ผ่านไปได้อีก 1 เกมส์สำหรับอังกฤษ หลังจากเอาชนะเซเนกัล แชมป์ทวีปแอฟริกาไปได้ด้วยสกอร์ 3 - 0 โดยได้ประตูแรกจาก จอร์แดน เฮ็นเดอร์สัน นาทีที่ 38 ประตูที่สองเป็น แฮร์รี่ เคน ช่วงทดเวลานาทีที่ 45+3 และปิดท้ายด้วย บูกาโย ซาก้า ในนาทีที่ 57 โดยจะผ่านเข้ารอบไปพบกับ แชมป์เก่าฝรั่งเศส ในรอบ 8 ทีมต่อไป
1.การจัดตัวผู้เล่น
- อังกฤษเปลี่ยนผู้เล่นเพียง 1 ตำแหน่ง โดยเปลี่ยน บูกาโย ซาก้า กลับมาเป็นตัวจริง แทนที่ของ มาร์คัส แรชฟอร์ด พร้อมปรับระบบมาเป็น 4 - 3 - 3 หลังจากเกมส์ชนะเวลส์ 3 - 0 ตอนขึ้นผังการเล่นออกมาเป็น 4 - 3 - 3 เช่นกัน แต่พอเริ่มเกมส์จริงกลับใช้ระบบ 4 - 2 - 3 - 1 โดยมีจู๊ด เบลลิงแฮม เป็นจอมทัพ
- เซเนกัลยังคงใช้ระบบการเล่นเดิม คือ 4 - 2 - 3 - 1 โดยเปลี่ยนผู้เล่นจากนัดที่ชนะเอกวาดอร์ 2 - 1 ไป 2 ตำแหน่ง ได้แก่ น็อมปาลิส เมนดี้ แทน ปาปา เกย์ และ เครแป็ง ดิอัตต้า แทน อิดริสซ่า กาน่า เกย์
2.ระบบการเล่น
อังกฤษปรับระบบการเล่นมาเป็น 4 - 3 - 3 หลังจากเกมส์ที่ชนะเวลส์ เล่นระบบ 4 - 2 - 3 - 1 ด้วยการจับจู๊ด เบลลิงแฮม ไปเล่นเป็นจอมทัพ แล้วมีปัญหา โดยเจ้าตัวไม่สามารถสร้างอันตรายอะไรให้กับคู่แข่งได้เลย แถมยังหายตัวไปตลอดทั้งเกมส์ สาเหตุเนื่องมาจาก เบลลิงแฮม เป็นนักเตะที่ไม่ได้ออกบอลจังหวะสุดท้ายได้แบบเข้าขั้นเทพ แต่จุดเด่นในการออกบอลของเจ้าตัวคือ สามารถเลือกจ่ายบอลให้กับแนวรุกที่ได้เปรียบที่สุดได้ดี รวมถึงการเคลื่อนที่ ซึ่งเบลลิงแฮมมักจะเคลื่อนที่ขึ้นลงตรงกลางสนาม ไม่ค่อยถ่างออกซ้ายหรือออกขวามากนัก แตกต่างกับการเล่นเบอร์10 ที่ต้องขยับออกซ้ายและขวา เพื่อเชื่อมเกมส์รุก และสร้างสรรค์เกมส์ รวมถึงการเติมเข้าไปสร้างสรรค์เกมส์หรือทำประตูในกรอบเขดโทษ ( แต่เจ้าตัวสามารถเติมขึ้นไปทำประตูได้ดี ) ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้เบลลิงแฮมไม่เหมาะสมกับการเล่นเบอร์10 และตำแหน่งที่เจ้าตัวเล่นได้โดดเด่นและเป็นตำแหน่งแจ้งเกิดที่สุด จึงเป็นเบอร์ 8 มากกว่า
ซึ่งถือว่าเซาธ์เกต ได้บทเรียนมาจากเกมส์นัดที่แล้ว และปรับตำแหน่งให้จู๊ด ได้กลับมาเล่นตำแหน่งที่ถนัดอีกครั้ง เราจึงได้เห็น เบลลิงแฮม ในเวอร์ชั่นที่โดดเด่นมากๆในเกมส์นี้
