที่สำคัญคือ หลายครั้งขณะที่ร่างกายเรากำลังประสานรวมกัน เขาจะพูดกับผมว่า "ขอให้ผมเป็นของเขาคนเดียว" หรือ "อย่าไปมีอะไรกับคนอื่นนอกจากเขา" และเขาจะพยายามทำให้ผมมีความสุขที่สุดทุกครั้งที่ได้อยู่กับเขา แม้มันจะฟังดูคล้ายคำพูดของพระเอกในนิยาย แต่ผมสาบานได้ว่าผมได้ยินมันจริง ๆ และไม่ใช่เพียงครั้งเดียว ผมจำได้เสมอและซื่อสัตย์ต่อเขาตามที่เขาขอมาตลอด โดยที่ตัวผมเองก็เชื่อและไว้ใจเขาเช่นกันว่าเขาจะมีผมแค่คนเดียว ซึ่งมันอาจจะเป็นข้อเสียของผมที่ปล่อยให้ความเชื่อใจของผมและความซื่อสัตย์ของเขาควบคุมตัวเขาเอง ผมให้อิสระเสรีในชีวิตเขาเต็มที่เหมือนตอนที่เขายังไม่มีผมเข้าไปในชีวิต ผมไม่เคยตามถามตามเช็คว่าเขาทำอะไรอยู่ไหน อยู่กับใคร หรือจะกลับเมื่อไหร่ เพราะถือเป็นการเคารพและให้เกียรติแก่กัน จะได้ไม่อยู่ด้วยกันแบบอึดอัด ยกเว้นถ้าเขาหายไปแบบผิดปกติจึงจะเข้าไปดูในเฟสเขาเพื่อให้สบายใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ปกติ ซึ่งเขาเองก็ไม่เคยเข้ามาก้าวกายเรื่องชีวิตส่วนตัวของผม เรื่องเงินเราก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวของกันและกัน เวลาไปกินข้าวด้วยกันก็สลับกันจ่ายบ้างแชร์กันบ้าง หรือเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดก็แชร์ค่าใช้จ่ายกันทุกครั้ง ความสุขของเขาที่ผมสังเกตเห็นตลอดเวลาที่เราคบกันคือ การที่เขาได้มาพบผม ได้มองหน้าผม ได้แกล้งผม และได้สัมผัสร่างกายผม ซึ่งทั้งรอยยิ้ม แววตา และร่างกายของเขา มันแสดงออกให้เห็นชัดว่าเขามีความสุขกับผมจริง ๆ ส่วนความสุขของผมก็คือการได้มีเขาอยู่ในชีวิตไว้คอยปรึกษา ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันในแต่ละวัน และได้ดูแลกันในวันที่อีกคนหนึ่งอ่อนแอ ซึ่งผมก็คิดว่ามันจะเป็นความสุขที่ยาวนานออกไปเรื่อย ๆ
..........
ต่อในคอมเม้นต์นะครับ