หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระปรมาจารย์ใหญ่สายกรรมฐาน องค์ท่านเมตตาสอนว่า...
การบำรุงรักษาสิ่งใด ๆ ในโลก
การบำรุงรักษาตน คือ...ใจเป็นเยี่ยม จุดที่เยี่ยมยอดของโลก คือ...ใจ ควรบำรุงรักษาด้วยดี
ได้ใจแล้ว คือ ได้ธรรม
เห็นใจตนแล้ว คือ เห็นธรรม
รู้ใจแล้ว คือรู้ธรรม ทั้งมวล
ถึงใจตนแล้ว คือ...ถึงพระนิพพาน
ใจ...นี่แล
คือ สมบัติ อันล้นค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมอง
ข้ามไป คนพลาดใจ
คือ ไม่สนใจปฏิบัติต่อใจดวงวิเศษ ในร่างนี้
แม้ จะเกิดสักร้อยชาติ พันชาติ ก็คือ...ผู้เกิดผิดพลาดนั่นเอง
การนั่งสมาธิภาวนา
คือ...การทำจิตใจของตน ให้ตั้งมั่น
ชำระจิตใจของตน ให้ผ่องใส
ทำใจให้สงบสบาย
หลวงปู่มั่น องค์ท่านกล่าวว่า
การภาวนา คือ...
การอบรมใจ ให้ฉลาด เที่ยงตรงต่อเหตุผล
อรรถธรรม รู้จักวิธีปฏิบัติต่อตัวเอง
และสิ่งทั้งหลาย ไม่ให้จิตผาดโผนโลดเต้น
แบบไม่มีฝั่ง-มีฝา ยึดการภาวนาเป็นรั้วกั้น
ความคิดฟุ้งของใจ ให้อยู่ในเหตุ-ผล
อันจะเป็นทาง แห่ง...ความสงบสุขใจ ที่ยังมิได้รับการอบรมจากการภาวนา
ก่อนอื่นที่เราจะนั่งสมาธิภาวนา
ให้หาสถานที่ อันเป็นมุมสงบ นั่งเข้าที่เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น ไม่เอียงซ้ายนัก ไม่เอียงขวานัก
ไม่ก้มนัก ไม่เงยนัก ทำตัวให้สบาย ๆ ดูท่าการประทับนั่ง ของพระพุทธรูปเป็นแบบอย่าง
หากไม่สะดวกที่จะนั่งอยู่ขัดสมาธิอยู่กับพื้น
ก็ให้นั่งบนเก้าอี้ หรืออะไรก็ได้ตามแต่สะดวก เรา
เริ่มฝึกหัดนั่งใหม่ ๆ อาจจะปวดแข้งเจ็บขาบ้าง
เป็นธรรมดา แต่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า...
ให้พยายามอดทน ต่อสู้...กับเวทนาความเจ็บปวด
ที่เกิดขึ้น
หากสู้ไม่ไหวจริง ๆ ให้สลับสับเปลี่ยนอิริยาบถ
ออกไปเดินจงกรม เพื่อ...ผ่อนคลายความเจ็บปวด
เมื่อนั่ง(สมาธิ)เข้าที่เรียบร้อยแล้ว
ให้กล่าวคำอธิษฐานภาวนา เพื่อเป็นการบูชาคุณพระพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดาเอกของโลก
ผู้เป็นครูของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
บูชาคุณพระธรรม
บูชาคุณพระสงฆ์ กล่าวตามดังนี้
สาธุ !ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิภาวนา
บูชาคุณพระพุทธเจ้า
บูชาคุณพระธรรม
บูชาคุณพระสงฆ์
บูชาคุณบิดามารดา
บูชาคุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์
ตลอดจนผู้มีพระคุณทั้งหลาย ขอจงเป็นพลัง
ปัจจัย แด่...พระนิพพานของข้าพเจ้า
และขอให้ข้าพเจ้า มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถรู้แจ้งถึงพระนิพพาน เอาชนะกิเลสความ
ไม่ดีทั้งหลาย ที่อยู่ภายในใจได้ตลอดกาล
นานเทอญ
ภายหลังจากที่กล่าวคำ อธิษฐาน เสร็จ
ให้กำหนดคำบริกรรมภาวนาพร้อมกับ ลมหายใจ
เข้าว่า-พุท หายใจออก โธ
หายใจเข้า ธัม หายใจออก โม
หายใจเข้า สัง หายใจออก โฆ
และให้ระลึกคำบริกรรมภาวนา พุท-โธ
ธัม-โม สัง-โฆ ๓ หน แล้วให้ระลึกเอาคำบริกรรมภาวนาว่า พุท-โธ แต่เพียงคำเดียว
โดยตั้งสติไว้ที่ปลายจมูก ลมหายใจเข้า-พุท
ก็กำหนดรู้ ลมหายใจออก โธ ก็กำหนดรู้
สติ...