โดยวิธีการที่เซาธ์เกต ใช้ในการโจมตีเซเนกัล คือ ใช้เคนเป็นศูนย์กลางในการสร้างเกมส์ พร้อมดึงเซ็นเตอร์ และ มิดฟิลด์ เข้ามาประกบตนเอง ซึ่งจากนั้นตัวรุกริมเส้นทั้งสองข้าง จะวิ่งเข้ามารับบอล พร้อมดึงฟูลแบ็คเข้ามาไว้กับตัวด้วย เพื่อเปิดช่องว่างให้บุคคลที่สาม วิ่งสอดเข้าไปในบริเวณนั้น ซึ่งบุคคลที่สามคือ จู๊ด เบลลิงแฮม หรือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
โดยเมื่อวิ่งสอดเข้ามาบริเวณดังกล่าวได้แล้ว ทางฝั่งเซเนกัล จะเหลือผู้เล่นแนวรับเพียง 1 คน เท่านั้น ในการรับมือริมเส้นฝั่งที่โดนโจมตี เนื่องจากโดนปีก ดึงฟูลแบ๊คขึ้นไป แถมมิดฟิลด์ทั้ง 2 คน ก็โดนเคนดึงเข้าไปไว้กับตัวด้วย โดยจังหวะนี้กองกลางที่สอดขึ้นไปได้ จะคัตแบ็คกลับมา ให้กับมิดฟิลด์ ปีกฝั่งตรงข้าม หรือกองหน้าอย่างเคน ที่วิ่งกลับมา เข้าแท็ปอิน
ส่วนฝั่งเซเนกัล ความตั้งใจคือเน้นการตัดบอลเร็วจากแดนกลาง หรือ แดนบน จากนั้นจะรีบทิ้งที่ว่าง ให้แนวรุกทั้ง 3 คน ใช้ความเร็วตามไปเก็บบอล เพียงแต่เกมส์นี้ พวกเขาขาดทีมเวิร์คที่ดี โดยเมื่อได้บอลในจังหวะสวนกลับ มักจะชอบเลี้ยงบอลหรือครองบอลนาน ทำให้อังกฤษสามารถกลับลงมารักษาตำแหน่งได้ทัน
แถมเมื่อเสียประตูแรกแล้ว ยังขาดสมาธิ จดจ่ออยู่กับการเอาประตูคืน ทุกคนพยายามดันขึ้นหน้า พยายามทำเกมส์รุก และเลี้ยงฝ่าขึ้นไปด้วยตัวเอง จึงเป็นสาเหตุให้เสียประตูที่ 2 ในช่วงทดเวลาครึ่งแรก
แถมยังมาเสียประตูที่ 3 จากคามผิดพลาดเดิมๆ ที่ได้กล่าวไปข้างต้น โดยผู้เป็นโค้ชอย่างอลิยู ซิสเซ พยายามเตือนนักเตะอยู่หลายครั้ง ให้ผ่อนเกมส์ลง เล่นให้ช้าลง แต่นักเตะไม่ตอบสองต่อคำสั่งเลย จนกระทั่งมาเสียประตูที่ 3 เลยเหมือนดึงสติกลับมาได้ จึงผ่อนจังหวะของเกมส์ลงมา และเน้นทีมเวิร์คมากขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ทันและจบลงด้วยชัยชนะของอังกฤษไป 3 - 0
3. นักเตะที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
- ทีมชาติเซเนกัลทั้งทีม โดยเกมส์นี้สำหรับผมถือว่าก่อความผิดพลาดกันหมดทุกคน ในส่วนที่เท่าๆกัน แบ่งเป็น แนวรับ ทั้งๆที่ด้วยชื่อชั้นก็ถือว่ามีความสามารถอยู่ระดับหนึ่ง รวมถึงมีพี่ใหญ่อย่าง คาลิดู คูลิบาลี่ คอยคุมแผงหลังอยู่ด้วย แต่กลับรักษาระเบียบเกมส์รับไม่ได้เลย ในทุกๆครั้งที่อังกฤษได้จังหวะโต้กลับมา รวมถึงมิดฟิลด์ 2 คนอย่าง เมนดี้ และ ปาเต ซิส ที่ไม่สามารถคุมจังหวะของเกมส์ในแดนกลางได้เช่นกัน โดยเมื่อแนวรุกพยายามเร่งจังหวะของเกมส์ กลับปรับจังหวะให้ตามน้ำไปกับแนวรุก ส่วนฝั่งตัวรุกเมื่อได้บอลก็ชอบพยายามเลี้ยงฝ่าผู้เล่นอังกฤษเข้าไปคนเดียว ทำให้อังกฤษเพียงแค่วางผู้เล่นซ้อนไว้ 2 - 3 คน ก็สามารถรับมือกับแนวรุกเซเนกัลได้แล้ว
**ถือว่าเข้ารอบไปได้ตามความคาดหมายสำหรับอังกฤษ โดยเกมส์หน้าจะได้เข้าไปพบกับแชมป์เก่าฝรั่งเศส ถือเป็นบททดสอบสำคัญของอังกฤษเลย เมื่อเจอทีมระดับแชมป์เปี้ยนแล้ว พวกเขาจะสามารถก้าวข้ามทีมเหล่านี้ไปได้ไหม ซึ่งถ้าพวกเขาคาดหวังถึงแชมป์โลก การเจอทีมระดับนี้ พวกเขาต้องหาวิธีก้าวข้ามทีมระดับนี้ไปให้ได้ ไม่ตกม้าตายเหมือนที่ผ่านมาๆ
ส่วนทางเซเนกัล ก็ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญเช่นกัน การเข้ามาแข่งทัวร์นาเมนต์ระดับโลก สำคัญที่หนึ่งเลยคือ ต้องรักษาสมาธิให้ได้ และคุมสติตัวเองให้อยู่ เพราะถ้าคุณสมาธิหลุดไปแม้แต่เพียงจังหวะเดียว คุณสามารถถูกลงโทษจากจังหวะนั้นได้ในทันที
ผมได้เขียนบทวิเคราะห์นี้ลงใน Pantip ควบคู่ไปกับเพจ Facebook ถ้าใครอ่านแล้วชอบบทความนี้สามารถติดตามที่เพจได้ครับ อัพเดทงานใหม่เรื่อยๆครับ
https://www.facebook.com/profile.php?id=100088002469902&mibextid=ZbWKwL
สิ่งที่เห็นระหว่างเกมส์อังกฤษพบเซเนกัล
1.การจัดตัวผู้เล่น
- อังกฤษเปลี่ยนผู้เล่นเพียง 1 ตำแหน่ง โดยเปลี่ยน บูกาโย ซาก้า กลับมาเป็นตัวจริง แทนที่ของ มาร์คัส แรชฟอร์ด พร้อมปรับระบบมาเป็น 4 - 3 - 3 หลังจากเกมส์ชนะเวลส์ 3 - 0 ตอนขึ้นผังการเล่นออกมาเป็น 4 - 3 - 3 เช่นกัน แต่พอเริ่มเกมส์จริงกลับใช้ระบบ 4 - 2 - 3 - 1 โดยมีจู๊ด เบลลิงแฮม เป็นจอมทัพ
- เซเนกัลยังคงใช้ระบบการเล่นเดิม คือ 4 - 2 - 3 - 1 โดยเปลี่ยนผู้เล่นจากนัดที่ชนะเอกวาดอร์ 2 - 1 ไป 2 ตำแหน่ง ได้แก่ น็อมปาลิส เมนดี้ แทน ปาปา เกย์ และ เครแป็ง ดิอัตต้า แทน อิดริสซ่า กาน่า เกย์
2.ระบบการเล่น