กำหนด อยู่...กับคำบริกรรมภาวนา หากจิตคิด
แส่ส่ายไปทางอื่น ก็ดึงจิตกลับมาให้อยู่กับคำบริกรรมภาวนานั้น..
หากยังไม่ได้ผล ให้เร่งคำบริกรรมภาวนา เร็ว ๆ
พุท-โธ ๆๆๆๆๆๆๆๆ
ให้หมั่นกระทำบำเพ็ญอยู่เป็นประจำ
การทำครั้ง สองครั้ง
อยากจะให้จิตสงบ ก็เป็นไปได้ยาก
ที่ครูบาอาจารย์พระกรรมฐานสาย
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสอนให้ใช้คำ
บริกรรมภาวนาบทว่า...พุท-โธ นั้น..!
เพื่อต้องการให้น้อมเอาคุณของพระพุทธเจ้ามา
ไว้ที่ใจ
ธัม-โม น้อมเอาคุณของพระธรรมเจ้า มาไว้ที่ใจ
สัง-โฆ น้อมเอาคุณของพระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาไว้ที่ใจ ท่านถึงว่า พระอยู่...ที่ใจ
คือ...
มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในใจของเรานั่นเอง
เมื่อจะเลิกจากการนั่งสมาธิภาวนา
ให้ยกมือประนมขึ้น ระหว่างคิ้วตรงศีรษะครั้งหนึ่ง พร้อมกับกล่าวคำว่า สาธุ ภายในใจ
ต่อจากนั้น ตั้งใจแผ่เมตตาให้กับตัวเอง
ครั้นเมื่ออธิษฐานเสร็จ ก็ตั้งใจแผ่ส่วนบุญส่วนกุศล
ที่ได้กระทำบำเพ็ญในครั้งนี้ไป ให้กับผู้มีอุปการะ
คุณ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย กล่าวตามดังนี้
ด้วยอานิสงส์ผลบุญ
ที่เกิดจากการนั่งสมาธิภาวนา ข้าพเจ้าขอแผ่ส่วนบุญไปให้แก่บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ญาติพี่น้องทั้งหลาย มิตรสหายทั้งหลาย เทวาอารักษ์ทั้งหลาย
เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
พระอินทร์ พระพรหม ยม ยักษ์ ครุฑ คนธรรภ์ กุมภัณฑ์ นาคทั้งหลาย รุกขเทวดา อากาศเทวดา ภุมเทวดา เปรต ผี อสุรกายทั้งหลาย
สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และหามีชีวิตไม่ ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ อย่าได้มีเวรมีภัย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกัน
และกันเลย จงอยู่เป็นสุขเสมอเถิด
ขอจงได้รับส่วนแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำบำเพ็ญในครั้งนี้ด้วยเทอญ
การเดินจงกรม
คือ การเดินภาวนา เพื่อเป็นอุบายให้สงบใจ
เดินกลับไป กลับมา พร้อมกับกำหนดคำบริกรรมภาวนาเหมือนวิธีการนั่งสมาธิ คำอธิษฐานก็ใช้แบบเดียวกัน เปลี่ยนแต่ตรงคำว่า...นั่งสมาธิภาวนา เป็น เดินจงกรมภาวนา