อังกฤษปรับระบบการเล่นมาเป็น 4 - 3 - 3 หลังจากเกมส์ที่ชนะเวลส์ เล่นระบบ 4 - 2 - 3 - 1 ด้วยการจับจู๊ด เบลลิงแฮม ไปเล่นเป็นจอมทัพ แล้วมีปัญหา โดยเจ้าตัวไม่สามารถสร้างอันตรายอะไรให้กับคู่แข่งได้เลย แถมยังหายตัวไปตลอดทั้งเกมส์ สาเหตุเนื่องมาจาก เบลลิงแฮม เป็นนักเตะที่ไม่ได้ออกบอลจังหวะสุดท้ายได้แบบเข้าขั้นเทพ แต่จุดเด่นในการออกบอลของเจ้าตัวคือ สามารถเลือกจ่ายบอลให้กับแนวรุกที่ได้เปรียบที่สุดได้ดี รวมถึงการเคลื่อนที่ ซึ่งเบลลิงแฮมมักจะเคลื่อนที่ขึ้นลงตรงกลางสนาม ไม่ค่อยถ่างออกซ้ายหรือออกขวามากนัก แตกต่างกับการเล่นเบอร์10 ที่ต้องขยับออกซ้ายและขวา เพื่อเชื่อมเกมส์รุก และสร้างสรรค์เกมส์ รวมถึงการเติมเข้าไปสร้างสรรค์เกมส์หรือทำประตูในกรอบเขดโทษ ( แต่เจ้าตัวสามารถเติมขึ้นไปทำประตูได้ดี ) ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้เบลลิงแฮมไม่เหมาะสมกับการเล่นเบอร์10 และตำแหน่งที่เจ้าตัวเล่นได้โดดเด่นและเป็นตำแหน่งแจ้งเกิดที่สุด จึงเป็นเบอร์ 8 มากกว่า
ซึ่งถือว่าเซาธ์เกต ได้บทเรียนมาจากเกมส์นัดที่แล้ว และปรับตำแหน่งให้จู๊ด ได้กลับมาเล่นตำแหน่งที่ถนัดอีกครั้ง เราจึงได้เห็น เบลลิงแฮม ในเวอร์ชั่นที่โดดเด่นมากๆในเกมส์นี้
โดยวิธีการที่เซาธ์เกต ใช้ในการโจมตีเซเนกัล คือ ใช้เคนเป็นศูนย์กลางในการสร้างเกมส์ พร้อมดึงเซ็นเตอร์ และ มิดฟิลด์ เข้ามาประกบตนเอง ซึ่งจากนั้นตัวรุกริมเส้นทั้งสองข้าง จะวิ่งเข้ามารับบอล พร้อมดึงฟูลแบ็คเข้ามาไว้กับตัวด้วย เพื่อเปิดช่องว่างให้บุคคลที่สาม วิ่งสอดเข้าไปในบริเวณนั้น ซึ่งบุคคลที่สามคือ จู๊ด เบลลิงแฮม หรือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
โดยเมื่อวิ่งสอดเข้ามาบริเวณดังกล่าวได้แล้ว ทางฝั่งเซเนกัล จะเหลือผู้เล่นแนวรับเพียง 1 คน เท่านั้น ในการรับมือริมเส้นฝั่งที่โดนโจมตี เนื่องจากโดนปีก ดึงฟูลแบ๊คขึ้นไป แถมมิดฟิลด์ทั้ง 2 คน ก็โดนเคนดึงเข้าไปไว้กับตัวด้วย โดยจังหวะนี้กองกลางที่สอดขึ้นไปได้ จะคัตแบ็คกลับมา ให้กับมิดฟิลด์ ปีกฝั่งตรงข้าม หรือกองหน้าอย่างเคน ที่วิ่งกลับมา เข้าแท็ปอิน
ส่วนฝั่งเซเนกัล ความตั้งใจคือเน้นการตัดบอลเร็วจากแดนกลาง หรือ แดนบน จากนั้นจะรีบทิ้งที่ว่าง ให้แนวรุกทั้ง 3 คน ใช้ความเร็วตามไปเก็บบอล เพียงแต่เกมส์นี้ พวกเขาขาดทีมเวิร์คที่ดี โดยเมื่อได้บอลในจังหวะสวนกลับ มักจะชอบเลี้ยงบอลหรือครองบอลนาน ทำให้อังกฤษสามารถกลับลงมารักษาตำแหน่งได้ทัน
แถมเมื่อเสียประตูแรกแล้ว ยังขาดสมาธิ จดจ่ออยู่กับการเอาประตูคืน ทุกคนพยายามดันขึ้นหน้า พยายามทำเกมส์รุก และเลี้ยงฝ่าขึ้นไปด้วยตัวเอง จึงเป็นสาเหตุให้เสียประตูที่ 2 ในช่วงทดเวลาครึ่งแรก