เวลาจะเดินจงกรม ให้กำหนดทิศทางที่จะเดิน แล้วไปยืนตรงต้นทาง ยกมือประนมขึ้นระหว่างคิ้วกล่าวคำอธิษฐาน
ครั้นจบแล้ววางมือลง เอามือขวาทับมือซ้าย วาง
ทาบไว้ใต้สะดือ ทอดตาลงเบื้องต่ำ
ไม่แลซ้ายแลขวา ทำท่าสำรวมกาย ก้าวเดินขาขวาบริกรรมคำภาวนาว่า พุท
ก้าวเดินขาซ้ายบริกรรมคำภาวนาว่า โธ
บริกรรมภาวนา พุท-โธ ธัม-โม สัง-โฆ ๓. หนแล้ว
ให้กำหนดเอาคำบริกรรมภาวนาว่า พุท-โธ
แต่เพียงคำเดียว
ครั้นพอถึงปลายทางที่เรากำหนดไว้แล้ว หมุนตัวกลับไปทางขวามือ เดินภาวนากลับไปกลับมา
การกำหนดคำบริกรรมภาวนานั้น
จะกำหนดอยู่ที่เท้าเวลาเดินก็ได้ หรือกำหนดไว้
ในใจ ก็ได้ตามชอบ
ไม่มี กฎเกณฑ์ข้อบังคับแต่ประการใด
ส่วนการกำหนดทิศทางเดินจงกรมนั้น
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต องค์ท่านกล่าวไว้ว่า..
ทางเดินจงกรมตามที่ท่านกำหนดรู้ไว้ และปฏิบัติตามเรื่อยมานั้น มีสามทิศด้วยกัน คือ
ตรงไปตามแนวตะวันออก – ตะวันตก หนึ่ง
ไปตามแนวทิศตะวันตกเฉียงใต้ หนึ่ง
และไปตามแนวตะวันออกเฉียงเหนือ หนึ่ง
การเดินจงกรม
ก็เดินไปตามแนวทั้งสามที่กำหนดไว้ในแนวใด
แนวหนึ่ง
ความสั้นยาวของทางจงกรมแต่ละสายนั้น
ท่านว่า ตามแต่ควรสำหรับรายนั้นๆ
ไม่ตายตัว กำหนดเอาเองได้ตามสมควร แต่อย่างสั้นท่านว่าไม่ควรให้สั้นกว่าสิบก้าว
สำหรับเวลาอยู่ในที่จำเป็นหาทางเดินมิได้
การเดิน ไม่พึงเดินไกวแขน ไม่พึงเดินเอามือขัดหลัง ไม่พึงเดินเอามือกอดอก ไม่พึงเดินมองโน้นมองนี้
อันไม่เป็นท่าสำรวม
การนั่งสมาธิภาวนา หรือการเดินจงกรม นั้น
เราจะทำที่ไหนก็ได้ ที่วัด ที่บ้าน ในที่ทำงาน ใน
ร้านอาหาร ในช๊อปปิ้งมอลล์ ทำการทำงาน ทุก
สิ่งทุกอย่าง ทำภาวนาได้ทั้งนั้น
มีสติระลึกขึ้นมาได้ ก็กำหนด...พุท-โธ ทันทีเลย
ไม่ต้องรอให้เสียเวล่ำเวลา ก้าวขาขวา "พุท"
ก้าวขาซ้าย "โธ" เรียกว่าภาวนาได้ ทุกเมื่อ
ไม่มีกาลเวลา
จึงสมดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า...
อกาลิโก
ไม่มี กาล ไม่มีเวลา
ไม่มีฤดู ทำได้เสมอ"
--------------- -: ---------------- :- -----------------
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญ ท่าน
เจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมใน
การเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ทุกๆท่าน..
(ขออนุญาตนำมาเผยแผ่เป็นธรรมทานแก่ผู้ที่
มีความศรัทธา)
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สอน...การเดินจงกรม และวิธีนั่งสมาธิ
การบำรุงรักษาสิ่งใด ๆ ในโลก
การบำรุงรักษาตน คือ...ใจเป็นเยี่ยม จุดที่เยี่ยมยอดของโลก คือ...ใจ ควรบำรุงรักษาด้วยดี
ได้ใจแล้ว คือ ได้ธรรม
เห็นใจตนแล้ว คือ เห็นธรรม
รู้ใจแล้ว คือรู้ธรรม ทั้งมวล
ถึงใจตนแล้ว คือ...ถึงพระนิพพาน
ใจ...นี่แล
คือ สมบัติ อันล้นค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมอง
ข้ามไป คนพลาดใจ
คือ ไม่สนใจปฏิบัติต่อใจดวงวิเศษ ในร่างนี้
แม้ จะเกิดสักร้อยชาติ พันชาติ ก็คือ...ผู้เกิดผิดพลาดนั่นเอง
การนั่งสมาธิภาวนา
คือ...การทำจิตใจของตน ให้ตั้งมั่น
ชำระจิตใจของตน ให้ผ่องใส
ทำใจให้สงบสบาย
หลวงปู่มั่น องค์ท่านกล่าวว่า
การภาวนา คือ...
การอบรมใจ ให้ฉลาด เที่ยงตรงต่อเหตุผล
อรรถธรรม รู้จักวิธีปฏิบัติต่อตัวเอง
และสิ่งทั้งหลาย ไม่ให้จิตผาดโผนโลดเต้น
แบบไม่มีฝั่ง-มีฝา ยึดการภาวนาเป็นรั้วกั้น
ความคิดฟุ้งของใจ ให้อยู่ในเหตุ-ผล
อันจะเป็นทาง แห่ง...ความสงบสุขใจ ที่ยังมิได้รับการอบรมจากการภาวนา
ก่อนอื่นที่เราจะนั่งสมาธิภาวนา
ให้หาสถานที่ อันเป็นมุมสงบ นั่งเข้าที่เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น ไม่เอียงซ้ายนัก ไม่เอียงขวานัก
ไม่ก้มนัก ไม่เงยนัก ทำตัวให้สบาย ๆ ดูท่าการประทับนั่ง ของพระพุทธรูปเป็นแบบอย่าง
หากไม่สะดวกที่จะนั่งอยู่ขัดสมาธิอยู่กับพื้น
ก็ให้นั่งบนเก้าอี้ หรืออะไรก็ได้ตามแต่สะดวก เรา
เริ่มฝึกหัดนั่งใหม่ ๆ อาจจะปวดแข้งเจ็บขาบ้าง
เป็นธรรมดา แต่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า...
ให้พยายามอดทน ต่อสู้...กับเวทนาความเจ็บปวด
ที่เกิดขึ้น
หากสู้ไม่ไหวจริง ๆ ให้สลับสับเปลี่ยนอิริยาบถ
ออกไปเดินจงกรม เพื่อ...ผ่อนคลายความเจ็บปวด
เมื่อนั่ง(สมาธิ)เข้าที่เรียบร้อยแล้ว
ให้กล่าวคำอธิษฐานภาวนา เพื่อเป็นการบูชาคุณพระพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดาเอกของโลก
ผู้เป็นครูของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
บูชาคุณพระธรรม
บูชาคุณพระสงฆ์ กล่าวตามดังนี้
สาธุ !ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิภาวนา
บูชาคุณพระพุทธเจ้า
บูชาคุณพระธรรม
บูชาคุณพระสงฆ์
บูชาคุณบิดามารดา
บูชาคุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์
ตลอดจนผู้มีพระคุณทั้งหลาย ขอจงเป็นพลัง
ปัจจัย แด่...พระนิพพานของข้าพเจ้า
และขอให้ข้าพเจ้า มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถรู้แจ้งถึงพระนิพพาน เอาชนะกิเลสความ
ไม่ดีทั้งหลาย ที่อยู่ภายในใจได้ตลอดกาล
นานเทอญ
ภายหลังจากที่กล่าวคำ อธิษฐาน เสร็จ
ให้กำหนดคำบริกรรมภาวนาพร้อมกับ ลมหายใจ
เข้าว่า-พุท หายใจออก โธ
หายใจเข้า ธัม หายใจออก โม
หายใจเข้า สัง หายใจออก โฆ
และให้ระลึกคำบริกรรมภาวนา พุท-โธ
ธัม-โม สัง-โฆ ๓ หน แล้วให้ระลึกเอาคำบริกรรมภาวนาว่า พุท-โธ แต่เพียงคำเดียว
โดยตั้งสติไว้ที่ปลายจมูก ลมหายใจเข้า-พุท
ก็กำหนดรู้ ลมหายใจออก โธ ก็กำหนดรู้
สติ...