แถมยังมาเสียประตูที่ 3 จากคามผิดพลาดเดิมๆ ที่ได้กล่าวไปข้างต้น โดยผู้เป็นโค้ชอย่างอลิยู ซิสเซ พยายามเตือนนักเตะอยู่หลายครั้ง ให้ผ่อนเกมส์ลง เล่นให้ช้าลง แต่นักเตะไม่ตอบสองต่อคำสั่งเลย จนกระทั่งมาเสียประตูที่ 3 เลยเหมือนดึงสติกลับมาได้ จึงผ่อนจังหวะของเกมส์ลงมา และเน้นทีมเวิร์คมากขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ทันและจบลงด้วยชัยชนะของอังกฤษไป 3 - 0
3. นักเตะที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
- ทีมชาติเซเนกัลทั้งทีม โดยเกมส์นี้สำหรับผมถือว่าก่อความผิดพลาดกันหมดทุกคน ในส่วนที่เท่าๆกัน แบ่งเป็น แนวรับ ทั้งๆที่ด้วยชื่อชั้นก็ถือว่ามีความสามารถอยู่ระดับหนึ่ง รวมถึงมีพี่ใหญ่อย่าง คาลิดู คูลิบาลี่ คอยคุมแผงหลังอยู่ด้วย แต่กลับรักษาระเบียบเกมส์รับไม่ได้เลย ในทุกๆครั้งที่อังกฤษได้จังหวะโต้กลับมา รวมถึงมิดฟิลด์ 2 คนอย่าง เมนดี้ และ ปาเต ซิส ที่ไม่สามารถคุมจังหวะของเกมส์ในแดนกลางได้เช่นกัน โดยเมื่อแนวรุกพยายามเร่งจังหวะของเกมส์ กลับปรับจังหวะให้ตามน้ำไปกับแนวรุก ส่วนฝั่งตัวรุกเมื่อได้บอลก็ชอบพยายามเลี้ยงฝ่าผู้เล่นอังกฤษเข้าไปคนเดียว ทำให้อังกฤษเพียงแค่วางผู้เล่นซ้อนไว้ 2 - 3 คน ก็สามารถรับมือกับแนวรุกเซเนกัลได้แล้ว
**ถือว่าเข้ารอบไปได้ตามความคาดหมายสำหรับอังกฤษ โดยเกมส์หน้าจะได้เข้าไปพบกับแชมป์เก่าฝรั่งเศส ถือเป็นบททดสอบสำคัญของอังกฤษเลย เมื่อเจอทีมระดับแชมป์เปี้ยนแล้ว พวกเขาจะสามารถก้าวข้ามทีมเหล่านี้ไปได้ไหม ซึ่งถ้าพวกเขาคาดหวังถึงแชมป์โลก การเจอทีมระดับนี้ พวกเขาต้องหาวิธีก้าวข้ามทีมระดับนี้ไปให้ได้ ไม่ตกม้าตายเหมือนที่ผ่านมาๆ
ส่วนทางเซเนกัล ก็ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญเช่นกัน การเข้ามาแข่งทัวร์นาเมนต์ระดับโลก สำคัญที่หนึ่งเลยคือ ต้องรักษาสมาธิให้ได้ และคุมสติตัวเองให้อยู่ เพราะถ้าคุณสมาธิหลุดไปแม้แต่เพียงจังหวะเดียว คุณสามารถถูกลงโทษจากจังหวะนั้นได้ในทันที
ผมได้เขียนบทวิเคราะห์นี้ลงใน Pantip ควบคู่ไปกับเพจ Facebook ถ้าใครอ่านแล้วชอบบทความนี้สามารถติดตามที่เพจได้ครับ อัพเดทงานใหม่เรื่อยๆครับ https://www.facebook.com/profile.php?id=100088002469902&mibextid=ZbWKwL