กำหนด อยู่...กับคำบริกรรมภาวนา หากจิตคิด
แส่ส่ายไปทางอื่น ก็ดึงจิตกลับมาให้อยู่กับคำบริกรรมภาวนานั้น..
หากยังไม่ได้ผล ให้เร่งคำบริกรรมภาวนา เร็ว ๆ
พุท-โธ ๆๆๆๆๆๆๆๆ
ให้หมั่นกระทำบำเพ็ญอยู่เป็นประจำ
การทำครั้ง สองครั้ง
อยากจะให้จิตสงบ ก็เป็นไปได้ยาก
ที่ครูบาอาจารย์พระกรรมฐานสาย
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสอนให้ใช้คำ
บริกรรมภาวนาบทว่า...พุท-โธ นั้น..!
เพื่อต้องการให้น้อมเอาคุณของพระพุทธเจ้ามา
ไว้ที่ใจ
ธัม-โม น้อมเอาคุณของพระธรรมเจ้า มาไว้ที่ใจ
สัง-โฆ น้อมเอาคุณของพระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาไว้ที่ใจ ท่านถึงว่า พระอยู่...ที่ใจ
คือ...
มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในใจของเรานั่นเอง
เมื่อจะเลิกจากการนั่งสมาธิภาวนา
ให้ยกมือประนมขึ้น ระหว่างคิ้วตรงศีรษะครั้งหนึ่ง พร้อมกับกล่าวคำว่า สาธุ ภายในใจ
ต่อจากนั้น ตั้งใจแผ่เมตตาให้กับตัวเอง
ครั้นเมื่ออธิษฐานเสร็จ ก็ตั้งใจแผ่ส่วนบุญส่วนกุศล
ที่ได้กระทำบำเพ็ญในครั้งนี้ไป ให้กับผู้มีอุปการะ
คุณ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย กล่าวตามดังนี้
ด้วยอานิสงส์ผลบุญ
ที่เกิดจากการนั่งสมาธิภาวนา ข้าพเจ้าขอแผ่ส่วนบุญไปให้แก่บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ญาติพี่น้องทั้งหลาย มิตรสหายทั้งหลาย เทวาอารักษ์ทั้งหลาย
เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
พระอินทร์ พระพรหม ยม ยักษ์ ครุฑ คนธรรภ์ กุมภัณฑ์ นาคทั้งหลาย รุกขเทวดา อากาศเทวดา ภุมเทวดา เปรต ผี อสุรกายทั้งหลาย
สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และหามีชีวิตไม่ ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ อย่าได้มีเวรมีภัย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกัน
และกันเลย จงอยู่เป็นสุขเสมอเถิด
ขอจงได้รับส่วนแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำบำเพ็ญในครั้งนี้ด้วยเทอญ
การเดินจงกรม
คือ การเดินภาวนา เพื่อเป็นอุบายให้สงบใจ
เดินกลับไป กลับมา พร้อมกับกำหนดคำบริกรรมภาวนาเหมือนวิธีการนั่งสมาธิ คำอธิษฐานก็ใช้แบบเดียวกัน เปลี่ยนแต่ตรงคำว่า...นั่งสมาธิภาวนา เป็น เดินจงกรมภาวนา
เวลาจะเดินจงกรม ให้กำหนดทิศทางที่จะเดิน แล้วไปยืนตรงต้นทาง ยกมือประนมขึ้นระหว่างคิ้วกล่าวคำอธิษฐาน
ครั้นจบแล้ววางมือลง เอามือขวาทับมือซ้าย วาง
ทาบไว้ใต้สะดือ ทอดตาลงเบื้องต่ำ
ไม่แลซ้ายแลขวา ทำท่าสำรวมกาย ก้าวเดินขาขวาบริกรรมคำภาวนาว่า พุท
ก้าวเดินขาซ้ายบริกรรมคำภาวนาว่า โธ
บริกรรมภาวนา พุท-โธ ธัม-โม สัง-โฆ ๓. หนแล้ว
ให้กำหนดเอาคำบริกรรมภาวนาว่า พุท-โธ
แต่เพียงคำเดียว
ครั้นพอถึงปลายทางที่เรากำหนดไว้แล้ว หมุนตัวกลับไปทางขวามือ เดินภาวนากลับไปกลับมา
การกำหนดคำบริกรรมภาวนานั้น
จะกำหนดอยู่ที่เท้าเวลาเดินก็ได้ หรือกำหนดไว้
ในใจ ก็ได้ตามชอบ
ไม่มี กฎเกณฑ์ข้อบังคับแต่ประการใด
ส่วนการกำหนดทิศทางเดินจงกรมนั้น
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต องค์ท่านกล่าวไว้ว่า..
ทางเดินจงกรมตามที่ท่านกำหนดรู้ไว้ และปฏิบัติตามเรื่อยมานั้น มีสามทิศด้วยกัน คือ
ตรงไปตามแนวตะวันออก – ตะวันตก หนึ่ง
ไปตามแนวทิศตะวันตกเฉียงใต้ หนึ่ง
และไปตามแนวตะวันออกเฉียงเหนือ หนึ่ง
การเดินจงกรม
ก็เดินไปตามแนวทั้งสามที่กำหนดไว้ในแนวใด
แนวหนึ่ง
ความสั้นยาวของทางจงกรมแต่ละสายนั้น
ท่านว่า ตามแต่ควรสำหรับรายนั้นๆ
ไม่ตายตัว กำหนดเอาเองได้ตามสมควร แต่อย่างสั้นท่านว่าไม่ควรให้สั้นกว่าสิบก้าว
สำหรับเวลาอยู่ในที่จำเป็นหาทางเดินมิได้
การเดิน ไม่พึงเดินไกวแขน ไม่พึงเดินเอามือขัดหลัง ไม่พึงเดินเอามือกอดอก ไม่พึงเดินมองโน้นมองนี้
อันไม่เป็นท่าสำรวม
การนั่งสมาธิภาวนา หรือการเดินจงกรม นั้น
เราจะทำที่ไหนก็ได้ ที่วัด ที่บ้าน ในที่ทำงาน ใน
ร้านอาหาร ในช๊อปปิ้งมอลล์ ทำการทำงาน ทุก
สิ่งทุกอย่าง ทำภาวนาได้ทั้งนั้น
มีสติระลึกขึ้นมาได้ ก็กำหนด...พุท-โธ ทันทีเลย
ไม่ต้องรอให้เสียเวล่ำเวลา ก้าวขาขวา "พุท"
ก้าวขาซ้าย "โธ" เรียกว่าภาวนาได้ ทุกเมื่อ
ไม่มีกาลเวลา
จึงสมดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า...
อกาลิโก
ไม่มี กาล ไม่มีเวลา
ไม่มีฤดู ทำได้เสมอ"
--------------- -: ---------------- :- -----------------
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญ ท่าน
เจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมใน
การเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ทุกๆท่าน..
(ขออนุญาตนำมาเผยแผ่เป็นธรรมทานแก่ผู้ที่
มีความศรัทธา)